ถานเหวินเต๋อเอ่ยว่า “ท่านผู้บัญชาการซื้อหนังสือมากเพียงนี้เชียว”
“อืม ถือโอกาสซื้อมา”
เขาพูดพลางก้มหน้าลงดื่มชาคำหนึ่ง ถานเหวินเต๋อมองบะหมี่สองชามตรงหน้าตนแล้วรีบผลักชามหนึ่งมาให้เติ้งอิง
“ท่านกินบะหมี่สักชามเถิด”
เติ้งอิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อยกมาแล้วเจ้าก็กินเถิด”
ถานเหวินเต๋อบอกว่า “ผู้น้อยเฝ้าอยู่ที่นี่ กินไปสี่ชามแล้วขอรับ” พูดจบก็เรอออกมาทีหนึ่ง
เติ้งอิงเห็นแล้วส่ายหน้าหัวเราะ เลื่อนชามมาตรงหน้าตน ลุกขึ้นไปหยิบตะเกียบคู่หนึ่งจากโต๊ะที่อยู่ใกล้กันมา
ทางด้านเจ้าของแผงตักเครื่องเคียงมาให้กระบวยใหญ่ “ท่านผู้บัญชาการ ท่านกินเถิด ถ้าไม่พอข้าจะลวกมาให้ท่านอีก”
ถานเหวินเต๋อกินบะหมี่พลางหัวเราะ กดเสียงต่ำบอกว่า “ท่านผู้บัญชาการ ท่านเป็นคนอัธยาศัยดี แม้แต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่เกรงกลัว”
เติ้งอิงคลุกเครื่องเคียงใส่บะหมี่ “คนที่จับตามองอยู่เป็นอย่างไรบ้าง”
“อ้อ” ถานเหวินเต๋อรีบวางตะเกียบแล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ผางหลิงผู้นั้นเมื่อวานก็ออกจากวังครั้งหนึ่ง ไม่ได้ไปที่ใด เพียงมาที่ร้านชิงปอก่วน พอเห็นกองเจิ้นฝู่เหนือจับคนปิดร้านก็ตกใจปานดื่มปัสสาวะสุนัข กระทั่งตอนขี่ม้าก็เกือบจะร่วงตกลงไป วันนี้ตอนยามเฉินเขาก็มาดูอีกครั้ง ปะปนอยู่ในฝูงชนไม่กล้าเดินมาที่หน้าร้าน ท่านผู้บัญชาการ ร้านชิงปอก่วนแห่งนี้ถูกคนของกองเจิ้นฝู่เหนือล้อมไว้ราวกับถังเหล็ก ที่แท้ข้างในมีอะไรกันแน่”
เติ้งอิงกล่าวเสียงเบา “พวกเจ้าเพียงเฝ้าดูผางหลิงให้ดี อย่าให้เป็นเพราะเรื่องของร้านชิงปอก่วนทำให้ไปกระทบกระทั่งกับกองเจิ้นฝู่เหนือ”
ถานเหวินเต๋อบอกว่า “ว่ากันตามเหตุผลแล้วสำนักบูรพาเราควรตรวจตราพวกเขา แต่ท่านให้พวกเราหลบเลี่ยงการตรวจสอบและการปิดร้านชิงปอก่วนของกองเจิ้นฝู่เหนือในครั้งนี้ ทำให้กองเจิ้นฝู่เหนือคิดว่าพวกเรากลัวพวกเขา กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างกับอะไรดี”
เติ้งอิงยิ้มๆ “กินบะหมี่เถิด กินแล้วก็กลับสำนักบูรพา”
ถานเหวินเต๋อพุ้ยบะหมี่พลางบอกว่า “เหตุใดท่านต้องรีบกลับถึงเพียงนี้ เหล่าผู้น้อยได้ขนเครื่องเรือนเข้าไปในเรือนให้ท่านแล้ว ท่านไม่ฉวยโอกาสที่ยังมีเวลาอยู่ไปดูสักหน่อยหรือขอรับ”
เติ้งอิงมองท้องฟ้าคราหนึ่ง “วันนี้ไม่มีเวลาแล้ว”
ถานเหวินเต๋อคิดจนศีรษะจะแตกก็คิดไม่ถึง ที่เติ้งอิงรีบร้อนกลับวังก็เพื่อจะช่วยซ่อมหลังคาให้หยางหวั่น
ทางด้านตำหนักเฉิงเฉียนเพิ่งจะผ่านพ้นยามอู่ อากาศแม้จะหนาว แต่แดดกลับแรงยิ่ง
เหออวี้ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ใช้มือป้องตามองไปบนยอดหลังคา
เติ้งอิงสวมเสื้อตัวสั้นสีเทา ม้วนแขนเสื้อขึ้น กำลังพูดกับช่างฝีมือที่มุงหลังคา
ขันทีรับใช้ของตำหนักเฉิงเฉียนไปรับถ่านกลับมา เห็นเหออวี้ยืนเงยหน้าอยู่กลางลานกว้างก็เงยหน้ามองตามไปด้วย
“จุ๊ๆ…พี่อวี้ นั่นคือ…ผู้บัญชาการเติ้งไม่ใช่หรือ”
คอของเหออวี้เริ่มแข็งเล็กน้อยแล้ว คร้านจะพูดจา ได้แต่พยักหน้าอย่างทึ่มทื่อ
ขันทีรับใช้ผู้นั้นวางเข่งถ่านลงแล้วขยับเข้ามาพูดข้างหูเหออวี้ “ข้าได้ยินว่าขันทีทั่วไปของสำนักกิจการฝ่ายในเหล่านั้นเวลานี้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามต่อหน้าท่านผู้บัญชาการ แต่หยางกูกู* กลับให้ท่านผู้บัญชาการมาซ่อมหลังคาให้เราที่นี่”
เหออวี้พยักหน้าอีกครั้ง ตอนแรกที่นางเห็นเติ้งอิงพาคนจากฝ่ายตรวจสอบวังหลวงมาที่นี่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หยางหวั่นไปรับองค์ชายอี้หลางที่ใกล้จะเลิกเรียน นางจึงไม่สะดวกจะพูดอะไร ได้แต่เฝ้าดูอยู่ในลานกว้างด้วยตนเอง ใครจะรู้พวกเขาขึ้นไปบนหลังคาแล้วก็ไม่ได้ลงมาอีก นางจึงต้องยืนอยู่ที่นี่มาครึ่งชั่วยามแล้ว
“ตำหนักเรามีแสงสีทองของพระพุทธองค์แผ่คลุมอยู่จริงๆ”
เขาพูดจบก็ถึงกับเอ่ยคำว่า ‘อมิตาภพุทธ’ ออกมา
“พี่อวี้ ท่านไม่รู้ วันนี้ข้าไปที่หน่วยถ่านฟืน หัวหน้าขันทีของที่นั่นยังปฏิบัติต่อข้าอย่างเกรงอกเกรงใจ”
คราวนี้เหออวี้จึงได้เอ่ยขึ้น “อย่าพูดจาเหลวไหล หยางกูกูไม่ชอบฟังคำพูดเช่นนี้ อีกทั้งหัวหน้าเฉินผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนที่มีไมตรี ไม่เคยประจบผู้ที่สูงกว่าเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่า”
“ใครประจบผู้ที่สูงกว่าเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่าหรือ”
คนในลานกว้างตกตะลึง รีบหันกายมาทำความเคารพ
องค์ชายอี้หลางจูงมือหยางหวั่นเดินเข้ามา เงยหน้าขึ้นมองหลังคาเรือนปีกข้างคราหนึ่งแล้วหันมากล่าวกับหยางหวั่น