บทที่ 10.6 สายลมเย็นที่เฮาหลี่
หลังจากการสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วงเสร็จสิ้นลง เมืองหลวงก็มีฝนตกติดต่อกันหลายวัน ตลาดหนังสือที่อยู่ใกล้สำนักซุ่นเทียนกลับไม่ได้เงียบเหงาไปตามการสิ้นสุดของการสอบในฤดูใบไม้ร่วง ผู้เข้าสอบที่กำลังรอการประกาศผลสอบฉวยโอกาสที่สภาพอากาศกลับมาแจ่มใสจับกลุ่มกันสองคนสามคนออกมาเดินเล่นที่ตลาดหนังสือ
ชั่วขณะนั้นบนถนนตงต้าแน่นขนัดไปด้วยรถม้า ดูคึกคักอย่างยิ่ง
แต่ร้านชิงปอก่วนกลับปิดประตูใหญ่แน่นสนิท บนประตูมีแผ่นกระดาษปิดอยู่ ทำให้หลายคนหยุดลงแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์
ผู้เข้าสอบคนหนึ่งมองแผ่นกระดาษที่ปิดอยู่บนประตูพลางถามด้วยความประหลาดใจ
“เหตุใดถึงมีเพียงร้านชิงปอก่วนที่ถูกปิด”
คนที่อยู่ด้านข้างตอบว่า “ได้ยินว่ากองเจิ้นฝู่เหนือสั่งให้คนมาปิด ไม่เพียงปิดร้าน แม้แต่คนที่อยู่ข้างในก็เอาตัวไปด้วย”
“น่ากลัวว่าจะเป็นการสืบสวนวรรณกรรม* อีกแล้ว”
ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในแผงขายบะหมี่ที่ปากทางเข้าถนนตงกงด้วยกัน วางสัมภาระลงแล้วรินชาสองถ้วย ไอร้อนกรุ่นของน้ำชารมปลายจมูกของคนทั้งสองจนเปียกชื้น ทั้งสองถือถ้วยชามองน้ำค้างแข็งแห้งบนพื้น จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้น
“ยังอีกหลายวันกว่าผลการสอบจะปิดประกาศ เจ้าเอาเสื้อนวมมาเพียงพอหรือไม่”
“ห่วงอยู่ว่าจะไม่พอ อากาศเช่นนี้ต่อให้มีแดดก็ยังหนาว”
“ใช่ ทั้งยังแห้งมากอีกด้วย ฤดูหนาวปีนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไร”
“เฮ้อ…” ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
หนึ่งในนั้นวางถ้วยชาลงแล้วบอกว่า “ผลเก็บเกี่ยวไม่ดีติดต่อกันมาหลายปี สำนักศึกษาทางใต้ของเราแต่ละแห่งต่างประคับประคองต่อไปไม่ไหว เวลานี้แม้แต่ร้านหนังสือในเมืองหลวงบอกจะปิดก็ปิด ไม่รู้ว่าเงินที่จัดสรรให้การศึกษาท้องถิ่นเข้าปากสุนัขพวกใดไปแล้ว…”
“ชู่!” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรีบยับยั้งคำพูดของเขา “พอเถิด สอบให้ได้ลาภยศไม่ใช่เรื่องง่าย ระวังอย่าให้เกิดภัยจากปาก”
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีก ต่างขอบะหมี่น้ำใสคนละชามจากเจ้าของแผง
ถานเหวินเต๋อนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เตาไฟมากที่สุด กินบะหมี่อย่างรวดเร็วจนหมดชามแล้วหันไปกล่าวกับเจ้าของแผง
“เอามาอีกชามหนึ่ง ไม่ใส่เครื่องเคียง”
บะหมี่น้ำใสเพิ่งจะตักออกจากหม้อ ทุกคนที่แผงบะหมี่ต่างเฝ้าดูเจ้าของแผงเอาบะหมี่ใส่ชามตรงหน้า
เจ้าของแผงฉวยจังหวะช่วงที่ลวกบะหมี่มองถานเหวินเต๋อคราหนึ่ง “หัวหน้ากองพันถาน วันนี้ท่านกินไปสี่ชามแล้ว”
พอได้ยินคำเรียกนี้ สองคนที่พูดคุยกันเมื่อครู่ก็คว้าห่อสัมภาระเร่งฝีเท้าวิ่งออกไปทันที
“นี่ๆ! ไม่กินบะหมี่แล้วหรือ!”
เจ้าของแผงไล่ตามไปแต่ไม่ทัน จึงสะบัดผ้าเช็ดโต๊ะเดินกลับมา “โชคร้ายจริงๆ”
ถานเหวินเต๋อเอาเงินตบลงบนโต๊ะ พูดอย่างใจกว้าง “สองชามของพวกเขาเอามาให้ข้า”
เจ้าของแผงยิ้มอย่างอับจนปัญญา “ท่านช่วยดูแลการค้าของข้า ข้าย่อมดีใจ แต่ท่านอย่าเอาแต่นั่งกินอยู่ที่นี่ตลอดได้หรือไม่ แค่ท่านไปเดินเตร็ดเตร่ไปมาที่ด้านหน้าก็เหมือนว่าท่านกำลังทำงานแล้ว”
ถานเหวินเต๋อบอก “ท่านผู้เฒ่า ท่านพอเถิด ด้วยสถานะในเวลานี้ของข้ายังต้องไปจัดการงานการด้วยตนเองอีกหรือ”
เจ้าของแผงยิ้มพลางพยักหน้า ยกบะหมี่น้ำใสไม่ใส่เครื่องเคียงสองชามมาวางบนโต๊ะ “กินเถิดๆ”
ถานเหวินเต๋อกำลังจะหยิบตะเกียบ ทันใดนั้นก็มีเงาร่างคนผู้หนึ่งทรุดนั่งลงตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองคราหนึ่งแล้วลนลานลุกขึ้นยืน ตะเกียบที่วางพาดอยู่บนชามร่วงหล่นลงบนพื้น
“ท่านผู้บัญชาการ”
เติ้งอิงก้มลงเก็บตะเกียบบนพื้นแล้ววางไว้ที่เดิม “นั่งลงเถิด”
ถานเหวินเต๋อเห็นเติ้งอิงหอบหนังสือกองหนึ่งไว้ในอ้อมแขน จึงรีบใช้มือเช็ดคราบน้ำมันบนโต๊ะ “ท่านผู้บัญชาการ ท่านวางตรงนี้”
“ได้”
เติ้งอิงวางหนังสือลง ม้วนชายแขนเสื้อรินชาถ้วยหนึ่ง