“ท่านน้า”
“หืม?”
“เมื่อครู่ท่านถูกกระแทกใช่หรือไม่” เขาพูดพลางมองไปที่หัวเข่าของหยางหวั่นแล้วกล่าวกับขันทีรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง “ประคองนางเดิน”
พูดจบตนเองก็ถอยกลับมาหลายก้าว เดินเคียงข้างหยางหวั่น
หยางหวั่นมองหัวไหล่ขององค์ชายอี้หลางที่ถูกฝนจนเปียกโชก ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
ถ้าเขาไม่ใช่องค์ชาย หรือจะพูดว่าถ้าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้จิ้งเหอในภายภาคหน้า เขาที่เป็นเด็กเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนรักใคร่ชื่นชอบ
แต่เขารู้ความเร็ว เป็นตัวของตัวเอง ทั้งยังมีภาระหน้าที่ที่ไม่สอดคล้องกับอายุ จึงไม่ควรถูกเลี้ยงดูภายใต้ปิ่นปักผมและชุดกระโปรง
ทว่าก็เป็นเพราะเช่นนี้ เขาจึงไม่มีวันมีความเมตตาเช่นที่หยางหวั่นปรารถนา
“จะไปทูลฝ่าบาทจริงๆ หรือเพคะ”
“ใช่” องค์ชายอี้หลางเงยหน้ามองหยางหวั่น “กองเจิ้นฝู่เหนือเอาตัวสหายร่วมเรียนของข้าไปแล้ว ทั้งยังข่มเหงลบหลู่ท่านน้า ถ้ามีเหตุผลข้าก็ไร้คำพูด แต่ถ้าเหตุผลไม่เหมาะสม ข้าจะทูลขอให้เสด็จพ่อลงโทษผู้กำกับการจาง”
หยางหวั่นก้มหน้า “เพราะเหตุใดต้องช่วยบ่าว องค์ชายทรงเห็นว่าบ่าวเคยทำเรื่องผิดมากมายไม่ใช่หรือ”
องค์ชายอี้หลางชะงักฝีเท้า ทุกคนก็พลอยหยุดตามเขาไปด้วย
ฝนตกลงบนร่มดังเปาะแปะ น้ำที่ไหลไปทั่วพื้นดินราวกับกระแสคลื่นทะเลในฤดูใบไม้ร่วง
องค์ชายอี้หลางเงยหน้าสบตาหยางหวั่น “ท่านน้า ท่านอาจเคยทำเรื่องผิด แต่ข้าไม่อยากเห็นท่านเสียใจจนเกินไป ดังนั้นข้าจะไม่ตำหนิเติ้งอิงอย่างโจ่งแจ้ง แต่ท่านน้า ข้าทำเช่นนี้กับท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“บ่าวเข้าใจ” หยางหวั่นไม่อยากให้เขาพูดต่อไป จึงก้มหน้าลงยิ้ม “ขอบพระทัยองค์ชาย”
หน้าตำหนักหยั่งซิน กระดาษปิดหน้าหนังสือของวันนี้เพิ่งส่งเข้ามา
ฝนตกค่อนข้างหนัก เพื่อที่จะปกป้องกระดาษปิดหน้าหนังสือและหนังสือฎีกา ขันทีรับใช้ที่มาจากสภาขุนนางแต่ละคนจึงอยู่ในสภาพเปียกปอนทุลักทุเล
หูเซียงที่ยืนถือลูกปัดไม้จันทน์ข้างเติ้งอิงกล่าวเสียงเย็น “วันนี้สมควรถูกโบยตายให้หมด ไม่พูดถึงว่าล่าช้า ยังทำให้สิ่งของของฝ่าบาทเปียกปอนไปหมด”
เหล่าขันทีรับใช้ที่เอากระดาษปิดหน้าหนังสือมาส่งไม่กล้าส่งเสียงร้องขอความเมตตาที่นอกตำหนักหยั่งซิน พอได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะให้หูเซียง
มีอยู่คนสองคนที่ตกใจยิ่ง อีกทั้งรู้ว่าหูเซียงเป็นคนที่ไม่เมตตาใคร จึงหันไปคุกเข่าตรงหน้าเติ้งอิง
เติ้งอิงชูเทียนเล่มหนึ่ง เปิดผ้าน้ำมันสีเหลืองที่ปิดคลุมกระดาษปิดหน้าหนังสือและหนังสือฎีกาออก พลิกดูหลายชั้นแล้วเอ่ยขึ้น
“ทุกคนลุกขึ้นก่อนเถิด” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในตำหนัก
หูเซียงตวาดอยู่ด้านหลังเขา “เติ้งอิง วันนี้คนพวกนี้ล้วนต้องถูกโบย นี่เป็นคำพูดของข้า!”
เติ้งอิงหยุดฝีเท้า “สำนักกิจการฝ่ายในหรือสำนักบูรพาเป็นผู้ควบคุมการลงโทษ”
ขันทีรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินคำพูดนี้แล้วก็รีบบอกว่า “พวกบ่าวขอร้องท่านผู้บัญชาการโปรดให้ความเมตตา”
เติ้งอิงก้มหน้าลงบอกว่า “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถิด”
“ขอรับ…”
หลายคนต่างไม่กล้ามองหูเซียง รีบลนลานถอยออกไปจากหน้ามุข
หูเซียงมองเงาด้านหลังที่ดูทุลักทุเลของคนเหล่านี้แล้วจึงบอกว่า “เจ้าในเวลานี้เป็นท่านบรรพชนคนที่สองของสำนักกิจการฝ่ายในไปแล้ว”
เติ้งอิงชะงักฝีเท้า ไม่ได้ตอบรับคำพูดนี้ เพียงม้วนแขนเสื้อขึ้นล้างมือที่หน้าประตูแล้วประคองถาดเข้าไปข้างในด้วยตนเอง
ในตำหนักเหออี๋เสียนกำลังปรนนิบัติเรื่องหมึกพู่กันให้ฮ่องเต้เจินหนิง หมึกช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงหนืดแข็ง เขียนได้ไม่ลื่น หลังโต๊ะทรงพระอักษรมีเตาเล็กๆ อยู่ใบหนึ่ง กำลังผิงแท่นฝนหมึกอยู่ เติ้งอิงทำความเคารพที่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร ฮ่องเต้เจินหนิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น