ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 53-54
วันที่สิบหกเดือนเจ็ด การเสด็จประพาสแดนใต้ที่เตรียมการอยู่หลายเดือนก็เริ่มต้นขึ้นในที่สุด ฮ่องเต้นำเหล่าขุนนาง องครักษ์ และข้าราชบริพารหนึ่งหมื่นห้าพันกว่าคนเดินทางออกจากพระราชวัง มุ่งหน้าไปอันลู่อย่างยิ่งใหญ่ แม้ขบวนผู้ติดตามจะมีมากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แต่เฉพาะขุนนางที่มีความสำคัญมากที่สุดไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีได้ตามเสด็จออกมาด้วย กลุ่มชนชั้นสูง ได้แก่ อู่ติ้งโหวกัวซวิน เฉิงกั๋วกงจูซีจง และเจิ้นหย่วนโหวฟู่ถิงโจว นอกจากนี้แล้วยังมีนักพรตคนหนึ่งคือเถาจ้งเหวิน
ฟู่ถิงโจวยามอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงผู้มีความดีความชอบตั้งแต่สมัยบุกเบิกแผ่นดิน เขาอ่อนเยาว์จนเป็นที่สะดุดตา ทุกคนภายนอกไม่พูด ลับหลังกลับวิพากษ์วิจารณ์กันว่าฟู่ถิงโจวกำลังจะกลายเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแล้วหรือ
ระหว่างที่เหล่าขุนนางคาดเดาจิตใจฮ่องเต้ ไม่มีใครสังเกตว่าคนของฝ่ายในที่ตามเสด็จถูกเปลี่ยนเป็นจางฮองเฮา ฟางเต๋อผิน และเฉาตวนผิน ส่วนเหยียนลี่ผินถูกเปลี่ยนตัวออกไปเงียบๆ ในขณะเดียวกันยังมีรถม้าคันหนึ่งปะปนเข้ามาในขบวนด้วย
ฟู่ถิงโจวบังคับม้าตามหลังราชรถ สายตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่งเงียบๆ เขามองอย่างจดจ่อทำให้คนที่อยู่ใกล้อดมองตามไปยังทิศทางนั้นไม่ได้ กระนั้นนอกจากขบวนรถยาวต่อเนื่องแล้วก็ไม่เห็นสิ่งอื่นใด ผู้มาส่งสารเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจิ้นหย่วนโหว ท่านมองอะไรอยู่หรือ”
ฟู่ถิงโจวได้สติ ถอนสายตากลับมาอย่างแนบเนียน “เปล่า มีอะไรหรือ”
“อ้อ” ผู้มาส่งสารบังคับอาชาใต้ร่างด้วยมือข้างเดียว ชี้ไปด้านหน้า “อู่ติ้งโหวมีเรื่องอยากพบท่าน”
วันนี้เป็นวันที่เก้าของการเดินทางออกจากนครหลวง ตามแผนการคืนนี้น่าจะหยุดพักชั่วคราวในเมืองเว่ยฮุย ฟู่ถิงโจวไปพบอู่ติ้งโหวแล้วถาม “อู่ติ้งโหว ท่านตามข้ามาพบด้วยเรื่องใดหรือ”
อู่ติ้งโหวรับคำเรียบๆ “ประเดี๋ยวจะถึงเว่ยฮุยแล้ว ตอนเข้าพระตำหนักเจ้าต้องระวังให้มาก อย่าให้เกิดข้อผิดพลาด”
ฟู่ถิงโจวผงกศีรษะ “ผู้น้อยทราบแล้ว”
เขาเอ่ยพลางมองไปยังราชรถที่อยู่กึ่งกลางขบวน ราชรถที่ฮ่องเต้ประทับมีองครักษ์เสื้อแพรเป็นผู้คุ้มกัน ถัดจากองครักษ์เสื้อแพรถึงเป็นพลทหารของห้ากองกำลังพิทักษ์นครา ส่วนที่ฟู่ถิงโจวรับผิดชอบคือเส้นทางขวา ทว่าตอนนี้ฟู่ถิงโจวรู้สึกว่าทิศทางของทหารองครักษ์ชั้นนอกของราชรถไม่ปกตินัก จึงมุ่นคิ้วถาม “ใครเป็นผู้รับผิดชอบดูแลองครักษ์เสื้อแพรในวันนี้ เหตุใดการตรวจตราจึงแตกต่างไปจากปกติ”
อู่ติ้งโหวอายุห้าสิบกว่าแล้ว ร่างกายอ้วนท้วน ยามควบขี่อาชาไม่คล่องแคล่วเหมือนในอดีต แต่นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นยังคงมองออกว่าเขาเคยเป็นทหารมาก่อน รอยเหี่ยวย่นตัดกันไปมาบนใบหน้าเขา มุมปากทั้งสองข้างมีร่องลึก เห็นแล้วชวนให้ผู้คนเกรงขาม เสียงของเขาทุ้มต่ำหนักอึ้งเช่นกัน แยกอารมณ์ไม่ออก “เป็นลู่เหิง เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงนึกสนุก ละทิ้งราชรถ อยากจะขี่อาชาแทน ลู่เหิงจึงไปขี่อาชาเป็นเพื่อนพระองค์”
