เติ้งอิงรับมาแล้วก็คลี่ออกพลางกล่าวกับหยางหวั่นเสียงต่ำ “ดูลายมือ”
หยางหวั่นกวาดตามองคำนิยมในมือเติ้งอิงรอบหนึ่ง ตัวอักษรประณีตบรรจง แต่ไม่ใช่ลายมือของหนิงเฟย
นางถอนสายตากลับมา เม้มปากพลางกดมือตนเองแล้วถอยเข้าไปในเงามืดก้าวหนึ่ง พยายามใคร่ครวญเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในใจ
หากดูอย่างผิวเผินหยางจิงเพียงเขียน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ เพื่อยกย่องคุณธรรมความดีของสนมชายาฝ่ายใน ส่วนหนิงเฟยเขียนคำนิยมในที่คุมขัง แต่เมื่อใดที่ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ฉบับนี้แพร่หลายไปในเมืองหลวง คำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อราชสำนักจะเป็นไปในทิศทางใด
หยางหวั่นนึกถึงเรื่องที่ขุนนางใหญ่สกุลหูในแผ่นดินก่อนยื่นหนังสือฎีกาขอให้อดีตฮ่องเต้ดีต่ออดีตฮองเฮาที่ประชวรและถูกเมินเฉยในเวลานั้น นางก็อดเย็นวาบที่แผ่นหลังไม่ได้
แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้กับเรื่องอดีตฮองเฮาประชวรพระองค์นั้นไม่เหมือนกัน
แม้อุทยานกล้วยจะได้ชื่อว่าเป็นสถานที่พักรักษาตัวของหนิงเฟย แต่ความจริงแล้วเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้เจินหนิงใช้คุมขังสนมชายาที่ทรงทอดทิ้ง ในเมื่อเป็นที่คุมขัง หนิงเฟยย่อมไม่อาจส่งคำนิยมนี้ออกจากวังได้เด็ดขาด เรื่องนี้คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ฮ่องเต้เจินหนิงย่อมกระจ่างแก่ใจ
ดังนั้นในสายตาของฮ่องเต้เจินหนิง นี่คือคำนิยมที่ปลอมแปลงขึ้นมา
ใครกันที่สามารถเขียนคำนิยมเช่นนี้แทนระหว่างที่หนิงเฟยถูกคุมขังอยู่ ทั้งยังตีพิมพ์ร่วมกับ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ได้
คนผู้นี้มีเพียงหยางหลุนเท่านั้น
ความตั้งใจอันชั่วร้ายและการใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบของแผนการนี้ ทำให้หยางหวั่นขบคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ เจี่ยงเสียนเฟยผู้นั้นมีความคิดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
หลงจู๊เห็นหยางหวั่นไม่พูดไม่จาก็เริ่มหวาดกลัว รีบคลานเข่าเข้าไปทันที
“ที่ควรพูดข้าก็พูดหมดแล้ว ขอใต้เท้าทั้งสองได้โปรดอย่าพาข้าไปที่กองเจิ้นฝู่เหนือ…เบื้องบนข้ามีบิดามารดา เบื้องล่างมีบุตรที่ต้องดูแล ในครอบครัวสิบกว่าคนล้วนต้องพึ่งพาข้าเลี้ยงดู”
หยางหวั่นผ่อนคลายริมฝีปากแล้วหัวเราะ ยื่นมือไปประคองหลงจู๊ขึ้นมา “หลงจู๊ไม่ต้องร้อนใจ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน สนมชายาในตำหนักฝ่ายในมีจิตใจเปี่ยมคุณธรรมเช่นนี้นับเป็นเรื่องดี ท่านไปหาแม่พิมพ์ที่พูดกันเมื่อครู่ออกมาให้พวกเราดู จากนั้นก็ทำการค้าต่อไปอย่างสบายใจเถิด”
หลงจู๊ยังไม่คลายจากความตื่นตระหนก ได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็รู้สึกราวกับว่าได้รับการอภัยโทษ จึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา รีบไปหาแม่พิมพ์มาให้หยางหวั่น
หยางหวั่นประคองเติ้งอิงเดินออกจากร้านชิงปอก่วน บาดแผลบนข้อเท้าเติ้งอิงยามนี้ทำให้เขายืนหยัดไม่ไหวแล้ว
ขณะที่หยางหวั่นประคองเติ้งอิงขึ้นรถม้า เขาเจ็บจนใบหน้าซีดขาวแล้ว
หยางหวั่นใช้แขนเสื้อของตนเช็ดเหงื่อให้เติ้งอิง “ขออภัย ข้าเอาแต่คิดจะทำความเข้าใจเรื่องนั้นให้กระจ่าง ไม่คิดว่าท่านจะเจ็บมากเพียงนี้”
เติ้งอิงส่ายหน้าพลางบอกว่า “หวั่นหวั่น เจ้าขวัญกล้ายิ่งนัก”
“อะไรหรือ”
เติ้งอิงยิ้มๆ “สวมรอยเป็นองครักษ์เสื้อแพร เรื่องเช่นนี้ก็ช่างกล้าทำ”
หยางหวั่นก็ก้มหน้ายิ้มแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เติ้งอิง ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”