ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 109
หยางจินอิง จางจินเหลียน และนางกำนัลที่เหลืออีกสิบหกคนล้วนอยู่ผลัดเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรวมตัวกันได้ หวังเหยียนชิงไปตรวจสอบที่ฝ่ายงานนางกำนัลในวังโดยมีจ้าวกงกงไปเป็นเพื่อน
ที่พักของหยางจินอิงถูกปิดไว้แล้ว ภายในรกเละเทะเพราะถูกรื้อค้นหลายครั้ง หวังเหยียนชิงเห็นภาพนี้แล้วในใจไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก ทว่านางยังคงก้าวเข้าไปในเรือน ตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัยโดยละเอียด
ด้วยระดับความรู้ของนางกำนัล หากมีผู้บงการเบื้องหลังจริงเกินครึ่งน่าจะถ่ายทอดคำสั่งด้วยปากเปล่า การใช้จดหมายสั่งการพวกนางไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นหวังเหยียนชิงจึงค้นดูทรัพย์สินเป็นหลัก ทว่าที่พักของหยางจินอิงเรียบง่ายมาก ในห้องเล็กๆ มีคนเบียดเสียดอยู่ด้วยกันถึงแปดคน นอกจากเตียงหนึ่งหลังกับหีบหนึ่งใบแล้วก็ไม่มีข้าวของส่วนตัวอื่นใดอีก
ขันทีมิกล้าให้ลู่ฮูหยินลงมือด้วยตนเอง สายตาของหวังเหยียนชิงกวาดมองไปที่ใด ขันทีต่างแย่งกันเข้าไปทันที ช่วยนางขยับสิ่งของออก เรือนพักของหยางจินอิงถูกค้นแทบทุกซอกทุกมุม แม้แต่ช่องด้านในของเสื้อผ้าเก่ายังถูกเลาะออกมา แต่ข้างในหาได้มีเงินทองซุกซ่อนอยู่ไม่
ไม่ผิดจากที่หวังเหยียนชิงคาดไว้ เวลาผ่านมาหลายวัน ต่อให้มีหลักฐานสำคัญก็ถูกฟางฮองเฮาและองครักษ์เสื้อแพรนำไปหมดแล้ว หวังเหยียนชิงหยุดตรวจสอบสิ่งของอย่างรวดเร็ว หันไปตรวจสอบคนแทน
มีจ้าวกงกงจากสำนักประจิมอยู่ด้วย การเรียกคนมาซักถามของหวังเหยียนชิงราบรื่นอย่างยิ่ง นางเริ่มจากเรือนพักอาศัยของหยางจินอิง เรียกนางกำนัลที่อยู่ในห้องรอบๆ เข้ามาตามลำดับ ซักถามทีละคนเป็นการส่วนตัว นางกำนัลแต่ละคนที่เข้ามาต่างกล้าๆ กลัวๆ เกรงว่าตนเองพูดผิดคำเดียวจะรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่ หวังเหยียนชิงพยายามถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อพบถ้อยคำสำคัญก็จดลงในกระดาษ ขันทีน้อยด้านข้างเห็นดังนั้นก็รีบพูด “จะรบกวนลู่ฮูหยินลงมือด้วยตนเองได้อย่างไร ท่านอยากจดบันทึกอะไรก็พูดมาเถอะ ผู้น้อยจะเขียนลงไปให้ท่านเองขอรับ”
หวังเหยียนชิงปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ให้ขันทีจรดพู่กันแทนเป็นสิทธิ์เฉพาะของฮ่องเต้ นางไม่มีวาสนาเช่นนั้น ยังคงเขียนเองจะดีกว่า หวังเหยียนชิงสอบถามนางกำนัลติดต่อกันห้าคน หลังจากส่งคนที่ห้าจากไปแล้ว นางก้มหน้าลง จดบางสิ่งเพิ่มเติมในกระดาษ จ้าวกงกงมองดูตัวอักษรบนกระดาษของหวังเหยียนชิงจากที่ไกลๆ ถามหยั่งเชิงว่า “ลู่ฮูหยิน ฟังว่าท่านมองแค่ปราดเดียวก็แยกแยะได้ว่าใครกำลังโกหก นางกำนัลเมื่อครู่นี้มีคนโกหกหรือไม่ขอรับ”
หวังเหยียนชิงเขียนตัวอักษรบรรทัดสุดท้ายจนเสร็จ พลิกสมุดพลางพูด “กงกงชมเกินไปแล้ว หาได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นไม่ ข้าเพียงแต่คาดเดาเท่านั้นเอง นางกำนัลชุดนี้ไม่มีปัญหา เรียกชุดต่อไปเข้ามาเถิด”
เวลาหนึ่งวันของหวังเหยียนชิงล้วนอยู่ที่ฝ่ายงานนางกำนัล ซักถามคนหลายสิบคนจนสุดท้ายลำคอแหบแห้ง คนทั่วไปหากต้องซักถามนานถึงเพียงนี้ สมองต้องพองขยายเป็นแน่ ทว่าช่วงท้ายๆ ความคิดของหวังเหยียนชิงกลับกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น
