ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 104
เรื่องนี้มีลู่เหิงมาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ หวังเหยียนชิงไม่อยากจะคิด วันที่ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นเรียบร้อย หวังเหยียนชิงเรียกเฝ่ยชุ่ยมาพบและยื่นหนังสือทางการให้นางฉบับหนึ่ง
เฝ่ยชุ่ยเห็นหนังสือที่ประทับตราของทางการฉบับนั้นแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ หวังเหยียนชิงดันเอกสารให้นางพลางพูด “นี่คือสัญญาขายตัวและเอกสารถอดทะเบียนทาสของเจ้า ก่อนหน้านี้เกรงว่าจะกระทบต่อจิตใจเจ้า ข้าจึงไม่ได้บอก บัดนี้ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าดูว่ายังติดขัดตรงที่ใดหรือไม่”
เฝ่ยชุ่ยหยิบขึ้นมาดู นางเป็นสาวใช้ประจำตัวของเจ้านาย พอรู้ตัวอักษรบ้างผิวเผิน นางไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวอักษรทุกตัวบนนั้น แค่แยกแยะลายพิมพ์นิ้วมือสีแดงและตราประทับของทางการบนสัญญาขายตัวได้ก็เพียงพอแล้ว
เฝ่ยชุ่ยถูกขายเป็นทาสตั้งแต่เล็ก เมื่อเป็นสาวใช้ก็ต้องต้อยต่ำกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง ต้องอดทนกับความเหนื่อยยากลำบาก ตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นบ่าวอยู่ตลอดเวลา มิเพียงต้องปกป้องเจ้านายยังต้องทุ่มเทชีวิตปกป้องทรัพย์สินของเจ้านายด้วย เฝ่ยชุ่ยเคยชินกับชีวิตเช่นนี้นานแล้ว จู่ๆ วันหนึ่งกลับมีคนบอกนางว่า ‘เจ้าเป็นอิสระแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่มีใครตีราคาเจ้าหรือเอาเจ้าไปขายต่อได้ตามใจชอบอีก’
เฝ่ยชุ่ยรู้สึกงุนงงชั่วขณะ นางเงียบงันเนิ่นนานถึงถามว่า “แม่นาง ท่านไม่คิดจะกลับจวนโหวจริงๆ หรือเจ้าคะ”
สัญญาขายตัวของเฝ่ยชุ่ยอยู่ในจวนเจิ้นหย่วนโหว ฟู่ถิงโจวมอบมันให้หวังเหยียนชิง บัดนี้หวังเหยียนชิงปล่อยนางให้เป็นอิสระ หนึ่งแสดงให้เห็นว่าหวังเหยียนชิงเห็นนางเป็นคนคนหนึ่งจริงๆ ไม่เหมือนคุณหนูพวกนั้นที่ปากบอกว่ารักใคร่ผูกพันกับสาวใช้ดุจพี่น้อง แต่กลับยึดสัญญาขายตัวของพวกนางไว้ในมือแน่น ไม่เคยพูดถึงการปล่อยคนเลย อีกทางหนึ่งยังแสดงให้เห็นว่าหวังเหยียนชิงตั้งใจจะไปแล้ว
ฉะนั้นก่อนไปหวังเหยียนชิงจึงจัดการเรื่องของเฝ่ยชุ่ยให้เรียบร้อยก่อน
หวังเหยียนชิงพยักหน้านิดๆ จนแทบมองไม่เห็น น้ำเสียงสงบราบเรียบ “ใช่”
สองคนตกอยู่ในความเงียบงัน เฝ่ยชุ่ยชะงักชั่วครู่ก่อนจะพูดเสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “ก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียท่านโหวก็ต้องแต่งงานกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ฐานะทัดเทียมกัน มิใช่จวนหย่งผิงโหวก็ต้องมีผู้อื่น ต่อให้ท่านโหวมีใจก็ไม่อาจดูแลเรือนหลังได้ตลอดเวลา นายหญิงกับฮูหยินผู้เฒ่าจะกลั่นแกล้งคนย่อมต้องคิดหาหนทางได้แน่ แทนที่จะถูกเหยียบย่ำไปทั้งชีวิต มิสู้จากไปอย่างบริสุทธิ์”
ความจริงครั้งก่อนตอนฟู่ถิงโจวมาหาหวังเหยียนชิง เฝ่ยชุ่ยก็มีลางสังหรณ์อยู่แล้ว สายตาที่หวังเหยียนชิงมองท่านโหวไม่หลงเหลือประกายเฉกเช่นในอดีต ในใจนางไม่มีความรัก ไม่มีความเกลียด ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธแค้น
เฝ่ยชุ่ยจึงรู้ว่าระหว่างท่านโหวกับแม่นางเป็นไปไม่ได้แล้ว
