ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 108
บทที่ 108
ลู่เหิงพูดจบ ภายในตำหนักเงียบงันจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก ฮ่องเต้เอนกายอยู่บนเตียง ฟังอย่างเดียวโดยไม่เอ่ยอะไร ฟางฮองเฮาลนลานเล็กน้อย รีบลุกขึ้นเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนะเพคะ บ่าวชั่ว เจ้าช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าโกหกหลอกลวงข้าหรือ”
ฟางฮองเฮาพูดพลางหันไปตวาดสวีสี่เยวี่ย สวีสี่เยวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นิ่งงันไปพักหนึ่งจึงรู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน โขกศีรษะไม่หยุด ปากสั่นจนพูดอะไรไม่ออก ฟางฮองเฮาโบกมือไปที่ขันทีทันใด ตีหน้าขรึมเอ่ย “บ่าวต่ำช้าผู้นี้ถึงกับกล้าหลอกลวงข้า ใครก็ได้ ลากตัวนางไปขังไว้”
น้ำเสียงของฟางฮองเฮาทั้งร้อนรนและแหลมสูงแทบอยากจะพุ่งเข้าไปปิดปากสวีสี่เยวี่ยด้วยตนเอง คนในวังฉลาดเฉียบแหลม ปกติหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นย่อมมีขันทีออกมาทำตามคำสั่งของฟางฮองเฮานานแล้ว ทว่าครั้งนี้ฟางฮองเฮาตะโกนสั่งถึงสองครั้ง ในตำหนักกลับไม่มีใครขยับตัวสักคน
ลู่เหิงไม่แสดงท่าที องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่ฟังคำสั่งของฮองเฮาอยู่แล้ว ขันทีใหญ่ที่รับใช้เบื้องพระพักตร์จางจั่วก้มศีรษะไม่เอ่ยวาจา ขันทีทั้งในนอกใครบ้างจะกล้าขยับ
สีหน้าของฟางฮองเฮาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นางกำมือแน่นพลางหันไปทางฮ่องเต้ “ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้ที่ไม่พูดอะไรสักคำ ยามนี้ในที่สุดก็เอ่ยปากเสียงเรียบ “สตรีผู้นี้ให้ร้ายสนมชายา หลอกลวงเบื้องสูงทรยศเจ้านาย ลากออกไปโบยให้ตาย”
ขันทีจึงได้เคลื่อนไหว จางจั่วรับคำ ส่งสัญญาณให้ขันทีเบื้องล่างรีบลากตัวนางกำนัลผู้นี้ออกไป สวีสี่เยวี่ยตระหนักว่าตนกำลังจะเผชิญชะตากรรมเช่นไร เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นทันที ขณะกำลังจะเอ่ยปากกลับถูกขันทีปิดปากไว้แน่น นางส่งเสียงดังอู้อี้พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ขันทีไม่เปิดโอกาสให้นางแม้แต่น้อย ลากตัวนางโยนออกไปเหมือนกระสอบป่านใบหนึ่ง
เสียงร่ำไห้ของสวีสี่เยวี่ยหายลับไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว วังอี้คุนคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ปลอกเล็บประณีตของฟางฮองเฮาประสานเข้าด้วยกัน นางลอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง มองฮ่องเต้อย่างสง่างามและจริงใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบเลยว่าบ่าวผู้นี้จะกล้าหลอกลวงเบื้องบนปิดบังเบื้องล่าง ให้ร้ายน้องหญิงตวนเฟยและน้องหญิงหนิงผิน หม่อมฉันเกรงว่าโจรกบฏจะหลบหนี ด้วยความร้อนใจชั่วขณะจึงสั่งให้คนคุมขังตวนเฟยกับหนิงผินไว้ แต่หม่อมฉันเพียงสั่งให้คนสอบปากคำพวกนางเท่านั้น หาได้คิดจะปองร้ายตวนเฟยกับหนิงผินไม่ คนเบื้องล่างกระทำการโดยพลการ หม่อมฉันไม่ทราบเรื่องโดยสิ้นเชิง”