ผู้อื่นปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะในหัวถูกยัดเรื่องที่ไร้ประโยชน์เข้ามามากเกินไป แต่หวังเหยียนชิงสามารถแยกแยะได้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดตั้งใจบิดเบือน และเรื่องใดเป็นเพียงการคาดเดาของผู้พูดเท่านั้น นางดึงเอาเรื่องที่มีประโยชน์ออกมา ยิ่งถามคนมากภาพในหัวนางก็ยิ่งแจ่มชัด
คำพูดของแต่ละคนไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ภาพที่บรรยายออกมาส่วนใหญ่ล้วนคล้ายคลึงกัน หยางจินอิงครอบครัวยากจน นิสัยชอบเอาชนะ แรกพบจะรู้สึกว่าคนผู้นี้แข็งกร้าว แต่อยู่ร่วมกันนานเข้าจะรู้ว่านางเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ส่วนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ทุกคนต่างบอกว่าไม่เคยเห็นหยางจินอิงสวมเงินใส่ทอง ชีวิตความเป็นอยู่ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากในอดีต
อีกสิบห้าคนที่เหลือมีกลุ่มคนรู้จักทับซ้อนกับหยางจินอิงเป็นส่วนมาก หวังเหยียนชิงซักถามปะปนกันไปก็ไม่พบจุดที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแล้ว จ้าวกงกงฟังอยู่ด้านข้างทั้งวัน ทั้งที่ไม่ได้ให้เขาเป็นคนถาม เขากลับฟังจนรู้สึกเวียนศีรษะ จ้าวกงกงคิดในใจ สมแล้วที่เป็นสตรีของลู่เหิง นิสัยกัดไม่ปล่อยเวลาสืบคดีเหมือนกันราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
จ้าวกงกงลอบยืดเส้นยืดสาย ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ลู่ฮูหยิน ใกล้จะยามโหย่วแล้ว ท่านว่าวันนี้…”
หวังเหยียนชิงก็ตั้งใจจะยุติการซักถามแล้วเหมือนกัน นางตรวจสอบกลุ่มคนรู้จักของนางกำนัลทั้งสิบหกคนเกือบหมดแล้ว ถามต่อไปก็ไร้ความหมาย หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างคล้อยตาม เอ่ยว่า “ข้าซักถามพอสมควรแล้ว วันนี้ขอบคุณกงกงมาก”
“ลู่ฮูหยินเกรงใจแล้ว” จ้าวกงกงปั้นยิ้มร่าบนใบหน้าอย่างเสแสร้ง “ผู้น้อยต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอบคุณลู่ฮูหยิน วันนี้ติดตามข้างกายลู่ฮูหยิน ทำให้ผู้น้อยได้เปิดหูเปิดตามากทีเดียว”
จ้าวกงกงส่งหวังเหยียนชิงออกจากวัง ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปแจ้งข่าวกับลู่เหิง ตอนหวังเหยียนชิงมาถึงประตูตงหวา ลู่เหิงรออยู่ที่นั่นแล้ว หวังเหยียนชิงพูดมาทั้งวัน ตอนนี้ไม่อยากเอ่ยปากโดยสิ้นเชิง นางคร้านจะลงจากรถจึงนั่งอยู่ในรถฟังลู่เหิงทักทายกับจ้าวกงกง ไม่ง่ายเลยกว่าจะพูดคุยตามมารยาทจนเสร็จ จ้าวกงกงพาคนจากไป ม่านรถขยับไหว ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดปะทะใบหน้า ลู่เหิงขึ้นมาบนรถม้าแล้ว
ลู่เหิงนั่งลงข้างกายหวังเหยียนชิงอย่างคล่องแคล่ว เขาเห็นนางมีท่าทางไม่สดชื่น จึงเอ่ยว่า “ข้าได้ยินจ้าวกงกงบอกว่าวันนี้เจ้าซักถามคนไปสี่สิบกว่าคน เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า มิได้เหนื่อยถึงขั้นนั้น แค่ไม่มีความรู้สึกอยากจะพูดเลยก็เท่านั้นเอง ลู่เหิงถนัดการฟังน้ำเสียงสังเกตสีหน้าคนจึงเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี เขายื่นมือไปโอบไหล่นาง หวังเหยียนชิงพลันลืมตาขึ้น จ้องมือเขาเขม็ง “ท่านคิดจะทำอะไร”