หลังจากนั้นหวังเหยียนชิงก็ถามถึงมารดาและพี่น้องของนาง ไปจนกระทั่งผู้ใหญ่บ้าน คำตอบของสวีสี่เยวี่ยช้าลงทุกที แค่ชื่อของผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น นางก็ต้องหยุดคิดนานมาก หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นว่าใบหน้าของสวีสี่เยวี่ยขาวซีด ขอบหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึมรำไร หวังเหยียนชิงเห็นว่าพอสมควรแล้วจึงถามว่า “เจ้ากับหยางจินอิงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
ในที่สุดก็ได้ยินชื่อของหยางจินอิง สวีสี่เยวี่ยถึงกับลอบระบายลมหายใจออกมา นางตอบ “พวกเราพักอยู่ห้องเดียวกัน”
“ในเมื่ออยู่ห้องเดียวกัน เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าจึงไม่รู้เรื่องที่นางวางแผนลอบปลงพระชนม์”
“ฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดทรงวินิจฉัยด้วยเพคะ” สวีสี่เยวี่ยรีบพูด “ห้องของพวกเรามีคนอยู่ทั้งหมดแปดคน หม่อมฉันกับนางไม่ได้สนิทกัน”
“เจ้าได้ยินพวกนางวางแผนการลับได้อย่างไร”
สวีสี่เยวี่ยหลุบตา น้ำเสียงสงบนิ่งไหลลื่น เล่าออกมาโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย “วันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่ง ผู้น้อยกลับมาจากข้างนอก เห็นประตูและหน้าต่างห้องปิดสนิท ข้างในคลับคล้ายมีเสียงคนคุยกัน บ่าวเข้าไปใกล้ก็ได้ยินหยางจินอิงกำลังพูดอยู่ในห้องว่านายหญิงหวังและนายหญิงเฉาเร่งรัดสั่งให้พวกนางรีบลงมือ ตอนนั้นผู้น้อยไม่รู้ว่าพวกนางคุยอะไรกัน ผู้น้อยผลักประตูเข้าไป เห็นในห้องมีหยางจินอิง จางจินเหลียน และนางกำนัลคนอื่นๆ อีกสิบกว่าคน สีหน้าทุกคนเคร่งเครียด พวกนางเห็นผู้น้อยกลับมาก็เตือนผู้น้อยว่าอย่าพูดจาส่งเดช จากนั้นก็แยกย้ายไป”
หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ ถามต่อ “เจ้าได้ยินพวกนางคุยกันเวลาใด”
สวีสี่เยวี่ยไม่เปลืองเวลาขบคิดแม้แต่น้อย ตอบโดยตาไม่กะพริบ “วันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่งยามโหย่วเจ้าค่ะ”
“คำพูดดั้งเดิมของหยางจินอิงคืออะไร”
“คำพูดดั้งเดิมของหยางจินอิงคือฝ่าบาทไม่เสด็จไปวังของหวังหนิงผินนานแล้ว หวังหนิงผินเกิดความเคียดแค้น เฉาตวนเฟยรับปากหวังหนิงผินแล้วว่าวันนั้นจะพานางกำนัลขันทีออกไปให้หมด หวังหนิงผินเห็นว่าเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้วจึงเร่งให้หยางจินอิงลงมือโดยเร็ว”
หวังเหยียนชิงจ้องสวีสี่เยวี่ยด้วยสีหน้าปกติ เอ่ยถาม “คนอื่นๆ ว่าอย่างไร”
“คนอื่นๆ บอกว่าตกลง จะไม่ทำให้หวังหนิงผินกับเฉาตวนเฟยผิดหวังแน่นอน”
ฟางฮองเฮาฟังถึงตรงนี้ก็หันไปพูดกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หญิงผู้นี้ตอบคำถามได้อย่างไหลลื่น ไม่มีชะงักหรือติดขัด คำให้การก็ไม่มีส่วนใดที่ขัดแย้งกัน ตามความเห็นของหม่อมฉัน คนร้ายครั้งนี้หวังหนิงผินก็คือตัวการ เฉาตวนเฟยรู้เรื่องแต่กลับให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ”
