ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 108
ลู่เหิงรับคำอย่างสงบ นี่ก็คือประโยชน์ขององครักษ์เสื้อแพร ช่วยผู้มีอำนาจกระทำสิ่งที่ไม่อาจเปิดเผยต่อใต้หล้าได้ ในยามจำเป็นยังต้องช่วยฮ่องเต้และฮองเฮาแบกหม้อดำ อย่างไรเสียคนก็ตายไปแล้ว จะให้ประกาศกับใต้หล้าและคนรุ่นหลังว่าฮองเฮาอิจฉาริษยาจึงฆ่าสนมชายาอย่างโหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ
บางครั้งความจริงก็อัปลักษณ์เสียจนผู้มีอำนาจเองยังไม่อยากจะยอมรับ
ลู่เหิงรับคำสั่งและออกไปเก็บกวาดร่องรอยต่างๆ ช่วยจัดการเรื่องภายหลังให้ฟางฮองเฮา ทั้งยังปลอมแปลงเอกสารและเบาะแสที่เกี่ยวข้อง บันทึกเหตุการณ์นี้ในประวัติศาสตร์ใหม่โดยสิ้นเชิง หวังเหยียนชิงตามลู่เหิงจากไป ตอนกำลังจะเดินออกจากประตู ฮ่องเต้พลันถาม “ไม่ว่าผู้ใดโกหก เจ้าล้วนดูออกหรือ”
หวังเหยียนชิงหยุด เห็นทุกคนต่างมองมาที่นางจึงตระหนักว่าฮ่องเต้กำลังคุยกับนางอยู่จริงๆ หญิงสาวหันกลับมายอบกายให้พระองค์ ตอบอย่างสำรวม “ก็ไม่แน่เพคะ ต้องมีพิรุธหม่อมฉันจึงจะดูออก หากบางคนอุบายลุ่มลึก วางแผนยาวไกลไร้ช่องโหว่ ให้เวลาหม่อมฉันสองปีหม่อมฉันก็ยังดูไม่ออก”
ลู่เหิงรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ
ฮ่องเต้เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้น มิได้สนใจหวังเหยียนชิงอีกกลับเผยท่าทีเหนื่อยล้าออกมา ขันทีเห็นดังนั้นก็รีบก้าวเข้าไปปรนนิบัติ ลู่เหิงทูลลาอีกครั้งและพาหวังเหยียนชิงจากไป
รอจนกระทั่งเดินออกจากวังอี้คุน หวังเหยียนชิงจึงระบายลมหายใจยาวออกมาในที่สุด ลู่เหิงเดินอยู่ข้างกายนาง ช่วยบังลมหนาวที่พัดมาจากตรอกในวังให้พลางพูด “ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านก่อน”
หวังเหยียนชิงเข้าใจว่าลู่เหิงยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย นางรู้ดีว่าในวังกำแพงมีหู ดังนั้นตลอดทางจึงไม่เอ่ยอะไร รอจนออกจากประตูวังแล้ว นางก้าวขึ้นรถม้า หันไปมองกลับเห็นชายหนุ่มตามขึ้นมาด้วย
หวังเหยียนชิงอึ้งงันไป อดถามไม่ได้ “ไฉนท่านจึงเข้ามาด้วย”
ลู่เหิงขึ้นนั่งบนรถม้า ตอบอย่างผ่าเผย “ไหล่มีแผลอยู่ ข้าขี่ม้าไม่สะดวก”
หวังเหยียนชิงชะงักไปเพราะข้ออ้างนี้ พูดอะไรไม่ออกจริงๆ รถม้าเคลื่อนที่ลัดเลาะไปในนครหลวงที่เงียบสงัด ล้อรถส่งเสียงดังกึงกัง หวังเหยียนชิงก้มหน้าจ้องนิ้วมือตนเอง ใจลอยโดยไม่รู้ตัว
นางคิดถึงวันงานแต่งงานที่ลู่เหิงถูกธนูยิง เขาหักก้านธนูประดับขนนกออกด้วยตนเองอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่าหัวลูกธนูฝังลงไปลึกหรือไม่ หลังได้รับบาดเจ็บเขาแทบไม่ได้พักผ่อนเลย ก่อนหน้านี้ไล่จับผู้ร้ายไปทั่วเมือง ตอนนี้ยังต้องจัดการกับเรื่องวุ่นวายในวังหลวง…
พูดไปแล้วหากมิใช่เพราะนาง ลู่เหิงก็ไม่มีทางถูกธนูยิง
พอลู่เหิงพูดถึงบาดแผลที่ไหล่ หวังเหยียนชิงก็รอให้เขาเอาเรื่องบาดแผลมาเป็นประเด็น แต่นอกจากเอ่ยถึงคำหนึ่งตอนแรกแล้ว หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดถึงแผลที่ไหล่อีกเลย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปสืบหาเบาะแสจากคนรอบตัวของหยางจินอิง ยังต้องรบกวนเจ้าไปกับข้าด้วย วันนี้ข้าล่วงเกินฟางฮองเฮา วันหน้าไม่แน่นางอาจจะมาหาเรื่องเจ้า ข้าจะจัดองครักษ์มาคอยคุ้มกันเจ้าโดยเฉพาะ แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เจ้าอย่าตามผู้อื่นไปที่ใดตามลำพังเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าไปที่หมู่ตำหนักเปลี่ยวร้างทางทิศเหนือของอุทยานหลวง”
หวังเหยียนชิงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาไม่ปกตินักจึงถาม “มีอันใดหรือ”
แต่ก่อนนางก็เคยเข้าวังมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมเข้าใจหลักการที่ว่าสำรวมวาจาระมัดระวังตน เหตุใดลู่เหิงต้องกำชับเป็นพิเศษด้วย ลู่เหิงถอนหายใจ “เป็นข้าที่หวาดระแวงไปเอง เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า จึงอดกำชับเพิ่มเติมไม่ได้ แต่น่าจะไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เจ้าถือเสียว่าไม่ได้ยินแล้วกัน”
พอเขาพูดเช่นนี้หวังเหยียนชิงก็ยิ่งไม่อาจทำเป็นไม่ได้ยิน นางขบคิดแล้วลองถามดู “เฉาตวนเฟยกับหวังหนิงผินเสียชีวิตอย่างไร”
ลู่เหิงมองนาง ทำท่าจะพูดและเงียบไป สุดท้ายก็ถอนหายใจก่อนตอบ “คนหนึ่งถูกประหารด้วยทัณฑ์หลิงฉือ คนหนึ่งถูกแขวนคอ”
หวังเหยียนชิงได้ยินแล้วสูดหายใจด้วยความตระหนกอย่างห้ามไม่อยู่ “ทัณฑ์หลิงฉือ?”
ลู่เหิงกุมมือนางและออกแรงบีบ “อย่าคิดอีกเลย เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าเปิดโปงคำโกหกของนางกำนัลผู้นั้น คืนความบริสุทธิ์ให้พวกนาง นับว่าได้ช่วยเหลือพวกนางอย่างมากแล้ว”
หวังเหยียนชิงเคยได้ยินคำว่า ‘หลิงฉือ’ จากในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น อาศัยเพียงคำบรรยายไม่กี่คำในหนังสือ นางก็คลับคล้ายจะได้กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ไม่คิดว่าการลงทัณฑ์อันโหดเหี้ยมเช่นนี้จะเกิดขึ้นใกล้ตัวนางจริงๆ ทั้งยังเกิดกับสตรีที่นางรู้จัก
หวังเหยียนชิงคิดถึงพระชายาที่สดใสช่างยิ้มและเป็นที่โปรดปรานผู้นั้น หัวใจหนักอึ้งเกินบรรยาย “ทั้งที่พวกนางยังอ่อนเยาว์ถึงเพียงนั้นแท้ๆ”
ลู่เหิงไม่เอ่ยอะไร เพียงกุมมือหญิงสาวแน่นเงียบๆ วันนี้ตอนลู่เหิงผลักประตูเข้าไปเห็นโลหิตแดงฉานเต็มพื้น ความคิดแรกของเขานอกจากคาดไม่ถึงแล้ว ที่มีมากกว่ายังเป็นความหวาดกลัว ฟางฮองเฮาไม่กล้าลงมือกับหวังเหยียนชิงเช่นนี้แน่นอน แต่ลู่เหิงกลับอดคิดมิได้ว่าหากวันหนึ่งเขาคาดการณ์ผิด หรือเพลี่ยงพล้ำให้กับศัตรูแล้วมีคนทำกับหวังเหยียนชิงเช่นนี้ เขาจะทำอย่างไร
แค่คิดเขาก็แทบเสียสติแล้ว
กัวเทาสะอิดสะเอียนจนไม่อยากจะกินเนื้อ ลู่เหิงด้านร่างกายไม่รู้สึกอะไร แต่จิตใจกลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เป็นครั้งแรกที่เขาใคร่ครวญอย่างจริงจังว่าตำแหน่งหน้าที่ของเขา เส้นทางที่เขากำลังเดินอยู่นี้อันตรายเกินไปหรือไม่
หวังเหยียนชิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ “ฟางฮองเฮาจะทรงทำเช่นนี้ไปไย”
นางเสียสติไปแล้วหรือ
ลู่เหิงไม่สนใจเรื่องราวของฝ่ายในพวกนั้นโดยสิ้นเชิง “ทองสิบตำลึงก็เพียงพอให้ผู้กล้าคนหนึ่งลงมือฆ่าคนได้ วังหลวงเป็นบ่อเกิดของอำนาจสูงสุดในใต้หล้านี้ สถานที่แห่งนั้นยังมีเรื่องใดที่ทำไม่ได้อีกเล่า”
หวังเหยียนชิงขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึก เอ่ยถาม “ท่านหมายความว่านางทำเพื่อองค์หญิงใหญ่หรือ แต่ฝ่ายในยังมีองค์ชายอีกถึงสามพระองค์…”