ผู้คนทั้งในและนอกตำหนักต่างดูออกว่าฟางฮองเฮากำลังปัดความรับผิดชอบ ปัดความผิดเรื่องการใส่ความสนมชายาให้สวีสี่เยวี่ยก่อน จากนั้นก็ปัดความผิดเรื่องการลงทัณฑ์โดยพลการไปให้ขันที เอาเป็นว่าฟางฮองเฮาไม่มีทางทำผิด หากจะผิดนั่นก็เพราะถูกคนเบื้องล่างชักจูง
ทุกคนต่างก้มศีรษะเงียบๆ แม้กระทั่งลมหายใจยังจงใจผ่อนให้เบาลง ฮ่องเต้เอนกายอยู่บนเตียง เงียบงันครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ล่วงเกินเบื้องสูงก่อความวุ่นวาย ให้ร้ายสนมชายา บัดนี้ยังกล้าหลอกลวงฮองเฮาอีก เห็นทีไม่จัดระเบียบฝ่ายในคงไม่ได้แล้ว ลู่เหิง”
ลู่เหิงประสานมือ “พ่ะย่ะค่ะ”
“ตรวจสอบฝ่ายในให้ละเอียด กวาดล้างพวกกบฏให้สิ้น”
ลู่เหิงคิ้วตาไม่เปลี่ยนแปลง รับคำอย่างสงบ จางจั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างตกใจเล็กน้อย องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาและสำนักประจิมประชันขันแข่งกันทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่หยุดหย่อน แต่ที่ผ่านมามีเส้นแบ่งเส้นหนึ่งที่สองฝ่ายต่างยอมรับเงียบๆ นั่นคือเรื่องของฝ่ายในอยู่ในความดูแลของสำนักบูรพาและสำนักประจิม องครักษ์เสื้อแพรไม่เคยก้าวก่าย ทว่าบัดนี้แม้กระทั่งเรื่องราวของฝ่ายในฮ่องเต้ก็สั่งให้ลู่เหิงเป็นคนตรวจสอบ
ช่วงเวลานี้เนื่องจากมีผู้บัญชาการอย่างลู่เหิง องครักษ์เสื้อแพรจึงแข็งแกร่งกว่าสำนักบูรพาและสำนักประจิมมาโดยตลอด ขันทีเห็นองครักษ์เสื้อแพรแล้วยังต้องปั้นยิ้มให้ บัดนี้รับสั่งของฮ่องเต้ไม่ต่างจากการฉีกหน้าชั้นสุดท้ายของสำนักบูรพาและสำนักประจิมจนไม่เหลือ แม้แต่อาณาเขตผืนสุดท้ายขันทีก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว นี่เท่ากับเป็นการประกาศต่อเหล่าขุนนางว่านับแต่นี้ไปองครักษ์เสื้อแพรจะอยู่เหนือสำนักบูรพาและสำนักประจิมโดยสมบูรณ์
ฮ่องเต้สุ้มเสียงแหบพร่า แต่ยามเสียงนี้ลอยเข้าหูของทุกคนกลับหนักอึ้งเป็นพันจวิน* จวบจนบัดนี้หัวใจของฟางฮองเฮายังคงเต้นตึกตักไม่หยุด ฮ่องเต้มิได้สืบสาวเอาความเรื่องการตายของเฉาตวนเฟยกับหวังหนิงผินอีก เห็นได้ว่ายังคงเห็นแก่สายสัมพันธ์สามีภรรยาและบุญคุณที่ช่วยชีวิต น่าเสียดายทั้งที่นี่เป็นโอกาสอันดีที่นางจะได้ควบคุมฝ่ายใน บัดนี้กลับถูกลู่เหิงสามีภรรยาคู่นี้ยื่นมือเข้าแทรกเสียแล้ว
หากฮ่องเต้มอบหมายเรื่องนี้ให้ขันที ฟางฮองเฮายังสามารถแทรกแซงได้ แต่หากมอบหมายให้องครักษ์เสื้อแพร นางก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายโดยสิ้นเชิง
เรื่องภายในวังเดิมทีสมควรให้นางที่เป็นฮองเฮาเป็นผู้ดูแลจัดการ ฮ่องเต้กลับข้ามหน้าข้ามตานาง มอบหมายเรื่องนี้ให้ขุนนางภายนอก นี่มิใช่การตบหน้าฟางฮองเฮาหรือ ฟางฮองเฮาไม่พอใจ แต่ไม่กล้าออกหน้าโต้แย้งอีกแล้ว
ว่ากันว่าลู่เหิงทำคดีไม่เคยผิดพลาด หากล่วงเกินลู่เหิงเข้า วันหน้าหากเขากัดนางไม่ปล่อย เช่นนั้นย่อมถึงคราวฟางฮองเฮานอนไม่หลับ อีกทั้งฮูหยินของเขาก็ร้ายกาจอยู่บ้างจริงๆ
ฟางฮองเฮาไม่เชื่อว่าจะมีคนที่อาศัยเพียงการดูสีหน้าก็สามารถอ่านความคิดในใจผู้อื่นได้ กระนั้นคำพูดของหวังเหยียนชิงเมื่อครู่คล้ายยังดังอยู่ข้างหู ฟางฮองเฮารู้สึกขยาดเล็กน้อย ไม่กล้าทดสอบอีกแล้ว
ฟางฮองเฮารู้สึกคับแค้นใจ ไม่อยากเผชิญหน้ากับลู่เหิงและหวังเหยียนชิงอีก จึงเอ่ยว่า “ดึกมากแล้ว หม่อมฉันมิกล้ารบกวนการพักฟื้นของฝ่าบาท ขอทูลลาเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้านิดๆ เป็นเชิงอนุญาต จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้วังหลวงวุ่นวาย องค์หญิงใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”
ฟางฮองเฮาตระหนก รีบหันไปมองฮ่องเต้ “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่หลับอยู่ในวังคุนหนิงเพคะ องค์หญิงใหญ่ยังเยาว์วัย มารดาบังเกิดเกล้าของนางก็เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย หม่อมฉันเกรงว่าเด็กจะได้รับความตกใจจึงสั่งให้หมัวมัวข้างกายดูแลองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างดี”
“ฮองเฮามีใจแล้ว” ฮ่องเต้พูด “นางเปลี่ยนสถานที่อาจจะนอนไม่หลับ อุ้มมาที่นี่เถอะ”
หัวคิ้วของฟางฮองเฮาขมวดเข้าด้วยกัน ฮ่องเต้มิได้ถือสาหาความเรื่องเฉาตวนเฟย แต่กลับเอาตัวองค์หญิงใหญ่กลับไป ฮ่องเต้หมายความว่าอย่างไร ฟางฮองเฮาไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง นางเป็นภรรยาเอกและเป็นมารดาสายตรง อุตส่าห์รับตัวบุตรสาวของชายารองมาอยู่ข้างกายแล้ว หากต้องอุ้มกลับไปอีก ผู้คนในตำหนักในจะมองนางอย่างไร ฟางฮองเฮาไม่ยินยอม แต่เห็นสีหน้าของฮ่องเต้แล้วนางก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีก ได้แต่กัดฟันตอบอย่างขุ่นแค้น “เพคะ”
ฟางฮองเฮาจากไป จางจั่วตามไปที่วังคุนหนิงรับตัวองค์หญิงใหญ่ รอจนคนจากไปแล้ว ฮ่องเต้จึงเอ่ยกับลู่เหิงว่า “เรื่องเหลวไหลพวกนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำชี้แจง กับภายนอกเจ้าประกาศไปว่าหยางจินอิงพร้อมพวกทั้งหมดสิบหกคนถูกองครักษ์เสื้อแพรประหารชีวิต ตัดหัวเสียบประจานในตลาด หยางจินอิงรับสารภาพว่าหวังหนิงผินเป็นคนวางแผน เฉาตวนเฟยรู้เรื่อง พระสนมหวังและพระชายาเฉาต่างสำนึกผิดจึงฆ่าตัวตาย”