ฮ่องเต้เจินหนิงเคาะโต๊ะแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ลุกขึ้น เราจะใช้ตราประทับ”
เติ้งอิงเห็นเหออี๋เสียนยังคงไม่กล้าลุกขึ้น จึงม้วนแขนเสื้อปรนนิบัติฮ่องเต้เจินหนิงใช้ตราประทับ คำสนทนาในตำหนักดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วไป แต่คำพูดในช่วงท้ายสุดเผยให้รู้เป็นนัยถึงเรื่องหนังสือ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ทว่าเรื่องนี้เหออี๋เสียนยังไม่รู้ ยังเข้าใจว่าเมื่อครู่ตนพลั้งปากเอ่ยถึงองค์ชายรอง ทำให้ฮ่องเต้เจินหนิงไม่พอใจ จึงเพียงหมอบร่างอยู่บนพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา
“ฝ่าบาท บ่าวมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”
หูเซียงยืนอยู่หน้ากรอบช่องประตูสลักลาย เห็นเหออี๋เสียนไม่ได้ลุกขึ้น จึงนิ่งงันอยู่เป็นนานไม่กล้าเข้ามา
ฮ่องเต้เจินหนิงบอกว่า “พูดมาเถิด เราเห็นเจ้ายืนมาพักหนึ่งแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” ครานี้หูเซียงจึงได้เดินเข้ามาในตำหนัก “ทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เจินหนิงมองไปทางด้านนอกคราหนึ่ง “เราบอกว่าไม่จำเป็นต้องขอบพระทัยไม่ใช่หรือ”
“ไฉนเลยจะเร็วเพียงนั้น คนไปส่งเสื้อคลุมยังเดินไม่พ้นตำหนักไท่เหอก็พบองค์ชายใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้องค์ชายใหญ่ทรงยืนรออยู่ข้างนอกมาพักหนึ่งแล้ว แต่บ่าวเห็นฝ่าบาททรงใช้ตราประทับอยู่จึง…”
“ตอนเราใช้ตราประทับเขาก็เข้ามาได้ เรียกตัวมาเถิด” พูดจบก็ก้มลงมองเหออี๋เสียนคราหนึ่งแล้วบอกว่า “ลุกขึ้นมาเถิด”
จากนั้นองค์ชายอี้หลางก็พาหยางหวั่นเดินเข้ามาในตำหนัก
ในตำหนักแสงเทียนสว่างไสว ส่องสว่างจนเห็นเงาของสิ่งของทุกชิ้นอย่างชัดเจน
องค์ชายอี้หลางคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร โขกศีรษะทำความเคารพฮ่องเต้เจินหนิง
ฮ่องเต้เจินหนิงวันนี้ดูอารมณ์ดีไม่น้อย แสดงท่าทีให้ทั้งสองคนลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามองค์ชายอี้หลาง “ตำหนักเหวินหวาวันนี้บรรยายเรื่องอะไร”
องค์ชายอี้หลางลุกขึ้นแล้วตอบว่า “ท่านอาจารย์จางบรรยาย ‘การเมืองสำคัญในสมัยเจินกวน’ พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ มานี่” ฮ่องเต้เจินหนิงยื่นมือออกมา แสดงท่าทีให้องค์ชายอี้หลางมายังข้างกาย “ฟังเข้าใจหรือไม่”
“ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมฟังเข้าใจทั้งหมด”
“ดี” ฮ่องเต้เจินหนิงยกชายแขนเสื้อช่วยเช็ดน้ำฝนที่หน้าผากองค์ชายอี้หลางด้วยตนเอง “เปียกฝนแล้ว”
หยางหวั่นรู้สึกว่าสายตาของฮ่องเต้เจินหนิงจับนิ่งอยู่ที่ร่างของตนก็รีบเอ่ยขออภัย “เป็นบ่าวที่ไม่ได้ปรนนิบัติองค์ชายให้ดี”
ฮ่องเต้เจินหนิงยังไม่ได้พูดอะไร องค์ชายอี้หลางก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแล้ว “เสด็จพ่อ เพื่อจะปกป้องกระหม่อม ท่านน้าเองเปียกโชกไปทั้งร่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เติ้งอิงมองไปที่หยางหวั่น มองดูแล้วนางยังนับว่าเรียบร้อยดี แต่ที่หัวไหล่แทบจะเปียกไปทั้งหมด
หยางหวั่นรู้ว่าเติ้งอิงกำลังมองนางอยู่ จึงทัดเส้นผมที่เปียกไปไว้หลังหูด้วยจิตสำนึก
ฮ่องเต้เจินหนิงปล่อยมือจากหัวไหล่องค์ชายอี้หลาง “ดูเช่นนี้แล้วนับว่าเจ้าทุ่มเทดูแลองค์ชายใหญ่อย่างเต็มที่”
หยางหวั่นหลุบตาพลางเอ่ยตอบ “บ่าวละอายใจยิ่ง”
ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไรกับหยางหวั่นอีก ก้มหน้าลงถามองค์ชายอี้หลาง “ฝนตกหนักเพียงนี้ เหตุใดถึงคิดจะมาที่นี่”
องค์ชายอี้หลางเดินออกจากโต๊ะทรงพระอักษรมาอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เจินหนิงแล้วประสานมือคารวะ “กระหม่อมมีคำพูดอยากจะทูลถามเสด็จพ่อ”
“พูดมาเถิด”
องค์ชายอี้หลางเหยียดกายขึ้นตรง “วันนี้จางลั่วผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือเอาตัวหยางจิงสหายร่วมเรียนของกระหม่อมไปจากตำหนักเหวินหวา กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุจึงมาที่นี่เพื่อทูลถามเสด็จพ่อ”
ธูปหอมบนโต๊ะทรงพระอักษรไหม้แล้วร่วงลงมา เถ้าธูปตกลงบนหลังมือของฮ่องเต้เจินหนิง
เหออี๋เสียนรีบก้มลงเป่าออกจากหลังมือฮ่องเต้เจินหนิงทันที
ฮ่องเต้เจินหนิงเก็บมือกลับมา เอียงหน้ามองไปที่องค์ชายอี้หลาง พูดเสียงไม่หนักไม่เบาออกมา “บังอาจ!”
ในตำหนักมีเพียงเหออี๋เสียนที่กล้าส่งเสียงไกล่เกลี่ยในเวลาเช่นนี้
“ฝ่าบาท องค์ชายยังทรงพระเยาว์…”
“บังอาจ!”
คำนี้กลับออกมาจากปากขององค์ชายอี้หลาง น้ำเสียงแทบจะเหมือนกับฮ่องเต้เจินหนิงไม่ผิดเพี้ยน