“ท่านน้า ข้าจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ได้เพคะ”
หยางหวั่นแสดงท่าทีให้พวกเหออวี้ตามไป ส่วนตนเองเดินไปที่ใต้เสาระเบียงเงยหน้าขึ้นพูดกับเติ้งอิง “ยืนอยู่ข้างบนไม่กล้าทำความเคารพกระมัง”
“เวลาสัมผัสอิฐไม้ไม่ทำความเคารพ นี่เป็นกฎระเบียบ”
บนที่สูงมีลม วันนี้เติ้งอิงไม่ได้สวมหมวกถัง เพียงใช้แถบผ้าผูกผมไว้ ยืนอยู่ระหว่างสิ่งปลูกสร้าง ท่าทีสุขุมอ่อนโยน
หยางหวั่นชอบภาพนี้อย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะพูดจากใจจริง “ถ้าท่านเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็คงดี มองพวกเราจากที่สูงลงมา”
เติ้งอิงฟังจบก็ก้มลงจับบันไดที่พาดอยู่บนโต่วก่งให้มั่น
“อยากจะขึ้นมาดูหรือไม่”
“ไม่ตกลงมากระมัง” นางถามไปเช่นนี้ แต่กลับปีนขึ้นไปอย่างอดใจรอไม่ไหวแล้ว
“ช้าลงหน่อยเถิด เหยียบให้มั่น”
บรรดาช่างฝีมือต่างตามมาช่วยประคองบันได
หยางหวั่นเหยียบขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย แต่ไม่มีที่ให้ยึดเกาะจึงตื่นตระหนกเล็กน้อย “ออกจะสูงอยู่…บ้าง ข้าจะเหยียบขึ้นไปได้หรือ”
เติ้งอิงงอเข่าลงครึ่งหนึ่ง ยื่นมือมาให้หยางหวั่น “เจ้ายื่นมือมา ข้าจะจับมือเจ้าไว้ เจ้าเองก็ลองใช้กำลังของตนเอง ช้าลงหน่อยเถิด”
เหมือนกับนิสัยเชื่องช้าของเขา เติ้งอิงมักพูดกับหยางหวั่นอยู่บ่อยครั้งว่า ‘ช้าลงหน่อยเถิด’
หารู้ไม่ว่านางอยากเป็นคนที่ ‘ช้าลงหน่อย’ มากที่สุด
“มา เหยียบขึ้นมา”
หยางหวั่นใช้มือข้างหนึ่งคว้าแขนเติ้งอิงไว้ มืออีกข้างหนึ่งออกแรงยันกระเบื้องหลังคา ในที่สุดก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาได้
เติ้งอิงก้มลงปัดฝุ่นที่หัวเข่าของนาง “ตอนลงไปอาจจะยากสักหน่อย”
หยางหวั่นก้มลงนั่งยองๆ “ท่านปีนขึ้นมาเองหรือ”
เติ้งอิงหัวเราะพลางบอกว่า “ใช่”
“ท่านปีนที่ที่สูงร้ายกาจเพียงนี้ได้ด้วยหรือ”
เติ้งอิงฟังคำพูดนี้แล้วก็หัวเราะออกมา มองช่างฝีมือหลายคนที่อยู่โดยรอบอย่างเก้อเขินเล็กน้อย
“ประคองเจ้าให้นั่งลงดีหรือไม่”
“อืม” หยางหวั่นนั่งลงข้างสันลาดของหลังคาแล้วกล่าวกับเติ้งอิง “เมื่อวานตอนฝนรั่วลงมาข้ายังเข้าใจว่าฝันไป คิดไปว่าตำหนักในวังหลวงจะมีฝนรั่วได้อย่างไร”
เติ้งอิงเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าออกมา ในวังหลวงมีสิ่งปลูกสร้างมากกว่าพันหลัง ไม่ใช่ทุกหลังจะได้รับการดูแลไปทั่วทุกด้านเหมือนตำหนักไท่เหอที่เราก่อสร้าง อย่างเช่นกระเบื้องบนหลังคาของตำหนักใหญ่ทั้งสามส่วนใหญ่ทำจากโรงกระเบื้องที่อยู่ชานเมืองหลวง แต่กระเบื้องหลังคาของเรือนปีกข้างตำหนักเฉิงเฉียนหลังนี้…”
เขาพูดแล้วก้มลงหยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งยื่นมาถึงมือหยางหวั่น
หยางหวั่นก้มหน้าลงมอง เห็นบนนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า…
‘รัชศกเจินหนิงปีที่หนึ่ง โรงกระเบื้องหยวนอู่อู๋ เมืองผิงโจวทำถวาย’
“โรงกระเบื้องแห่งนี้เป็นของสกุลอู๋กระมัง”
“ใช่ ข้าเองก็เพิ่งรู้วันนี้ ที่นี่เป็นที่ประทับของราชวงศ์และเป็นตำหนักที่ใช้เวลาในการก่อสร้างยาวนานซับซ้อนยิ่ง ข้าเองก็มีส่วนร่วมอยู่เพียงสิบปีเท่านั้น แม้แต่ท่านอาจารย์เองตอนที่บูรณะซ่อมแซมตำหนักต่างๆ ในวังจึงค่อยรู้ว่าอิฐและกระเบื้องในตอนนั้นมาจากที่ใด แล้วช่างฝีมือทั้งหลายคิดอย่างไร”
หยางหวั่นกอดเข่า รับลมในที่สูงพลางหลับตาลง