ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 53-54
ฟู่ถิงโจวตระหนักได้ว่าอู่ติ้งโหวจะพูดอะไร เขาหลุบตาจ้องขนแผงคอม้าสีน้ำตาลแดงเขม็ง มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ม้าถูกคล้องด้วยเชือกบังเหียน สะบัดหัวไปมาอย่างไม่สบายตัวและจามออกมาอย่างแรง ฟู่ถิงโจวดึงสติกลับมา นิ้วมือกำแน่น สุดท้ายค้อมศีรษะเอ่ย “ผู้น้อยจะกล้าเปรียบตนเองกับอู่ติ้งโหวได้อย่างไร ท่านปู่ล่วงลับ บิดาไม่สนใจงานทั่วไป ผู้น้อยไม่มีผู้อาวุโสที่สามารถพึ่งพาได้ ได้แต่หวังว่าอู่ติ้งโหวจะช่วยชี้แนะ”
อู่ติ้งโหวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ยิ้มพูด “ข้าดูไม่ผิด เจ้าเป็นคนที่ใฝ่หาความก้าวหน้าอย่างแท้จริง แต่คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าน่ะ มักคิดแต่จะสร้างผลงานอย่างเดียว ไม่มีความอดทนที่จะสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่ง พวกปัญญาชนมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่าขัดเกลาตนเอง สร้างครอบครัว ปกครองบ้านเมือง ทำให้ใต้หล้าสงบสุข พวกเราไม่ยึดติดกับความคร่ำครึเหล่านี้ก็จริง แต่ความหมายโดยรวมไม่ต่างกันเท่าไร ถึงอย่างไรก็ต้องสร้างครอบครัว สร้างพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อน แล้วค่อยไต่ขึ้นไปยังที่สูง”
พูดถึงตรงนี้ความหมายของอู่ติ้งโหวชัดเจนมากแล้ว เขาสามารถสนับสนุนฟู่ถิงโจวได้ แต่ฟู่ถิงโจวต้องเลือกข้างให้แน่ชัดเสียก่อน กำหนดการไว้ทุกข์ของฟู่ถิงโจวผ่านมาห้าเดือนแล้ว จวบจนบัดนี้เขายังไม่ไปเจรจาสู่ขอกับสกุลหง เรื่องนี้ทำให้อู่ติ้งโหวอดคิดมากมิได้
ฟู่ถิงโจวคิดถึงรถม้าคันที่เห็นเมื่อครู่นี้แล้ว ความเจ็บหนึบระลอกหนึ่งวาบผ่านหัวใจไป เขารู้ปมในใจของนางมาโดยตลอด แต่เขาไม่มีหนทางอื่น เขามิใช่แค่ฟู่ถิงโจวเท่านั้น แต่ยังเป็นเจิ้นหย่วนโหวด้วย เขาต้องคิดเผื่อสกุลฟู่ทั้งหมด
การเป็นขุนนางไม่เหมือนกับการเล่าเรียนฝึกยุทธ์สมัยเด็กๆ มิใช่ว่าเจ้าขยันหมั่นเพียรก็จะแก้ไขปัญหาได้ สำหรับการเป็นขุนนางหากเบื้องหลังไม่มีคนสนับสนุน ต่อให้เจ้ามีความสามารถเก่งกาจเพียงใดก็ก้าวเดินไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว คนในสภาขุนนางเหล่านั้น ตอนสอบผ่านจิ้นซื่อใหม่ๆ ใครบ้างที่ไม่ได้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นกระตือรือร้น วางตัวสูงส่งบริสุทธิ์ ทว่าหลังจากขึ้นๆ ลงๆ ในแวดวงขุนนาง ผ่านการขัดเกลามายี่สิบปี สุดท้ายยังมิใช่ยอมรับอาจารย์กันแต่โดยดีหรือ
ขุนนางฝ่ายพลเรือนพึ่งความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ ขุนนางฝ่ายทหารพึ่งความสัมพันธ์ทางสายเลือด ฟู่ถิงโจวรู้สึกเสียดายเหลือเกิน หากหวังเหยียนชิงเป็นบุตรีของชนชั้นสูงสักตระกูลจะดีเพียงใด ต่อให้เป็นเพียงทายาทสายรอง ต่อให้มีเพียงแซ่ที่เหมือนกัน เขาก็ยินดีละทิ้งการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ต่อต้านสายสัมพันธ์ขุนนางอื่นเพื่อนาง ทว่านางมิใช่
