ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 53-54
บทที่ 54
“ข้า?” หวังเหยียนชิงฟังแล้วรู้สึกเหนือความคาดหมาย “การเสด็จประพาสแดนใต้เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ข้าไม่มียศถาบรรดาศักดิ์และไม่มีตำแหน่งขุนนาง ทั้งมิใช่นายหญิงตราตั้งติดตามไปเกรงว่าคงไม่เหมาะกระมัง”
นั่นไม่เหมาะจริงๆ ฮ่องเต้เสด็จประพาสแดนใต้ เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองย่อมมิอาจละเลย ขุนนางฝ่ายพลเรือนในสภาขุนนาง ขุนพล และองครักษ์ล้วนต้องตามเสด็จ นับรวมสนมชายาและนางกำนัลขันทีที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ แค่จำนวนคนทั้งหมดตอนนี้ก็หมื่นกว่าชีวิตแล้ว คนหมื่นกว่าคนออกเดินทางหาใช่เรื่องเล็กไม่ หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยย่อมบ่มเพาะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ แรงกดดันเรื่องความปลอดภัยในการเสด็จประพาสแดนใต้มีมาก ขุนนางตามเสด็จต้องลดจำนวนผู้ติดตามให้ได้มากที่สุด หากเป็นขุนนางอายุมากร่างกายอ่อนแอเดินไม่ค่อยไหวแล้วจริงๆ สามารถพาผู้ติดตามไปด้วยคนสองคน แต่ไม่มีใครพาภรรยาหรือครอบครัวไปด้วย ลู่เหิงพาสตรีคนหนึ่งไปด้วยในเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าพูดอย่างไรก็สะดุดตาเกินไปหน่อย
ทว่าเรื่องทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคน เรื่องเช่นนี้สามารถคิดหาหนทางแก้ไขได้ หากทิ้งหวังเหยียนชิงไว้ในนครหลวงแล้วถูกฟู่ถิงโจวชิงตัวไป เขาย่อมไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อีก เปรียบเทียบกันแล้วลู่เหิงยอมเสี่ยงทำตัวโดดเด่นจนเป็นภัย ดึงหวังเหยียนชิงมาอยู่ข้างกายเลยดีกว่า
ลู่เหิงพูด “ไม่เป็นไร ผู้อื่นก็ต้องพาสาวใช้ไปเหมือนกัน ข้าลดสาวใช้ลงหนึ่งคน เพิ่มเจ้าเข้าไปแทนก็ใช้ได้แล้ว”
ลู่เหิงเอ่ยอย่างมั่นใจ หวังเหยียนชิงจึงมิได้กังขา รู้สึกสบายใจทันที นางไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากให้เขา จึงไม่ได้เรียกร้องอะไรตั้งแต่ต้น ทว่าพอได้ยินว่าสามารถเดินทางไปด้วยได้ สีหน้านางก็ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
พูดไปแล้วก็น่าละอาย นางฟื้นขึ้นมาห้าเดือนแล้ว ทว่านอกจากลู่เหิง นางอยู่ในจวนสกุลลู่กลับไม่มีใครสามารถพูดคุยด้วยได้สักคน หากสามารถติดตามลู่เหิงไปได้ นางย่อมยินดีอยู่แล้ว
พอคิดเช่นนี้หวังเหยียนชิงก็วิตกขึ้นมาทันใด รีบถาม “การตามเสด็จประพาสแดนใต้ต้องตระเตรียมอะไรบ้าง ข้ายังไม่ได้จัดสัมภาระเลย”