ฟู่ถิงโจวไม่เอ่ยอะไร เพียงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มิน่าเขาถึงรู้สึกว่าทิศทางขององครักษ์เสื้อแพรแปลกไป ที่แท้ในราชรถก็ว่างเปล่า
เรื่องที่เกี่ยวพันกับฮ่องเต้ฟู่ถิงโจวไม่สะดวกจะออกความเห็น เขาหัวเราะเบาๆ “ยากนักที่ฮ่องเต้จะทรงมีอารมณ์สุนทรีย์ ผู้บัญชาการลู่ไปเป็นเพื่อนด้วยตนเอง เรื่องความปลอดภัยคงจะไม่น่าเป็นห่วง”
ฟู่ถิงโจวได้ยินอู่ติ้งโหวแค่นเสียงหยันอย่างชัดเจน อู่ติ้งโหวถือว่าตนมีความดีความชอบยิ่งใหญ่ คิดว่าขุนนางทหารในนครหลวงล้วนสมควรยึดเขาเป็นผู้นำ ทว่าตอนนี้คนหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบกว่ากลับท้าทายอำนาจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อู่ติ้งโหวยกมุมปากข้างหนึ่ง แววเหยียดหยันบนใบหน้าปรากฏชัด “เป็นเช่นนั้นย่อมดีที่สุด หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ คนตั้งกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่าพร้อมกับเขา เขารับผิดชอบไหวรึ”
ฟู่ถิงโจวหลุบตามิได้ตอบคำ ตำแหน่งขุนนางเมื่อนั่งมาถึงจุดจุดหนึ่ง ต่อให้ไม่เคยมีความแค้นใดต่อกัน สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นศัตรู หลายปีก่อนอู่ติ้งโหวยังชมเชยลู่เหิง บัดนี้กลับกลายเป็นศัตรูกันโดยสมบูรณ์แล้ว
ลู่เหิงทำตัวโดดเด่นเกินไป ระยะนี้ไขคดีใหญ่สองคดีติดต่อกัน ผลงานไม่มีใครเกิน ขุนนางฝ่ายพลเรือน ชนชั้นสูง ตลอดจนองครักษ์เสื้อแพรด้วยกันเองเริ่มมีหลายคนไม่ชอบหน้าเขา
บางครั้งการออกตัวเร็วเกินไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี
หลายปีมานี้อู่ติ้งโหวเรียกลมเรียกฝนในนครหลวง ลืมไปนานแล้วว่าความหวาดกลัวเป็นอย่างไร ยามชี้แนะคนรุ่นหลังจึงไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น อู่ติ้งโหวพูดถึงลู่เหิงจบ ปรายตามองฟู่ถิงโจวเล็กน้อย “ลู่เหิงกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ มิพ้นถือว่าตนเติบโตมากับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์แต่กลับทรงพระปรีชาสามารถ บางครั้งก็ทรงอยากพูดคุยกับคนวัยเดียวกัน ลู่เหิงแย่งชิงโอกาสนี้ไปแล้ว เจ้าเองก็ต้องเร่งมือหน่อย”
ฟู่ถิงโจวหลุบตาลงต่ำเผยท่าทีน้อมรับคำชี้แนะ อู่ติ้งโหวต่อว่าเสร็จ สีหน้าเปลี่ยนไปพลางถอนหายใจ “ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า เรื่องเช่นนี้มิอาจรีบร้อน เจ้ากับฮ่องเต้ไม่มีสายสัมพันธ์ในวัยเยาว์ หากรีบร้อนเกินไปผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม ความเหมาะสมในเรื่องนี้จะต้องกะเกณฑ์ให้ดี”
ฟู่ถิงโจวพูดอย่างถูกจังหวะ “ผู้น้อยยังเยาว์วัย ไร้ซึ่งประสบการณ์ ขออู่ติ้งโหวโปรดชี้แนะด้วย”
อู่ติ้งโหวพึงพอใจในความรู้กาลเทศะของฟู่ถิงโจวอย่างมาก เขาเผยรอยยิ้มลำพอง ลูบเคราพลางว่า “ขุนนางอย่างพวกเราประหนึ่งเป็นม้านั่งเย็นต้องมีความอดทนจึงจะประสบความสำเร็จ บางครั้งเจ้าล้มลุกคลุกคลานสิบปี ยังมิสู้ให้คนแก่ชี้แนะหนึ่งคำ สมัยที่ข้าอายุเท่าเจ้ายังวิ่งรับใช้ในค่ายทหารอยู่เลย เจ้าอายุยังน้อยก็ได้เป็นท่านโหวแล้ว เข้าสู่แวดวงขุนนางอย่างราบรื่น จุดเริ่มต้นดีกว่าข้าและปู่ของเจ้ามาก ขอเพียงจัดการให้ดี วันหน้าอนาคตจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน”