บทที่ 10.5 สายลมเย็นที่เฮาหลี่
ปลายฤดูใบไม้ร่วง การสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วงก็ใกล้จะสิ้นสุดลง
วันสุดท้ายของการสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้ามีฝนตกปรอยๆ พื้นดินเดี๋ยวแห้งเดี๋ยวเปียก
หยางหวั่นถือร่มด้วยตนเอง ส่งองค์ชายอี้หลางไปเรียนหนังสือที่ตำหนักเหวินหวา
หลังจากองค์ชายอี้หลางเข้าไปข้างในแล้ว หยางหวั่นยังไม่ได้กลับไป แต่ไปยืนอยู่ตรงระเบียงมองม่านฝนที่นอกตำหนักเงียบๆ
ไม่นานนักหยางจิงก็เดินออกมาจากในตำหนักและทำความเคารพหยางหวั่น
หยางหวั่นหันกายมา “วันนี้ไม่เข้าเวรอยู่กับองค์ชายหรือ”
“ขอรับ เหตุใดพี่หญิงยังไม่กลับไป”
หยางหวั่นมองเข้าไปข้างในตำหนักคราหนึ่ง “ถึงอย่างไรที่ตำหนักเฉิงเฉียนก็ไม่มีเรื่องอะไร ข้าจึงอยู่รอองค์ชายเลิกเรียน”
หยางจิงบอกว่า “พี่หญิงหนาวหรือไม่ ข้าจะไปเอาเสื้อมาให้ท่านสักตัว”
“ไม่ต้อง ข้าไม่หนาว” นางพูดพลางเงยหน้ามองไปที่หยางจิง
หยางจิงกับหยางหลุนรูปโฉมไม่เหมือนกัน หยางหลุนรูปร่างสูงใหญ่ หยางจิงกลับรูปร่างผอมบางขาวผ่องหมดจด ท่วงทีเคร่งขรึมคล้ายเติ้งอิงอยู่ส่วนหนึ่ง
“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าถูกรองราชเลขาธิการจางด่าว่าติดต่อกันอยู่หลายวัน” นางใช้น้ำเสียงเช่นคนในครอบครัวเปิดประเด็นสนทนาขึ้นมา
“ขอรับ” หยางจิงก้มหน้า “เป็นเพราะข้ารุกถอยไม่มีขอบเขต ทำให้รองราชเลขาธิการจางไม่พอใจ โชคดีที่มีองค์ชายช่วยพูดขอร้อง”
หยางหวั่นบอกว่า “พูดถึงสาเหตุกับข้าได้หรือไม่”
หยางจิงพยักหน้า “หนังสือ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ฉบับฝ่ายในคิดว่าพี่หญิงคงเคยอ่านแล้ว”
ฉบับฝ่ายในที่เขาพูดคือฉบับที่พิมพ์จากแม่พิมพ์ของราชวงศ์ ผ่านการพิมพ์ซ้ำโดยการแกะแม่พิมพ์ของโรงพิมพ์พระคัมภีร์ เรียกว่าเป็นหนังสือของทางการ
หยางหวั่นไม่ได้ขัดจังหวะเขา พิงอยู่หน้าเสาสูงพลางฟังเขาพูดต่อไปอย่างจริงจัง
หยางจิงถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ…
“หลังพระชายาประชวรได้ไม่นาน เดิมทีข้าไม่อยากหยิบพู่กันเขียนหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นจึงบอกปัดรองราชเลขาธิการจางไปหลายครั้ง หวังว่าสำนักศึกษาหลวงหรือกองอาลักษณ์จะรับงานนี้ไปแทน สุดท้ายก็ถูกรองราชเลขาธิการจางด่าว่า ข้าจึงต้องเขียน แต่ตัวอักษรที่เขียนออกมาหาได้ออกมาจากใจข้า ถ้อยคำสำนวนดูจงใจไม่ลื่นไหล แม้จะส่งไปพิมพ์ที่โรงพิมพ์พระคัมภีร์แล้ว แต่ยังคงทำให้รองราชเลขาธิการจางไม่พอใจ”
หยางหวั่นตบบ่าเขา “เจ้าใส่ใจมากหรือ”
“ขอรับ” หยางจิงถอนหายใจอีกครั้ง “นี่เป็นหนังสือที่ทางการจัดพิมพ์ รองราชเลขาธิการจางให้ข้าเขียน ความจริงแล้วนับว่าเป็นการยกย่องให้เกียรติ แต่ในใจข้ารู้สึกไม่สงบ…” เขาพูดแล้วเม้มปากอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายออก “ทั้งผิดต่อพี่สาวของตนและผิดต่อการประพันธ์”
หยางหวั่นฟังเขาพูดจบก็ยิ้มบางๆ “อายุยังน้อยก็ใคร่ครวญมากเพียงนี้”
หยางจิงบอกว่า “พี่หญิง ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว”
“ได้ ไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ถ้า…เจ้าต้องได้รับความลำบากเพราะหนังสือเล่มนี้…”
หยางจิงงงงัน “พี่หญิงหมายความว่าอย่างไร”
เขาเพิ่งกล่าวคำพูดนี้จบก็เห็นขันทีรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งขึ้นมาจากบันได “สหายร่วมเรียนหยาง คนขององครักษ์เสื้อแพรมีบางอย่างจะถามท่าน”
หยางจิงกับหยางหวั่นต่างก้มหน้ามองไปที่ด้านล่างของหน้ามุข
จางลั่วสวมชุดปกติสีดำ พาองครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนมาด้วย ยืนอยู่ห่างจากถนนในวังราวสิบก้าว
ตำหนักเหวินหวาเป็นสถานที่เล่าเรียนขององค์ชาย ถึงจะเป็นองครักษ์เสื้อแพร แต่ถ้าไม่มีพระบัญชาจากฮ่องเต้ก็ไม่อาจบุกเข้ามาล่วงละเมิดสถานที่ต้องห้าม
“เป็นผีร้ายพวกนี้อีกแล้ว”
หยางจิงพูดพลางประสานมือให้หยางหวั่น “พี่หญิงโปรดรอ ข้าไปสักครู่แล้วจะกลับมา”
พูดจบก็ยกชายเสื้อเดินลงบันได หยางหวั่นรีบเอาร่มให้เขาแล้วเดินตามไป “เอาร่มไปด้วย อย่าถูกฝน”
จางลั่วเห็นหยางหวั่นก็ไม่แม้แต่จะมอง เพียงพูดกับเซี่ยวเว่ยที่อยู่ด้านหลังว่า “พาตัวหยางจิงไป”
“ช้าก่อน”
จางลั่วหันมาเผชิญหน้ากับหยางหวั่น “ถ้าเจ้าพูดมากแม้แต่คำเดียว ข้าก็จะเอาตัวเจ้าไปด้วย”
หยางหวั่นเดินเข้าไปใกล้จางลั่วหลายก้าว “ท่านจะพาน้องชายข้าไป แค่ถามข้าก็ยังถามไม่ได้หรือ”
จางลั่วยกมือขึ้นโบก เซี่ยวเว่ยสองคนก็เข้าไปจับแขนซ้ายขวาของหยางจิงทันที
“พวกเจ้าพาเขาไป ยังไม่ต้องไต่สวน รอข้ากลับไปก่อน”
“ขอรับ”
“ช้าก่อน” หยางจิงดิ้นหลุดจากมือองครักษ์เสื้อแพร “ข้าเอาร่มทิ้งไว้ให้พี่สาวข้าก่อน ข้าเดินไปเองได้”
เขาพูดจบก็ส่งร่มให้หยางหวั่น