ผู้คนในตำหนักหันไปมองลู่เหิงเงียบๆ หลักฐานหนักแน่นดุจขุนเขา คำให้การละเอียดครบถ้วน ดูแล้วฟางฮองเฮาเป็นฝ่ายถูก ใต้เท้าลู่ได้ชื่อว่าไม่มีคดีใดที่คลี่คลายไม่ได้ เห็นทีครั้งนี้คงดูผิดไปเสียแล้ว
ลู่เหิงยืนอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยอะไร สีหน้าสุขุมเยือกเย็นทีเดียว ไม่คิดจะชี้แจงแก้ตัวใดๆ ให้กับตนเอง ฟางฮองเฮาเชิดหน้าอย่างโล่งอก นางกำลังจะตีเหล็กตอนร้อน* ชิงเอาสิทธิ์ในการเลี้ยงดูองค์หญิงใหญ่มาไว้กับตัว หวังเหยียนชิงกลับเอ่ยปากกะทันหัน “หม่อมฉันกลับมีความเห็นต่างไปจากฮองเฮา หม่อมฉันคิดว่านางกำนัลผู้นี้กำลังโกหก”
วาจานี้ทำให้คนตกใจตายได้จริงๆ ทุกคนในตำหนักต่างสูดหายใจเข้าเบาๆ จางจั่วเหลือบมองสีหน้าของฟางฮองเฮาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ตีหน้าขรึมเอ่ย “ลู่ฮูหยิน วาจานี้มิอาจกล่าวส่งเดชได้”
ฟางฮองเฮาสีหน้าถมึงทึง หวังเหยียนชิงกลับไม่ร้อนใจและไม่ขุ่นเคือง ถามกลับอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าควรเรียกขานกงกงว่าอย่างไรหรือ”
จางจั่วงุนงงกับคำพูดของหวังเหยียนชิง เขาเห็นฮ่องเต้ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ ด้วยเห็นแก่หน้าของลู่เหิงจึงตอบว่า “ข้าแซ่จาง”
“วันนี้จางกงกงกินอาหารเย็นหรือยัง”
จางจั่วงงงวยกว่าเดิม ตอบอย่างลังเล “กินแล้ว”
“ยามใด”
“ยามเซิน”
“กินอะไรไปหรือ”
สายตาของจางจั่วกวาดมองไปที่หวังเหยียนชิงกับลู่เหิงไม่หยุด ไม่แน่ใจว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ หวังเหยียนชิงยิ้มให้จางจั่วพลางพูด “จางกงกง ท่านดูเถิด ท่านจะไม่ตอบว่า ‘วันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่งยามเซินข้ากินอาหารเย็นแล้ว’ แต่ตอนที่ข้าซักถามสวีสี่เยวี่ย นางจะทวนคำถามของข้าตลอดเวลา หากคนเราตอบโดยอาศัยความทรงจำที่แท้จริง ความสนใจจะมุ่งไปที่การทบทวนความทรงจำ หัวสมองจะยอมรับและละเรื่องราวที่สองฝ่ายต่างรู้ดีอยู่แล้วไปโดยปริยาย มีเพียงคนโกหกเท่านั้นที่ในหัวไม่มีรายละเอียดของความทรงจำ จิตใต้สำนึกจึงต้องพูดทวนคำสำคัญที่ได้ยินออกมาอีกครั้งอย่างแข็งทื่อ จุดประสงค์เพื่อเพิ่มเวลาในการตอบสนองให้ตนเอง”
พูดจบหวังเหยียนชิงก็หันไปหาฮ่องเต้ ยอบกายคำนับอย่างคล่องแคล่ว “ฝ่าบาท การสอบปากคำของหม่อมฉันเสร็จสิ้นแล้ว สวีสี่เยวี่ยโกหก นางไม่ได้ยินบทสนทนาของหยางจินอิงแต่อย่างใด การวางแผนลับที่นางว่าเป็นเพียงการท่องจำมาอีกทีหนึ่งเท่านั้นเพคะ”
ริมฝีปากของลู่เหิงมีรอยยิ้มฉายวาบขึ้นเล็กน้อย เขาสะกดมันไว้ทันที ตีหน้าขรึมประสานมือเอ่ยกับฮ่องเต้เช่นกัน “ฝ่าบาท ในเมื่อสตรีผู้นี้ไม่ได้ยินหยางจินอิงพูด เช่นนั้นเกรงว่าหวังหนิงผินกับเฉาตวนเฟยอาจมิใช่ตัวการของกบฏในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
* ตีเหล็กตอนร้อน อุปมาถึงการกระทำบางสิ่งในช่วงเวลาหรือภายใต้เงื่อนไขที่ได้เปรียบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.