“รอเราเขียนตัวอักษรนี้เสร็จก่อน”
เหออี๋เสียนอยู่ที่ด้านข้างบอกว่า “ฝ่าบาท วันนี้ทรงเขียนอักษรมาทั้งเช้าแล้ว พักผ่อนสักครู่เถิด เสวยของว่างสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เจินหนิงยกพู่กันขึ้น “เมื่อครู่ข้างนอกเอะอะอะไรกัน”
เติ้งอิงตอบว่า “ทูลฝ่าบาท กระดาษปิดหน้าหนังสือและหนังสือฎีกาที่ส่งมาเปียกฝน บ่าวกับขันทีตรวจฎีกาหูหารือเรื่องลงโทษกันอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ” ฮ่องเต้เจินหนิงมองไปข้างนอก “ฝนตกแล้วหรือ”
เหออี๋เสียนหยิบหนังสือฎีกาออกมาจากถาดที่เติ้งอิงถืออยู่แล้วนำไปวางข้างมือฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “วันนี้ตั้งแต่เช้าท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ลมที่พัดมาก็หนาวเย็น เวลานี้ฝนตกแล้วก็ยิ่งหนาว”
ฮ่องเต้เจินหนิงแสดงท่าทีให้เติ้งอิงเปิดหนังสือฎีกา มองคราหนึ่งแล้วบอกว่า “ไม่เห็นจะเปียกสักเท่าใด เหตุใดต้องหารือเรื่องลงโทษ”
เติ้งอิงค้อมกายบอกว่า “ฝ่าบาทมีพระเมตตา บ่าวละอายใจยิ่ง”
ฮ่องเต้เจินหนิงดึงกระดาษปิดหน้าหนังสือออก “ช่างเถิด จะลงโทษก็ลงโทษไปเถิด หลายวันนี้เราจิตใจอ่อนล้า ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้”
เหออี๋เสียนที่อยู่ด้านข้างบอกว่า “ฝ่าบาทต้องทรงรักษาจิตใจให้ดี ขอเพียงฝ่าบาทถามสักคำ บ่าวทั้งหลายก็ขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ฝ่าบาท พระองค์มีพระทัยของพระโพธิสัตว์ พวกเราล้วนอาศัยความเมตตาของฝ่าบาทจึงมีชีวิตอยู่ได้”
ฮ่องเต้เจินหนิงฟังคำพูดนี้แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คำพูดส่วนใหญ่ล้วนประจบสอพลอเรา จุดนี้ไม่ดี” เขาพูดจบก็ชะงักพู่กัน “วันนี้ที่ตำหนักเหวินหวาบรรยายใหญ่หรือบรรยายเล็ก”
เติ้งอิงตอบว่า “บรรยายเล็ก แต่หัวข้อสภาขุนนางเป็นผู้กำหนด ดังนั้นรองราชเลขาธิการจางจึงอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เจินหนิงตอบรับแล้วชี้ไปยังชุดคลุมขนสัตว์ข้างหลังตนเอง “เอาเสื้อตัวนี้ของเราไปมอบให้องค์ชายอี้หลาง บอกเขาไม่ต้องขอบพระทัย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหออี๋เสียนปัดชุดคลุมให้เรียบด้วยตนเอง มอบให้ขันทีรับใช้แล้วเดินไปยังข้างกายฮ่องเต้ “ฝ่าบาททรงรักและทะนุถนอมองค์ชายใหญ่ บ่าวทั้งหลายเห็นแล้วละอายใจยิ่ง ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศก็เย็นแล้ว องค์ชายทั้งหลายยังทรงเยาว์วัย เกรงว่าจะต้องลำบากอยู่บ้าง ได้ยินหมอหลวงเผิงบอกว่าองค์ชายรอง…”
“เจ้าละอายใจอะไร”
เหออี๋เสียนยังพูดไม่ทันจบ แต่กลับถูกฮ่องเต้เจินหนิงตัดบทแล้ว อีกทั้งพอฮ่องเต้เจินหนิงถามจบยังวางพู่กันรอเขาตอบอย่างจริงจัง
ทว่าคำถามนี้เกี่ยวพันถึงธรรมเนียมใหญ่ในวัง อีกทั้งความสัมพันธ์ด้านศีลธรรมจรรยาของมนุษย์และน้ำใจของมนุษย์ที่มีต่อกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ตอบยากยิ่ง ชั่วขณะนั้นเหออี๋เสียนนิ่งอึ้งไป
ฮ่องเต้เจินหนิงเห็นท่าทางของเขาก็หัวเราะแล้วก้มหน้าบอกว่า “เบื้องล่างมีคนมากมายเพียงนั้น ต่างหวังจะได้รับความโปรดปรานจากเจ้า พวกเขาเรียกเจ้าว่าท่านบรรพชน เจ้าเองก็ขึ้นสวรรค์เพื่อพวกเขาไม่น้อย”
เหออี๋เสียนฟังคำพูดนี้แล้วก็รีบคุกเข่าค้อมกาย ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว
ฮ่องเต้ก้มหน้าลงมองเขาคราหนึ่ง “คำพูดนี้ของเราก็เพียงพูดในตำหนักเท่านั้น ตลอดชีวิตของเจ้าไม่ง่าย พอแก่ชราก็มีบุตรหลานที่ไม่อยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลจำนวนหนึ่งมากตัญญู เรายังจะดุด่ารุนแรงอะไรได้ เราเองก็อายุมากแล้ว อยากจะรักถนอมบุตรชายของตน และอยากให้บุตรชายนึกถึงเรา ความดีของบิดาผู้นี้ เพียงแต่มักจะมีคนบางคนไม่ยินดีเห็นเราเป็นบิดาเมตตาบุตรกตัญญู”
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกจากปาก ทุกคนในตำหนักรวมถึงเติ้งอิงต่างก็คุกเข่าลงทันที