ช่วงเวลานี้เฝ่ยชุ่ยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ รับรู้ได้ถึงความใส่ใจที่ลู่เหิงมีต่อหวังเหยียนชิง เฝ่ยชุ่ยเติบโตมาในเรือนหลัง เห็นการฟาดฟันกันอย่างลับๆ ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ การแย่งชิงความรักใคร่ระหว่างภรรยากับอนุ ตลอดจนเหตุการณ์ที่สาวใช้แอบปีนขึ้นเตียงเจ้านายจนชาชิน เรื่องภายในเรือนไม่อยู่ในการดูแลของบุรุษ แต่ทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับบุรุษ เจ้าบ้านฝ่ายชายใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ ความจริงเดาไม่ยากเลยแม้แต่น้อย
เฝ่ยชุ่ยเคยสนับสนุนให้หวังเหยียนชิงอยู่ในจวนเจิ้นหย่วนโหวต่อไป เหตุผลมิพ้นฟู่ถิงโจวใส่ใจหวังเหยียนชิง แม้การพูดเช่นนี้จะโหดร้ายมาก แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างหวังเหยียนชิง การอยู่ข้างนอกยากเหลือเกินที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบและพึ่งพาตนเองได้อย่างที่นางวาดฝันไว้ ไม่ช้าก็เร็วนางต้องถูกบุรุษที่มากด้วยตัณหาหมายปอง ในเมื่อล้วนเป็นการบังคับแต่งงานเหมือนกัน มิสู้แต่งให้ฟู่ถิงโจว ดีร้ายอย่างไรฟู่ถิงโจวก็เคยมีไมตรีในวัยเยาว์กับนาง มีความรักและความจริงใจให้
…น่าเสียดายที่ความจริงใจเหล่านี้ยังคงถูกวางอยู่หลังผลประโยชน์ของจวนเจิ้นหย่วนโหว
แต่บัดนี้ดูเหมือนจะมีบุรุษอีกคนที่เห็นหวังเหยียนชิงสำคัญกว่าวงศ์ตระกูลและผลประโยชน์ เฝ่ยชุ่ยรู้ดีว่าที่ตนสามารถถอดทะเบียนทาสได้แท้จริงแล้วเป็นเพราะอาศัยบารมีของลู่เหิง ในมุมมองของเฝ่ยชุ่ย ต่อให้เลือกได้อีกครั้งตนก็ยังจะบอกความจริงกับหวังเหยียนชิงเหมือนเดิม แต่จากความคิดของลู่เหิง การกระทำของเฝ่ยชุ่ยกลับเป็นการทำลายงานแต่งงานของเขาอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นเช่นนี้ลู่เหิงยังคงยินดีเมตตา ยอมดีต่อเฝ่ยชุ่ยถึงสามส่วน ซึ่งมิพ้นเห็นแก่หน้าหวังเหยียนชิงนั่นเอง ดังคำที่ว่า ‘รักคนผู้หนึ่งย่อมรักอีกาบนหลังคาบ้านเขาด้วย’*
ตอนนี้หวังเหยียนชิงฟื้นฟูความทรงจำแล้ว นางยังคงเลือกที่จะไปจากฟู่ถิงโจว ตัดขาดกับสกุลฟู่โดยสิ้นเชิง หากนี่เป็นการตัดสินใจของหวังเหยียนชิง เฝ่ยชุ่ยก็ทำได้เพียงอวยพรให้นาง
ทว่าเฝ่ยชุ่ยยังคงไม่มีทางพูดเข้าข้างลู่เหิง นี่เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ว่าตอนนี้ลู่เหิงจะเสแสร้งได้น่าสงสารเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นคนเลว
อย่างไรเสียจวนเจิ้นหย่วนโหวก็มีบุญคุณต่อหวังเหยียนชิง หากไม่มีสกุลฟู่ นางจะได้เติบโตขึ้นมาอย่างราบรื่นหรือไม่ยังไม่แน่ หวังเหยียนชิงจึงไม่ได้ว่าร้ายจวนเจิ้นหย่วนโหว แต่ค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าถูกขายเพราะภัยธรรมชาติ ผ่านมาหลายปีแล้วไม่รู้บ้านเกิดเจ้ายังมีญาติพี่น้องอยู่หรือไม่ ข้าเตรียมสินเจ้าสาวไว้ให้เจ้าห้าสิบตำลึง หากเจ้าอยากกลับบ้านเกิด ข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับไป เจ้าไปซื้อที่นาที่นั่นสักหลายหมู่ หาคนดีๆ ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบ แต่หากเจ้าไม่อยากกลับบ้านเกิดก็หาซื้อร้านรวงในนครหลวงและทำการค้าเล็กๆ”
เฝ่ยชุ่ยส่ายหน้า “นครหลวงมีผู้สูงศักดิ์มากเกินไป บ่าวไม่อยากอยู่ที่นี่ เวลาผ่านมานานเพียงนี้บ่าวจำไม่ได้แล้วว่าบ้านเกิดหน้าตาเป็นอย่างไร จดจำได้เพียงที่นั่นมีนาข้าวเยอะมาก ในตัวอำเภอเจริญรุ่งเรืองทีเดียว บ่าวอยากกลับไปที่บ้านเกิดดูสักครั้ง หากหาคนในครอบครัวพบ ลงหลักปักฐานสักแห่งบริเวณใกล้ๆ ตัวอำเภอก็คงจะดีเช่นกัน”