นางพูดพลางทำท่าจะกลับไปจัดข้าวของ ลู่เหิงห้ามนางไว้แล้วบอกว่า “ไม่ต้องรีบ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจนับจำนวนคน อย่างน้อยก็ต้องเตรียมตัวอีกสองเดือนจึงจะออกเดินทาง”
ยังมีเวลาอีกสองเดือน? หวังเหยียนชิงสบายใจขึ้น นางถาม “เหล่าสนมชายาในวังต้องออกเดินทางด้วยหรือไม่”
“ใช่” ลู่เหิงผงกศีรษะ “นี่เป็นการกลับบ้านเกิดครั้งแรกของฝ่าบาทหลังจากขึ้นครองราชย์ เกินครึ่งก็คงเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ฮ่องเต้จะเสด็จกลับไปเซ่นไหว้สุสานเสี่ยนหลิง พระองค์ทรงอยากพาเหล่าสนมชายาไปพบซิงเซี่ยนอ๋องเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของซิงเซี่ยนอ๋องที่อยู่บนสวรรค์ จางฮองเฮาแจ้งยืนยันแล้วว่าจะร่วมเสด็จเดินทางไปด้วย คนที่เหลือยังคัดเลือกไม่เสร็จ แต่เกินครึ่งน่าจะเป็นฟางเต๋อผิน เหยียนลี่ผิน”
หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ นางพยายามย้อนคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงจับคู่ชื่อเหล่านี้กับใบหน้าในหัวสมองได้ ครั้งก่อนตอนไปเยี่ยมไข้ไทเฮานางเคยพบสนมเหล่านี้หนหนึ่ง ฟางเต๋อผินท่าทางเคร่งขรึม ใบหน้าค่อนข้างยาวและเหลี่ยม ดูแข็งกร้าวดุดันมาก นิสัยไม่ชอบแย้มยิ้ม เหยียนลี่ผินดูอ่อนโยนงดงามกว่าหน่อย หน้ากลมอวบอิ่ม รูปร่างเล็กบางสมกับตำแหน่งของนางอย่างแท้จริง*
เมื่อคิดเช่นนี้หวังเหยียนชิงก็พลันตระหนักว่าตอนไปเยี่ยมไข้วันนั้น ท่าทีของเหยียนลี่ผินดูเหมือนจะไม่ปกตินัก นางเอาแต่ยืนชิดมุมห้อง ทั้งยังยกมือขึ้นบ่อยครั้ง บิดผ้าเช็ดหน้าบ้าง ลูบเสื้อผ้าบ้าง ดูประหม่ามาก ลู่เหิงเห็นหวังเหยียนชิงทำท่าครุ่นคิดจึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
หวังเหยียนชิงขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้าคงจะคิดมากไปเอง”
เหยียนลี่ผินในฐานะสนมที่อ่อนเยาว์ไร้เดียงสา ไร้ที่พึ่งพิงคนหนึ่ง ตอนมาปรนนิบัติเจี่ยงไทเฮารู้สึกประหม่าก็เป็นเรื่องปกติ หวังเหยียนชิงคงจะคิดมากไปเองกระมัง
ฮ่องเต้เป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดตนเองอย่างยิ่ง หลังจากวางแผนเสด็จประพาสแดนใต้แล้วก็ลงมือดำเนินการทันที เตรียมการอย่างขมีขมันสามทาง ทางหนึ่งขุนนางผู้แทนพระองค์นำพระราชโองการไป ร่วมกับผู้ตรวจราชการท้องถิ่นสร้างพระตำหนักชั่วคราวไว้ตามเส้นทางการเสด็จประพาสแดนใต้ ทางหนึ่งไปอันลู่บูรณะซ่อมแซมจวนเก่าของซิงอ๋อง ทางหนึ่งไปเขาต้าอวี้เตรียมงานฝังพระศพร่วมของซิงเซี่ยนอ๋องและจางเซิ่งเจี่ยงไทเฮา
ทุกคนในราชสำนักต่างยุ่งง่วนกับการเสด็จประพาสแดนใต้ กรมทหารจัดการเรื่องผู้ติดตามและจุดพักเปลี่ยนม้า กรมอากรสั่งการตระเตรียมเสบียงและเงินทองที่ผู้ติดตามต้องใช้ เสนาบดีกรมอากรเข้าวังมาร้องไห้โอดครวญว่ายากจนทุกวัน สุดท้ายฮ่องเต้รำคาญจึงแบ่งเงินยี่สิบหมื่นตำลึงจากคลังสมบัติส่วนพระองค์ออกมา เสนาบดีกรมพิธีการเหยียนเหวยถวายแผนการเสด็จประพาสแดนใต้โดยละเอียดฉบับหนึ่ง รวมถึงวันที่ออกเดินทางจากนครหลวง พิธีเซ่นไหว้ และกำหนดการการเดินทางตรวจตราก็ละเอียดถึงขั้นที่ระบุว่าวันใดเดินทางไปถึงที่ใด แต่ละท้องถิ่นจะรับเสด็จเวลาใด ขุนนาง เซียงเซินอาวุโส และอ๋องทั้งหลายตามรายทางจะเข้าเฝ้าอย่างไร ทั้งหมดล้วนเขียนระบุไว้อย่างชัดเจน ฮ่องเต้ได้รับแผนการฉบับนี้แล้วพึงพอใจมาก ชมเชยเหยียนเหวยเป็นพิเศษในการประชุมขุนนางตอนเช้า
การเสด็จประพาสแดนใต้สำหรับขุนนางฝ่ายพลเรือนเป็นโอกาสในการแย่งกันแสดงความสามารถ พวกเขายุ่งง่วนกับการช่วงชิงผลประโยชน์ ทว่าบรรยากาศของขุนนางฝ่ายทหารกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ปัญหาใหญ่ที่สุดของฮ่องเต้ในการเสด็จประพาสแดนใต้คือความปลอดภัย สำหรับแม่ทัพขุนพล นี่เป็นเผือกร้อนที่โยนทิ้งไม่ได้จะรับไว้ก็ไม่ดี ทำได้ดีเป็นเรื่องสมควร แต่หากเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิด เช่นนั้นก็รอถูกเนรเทศทั้งครอบครัวเถอะ
องครักษ์เสื้อแพรเดิมทีเป็นทหารกองเกียรติยศ รับผิดชอบขบวนเกียรติยศและการอารักขาฮ่องเต้ ถือเป็นหน้าเป็นตาของฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้เองเสื้อผ้าของพวกเขาจึงฉูดฉาดถึงเพียงนั้น ภายหลังเพื่อถ่วงดุลขุนนางผู้มีความดีความชอบ ฮ่องเต้หงอู่มอบอำนาจให้ทหารองครักษ์ของตนไม่หยุด ต่อมาก็ยกเลิกกองเกียรติยศ เปลี่ยนเป็นหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ทำให้องครักษ์เสื้อแพรเปลี่ยนจากทหารกองเกียรติยศกลายเป็นกองกำลังที่แยกตัวออกมาในปัจจุบัน มีหน้าที่รวบรวมข่าวกรอง ตรวจสอบจับกุม ตลอดจนรักษาความปลอดภัยให้ฮ่องเต้โดยตรง
ทว่าการตามเสด็จและขบวนเกียรติยศยังคงเป็นงานดั้งเดิมของพวกเขา การเสด็จประพาสแดนใต้ครั้งนี้ใช้องครักษ์เสื้อแพรมากถึงแปดพันคน ทหารหกพันนายคุ้มครองฮ่องเต้ อีกสองพันนายเป็นหน้าเป็นตาให้กับขบวนเกียรติยศ ช่วงนี้ลู่เหิงยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นก็เพราะกำลังคัดเลือกและโยกย้ายกำลังพลขององครักษ์เสื้อแพร นอกจากนี้ยังมีทหารตามเสด็จอีกหกพันนาย กำลังพลส่วนนี้มาจากห้ากองกำลังพิทักษ์นครา บังเอิญว่าฟู่ถิงโจวเป็นคนจัดการ
นี่กระมังที่เรียกว่าศัตรูที่ไม่อยากเจอกลับต้องมาพบหน้า