ช่างน่าเสียดายโดยแท้
สุดท้ายฟู่ถิงโจวยิ้มจางๆ ตอบว่า “ช่วงนี้มัวยุ่งกับการตามเสด็จประพาสแดนใต้ หกพิธียังมิได้จัดเตรียมให้ดีจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามไปเยือน เกรงว่าจะล่วงเกินคุณหนูหงเข้า รอให้จบเรื่องการตามเสด็จประพาสแดนใต้ ผู้น้อยจะไปเยือนสกุลหงด้วยตนเองแน่นอน”
ฮ่องเต้ควบขี่อาชาหนึ่งรอบ ในที่สุดก็เล่นสนุกจนหนำใจ กลับมายังราชรถภายใต้การห้อมล้อมของทุกคน ลู่เหิงตามหลังฮ่องเต้ ต่อให้ไม่เห็นเขาก็นึกภาพได้ว่าตอนนี้มีคนมากมายเพียงใดที่รู้สึกขัดหูขัดตาเขา กำลังพยายามจับผิดเขาอย่างเต็มที่ ลู่เหิงลอบถอนหายใจ ทว่าเขาย่อมหนีเรื่องเช่นนี้ไม่พ้น ทุกคนที่ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลบเลี่ยงลมฝนหิมะได้ โลกนี้มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด
ฮ่องเต้ได้รับการบำรุงและปรับสมดุลร่างกายจากนักพรตหลายปี แต่พื้นฐานร่างกายยังคงอ่อนแอมาก ออกไปขี่อาชาข้างนอกรอบหนึ่งก็เหนื่อยแล้ว โชคดีที่เดินทางถึงเมืองเว่ยฮุยแล้ว เบื้องหน้าเป็นพระตำหนักชั่วคราวที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อย ลู่เหิงลงจากม้า คุ้มกันฮ่องเต้เดินไปยังพระตำหนัก
ลู่เหิงสีหน้าเคร่งขรึมตลอดทาง แต่ความเป็นจริงกลับใจลอยอยู่บ้าง เขาอยากไปหาหวังเหยียนชิง ตลอดทางเนื่องจากกลัวคนอื่นจะมองออกว่าเขาใส่ใจ ตอนกลางวันเขาจึงไม่เฉียดเข้าไปใกล้รถม้าของนางเลย มีเพียงตอนกลางคืนเท่านั้นที่จะได้พบหน้ากัน ลู่เหิงสังเกตเห็นว่าวันนี้ฟู่ถิงโจวจ้องรถม้าของนางอยู่ตลอด เห็นทีฟู่ถิงโจวคงรู้ตำแหน่งของนางแล้ว
ลู่เหิงด่าในใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดรู้ เจ้าคนสารเลว ฟู่ถิงโจวไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้วหรือไร วันๆ ถึงได้เอาแต่จ้องหวังเหยียนชิง
ลู่เหิงรู้สภาพร่างกายของฮ่องเต้ดี เขาคิดว่าฮ่องเต้คงจะเหนื่อยแล้ว ต้องพักผ่อนโดยเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะได้รีบกลับ
เข้าสู่พระตำหนักแล้ว ลู่เหิงก็เริ่มอดรนทนไม่ไหว แต่ธรรมเนียมยิบย่อยของเหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนมีเยอะเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เหนื่อยแล้ว เหล่าขุนนางก็เหนื่อยแล้ว ทว่ากรมพิธีการกลับยืนกรานจะให้ขุนนางในเมืองเว่ยฮุยและหรู่อ๋องจูโย่วเพิงปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม เข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างเป็นทางการให้ได้
ลู่เหิงกับฮ่องเต้พร้อมใจกันอดทน รอจนเสร็จสิ้นพิธีการ ขุนนางในเมืองเว่ยฮุยแสดงความเคารพด้วยสามกราบเก้าคำนับแล้ว ฮ่องเต้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของหรู่อ๋องจูโย่วเพิงพอเป็นพิธี วาจาเกรงใจพูดไปได้เพียงสองคำเสียงตะโกนดังลั่นก็พลันดังขึ้นข้างนอก “ฝ่าบาท ไม่เป็นธรรม! ข้าน้อยได้รับความไม่เป็นธรรม!”
หัวสมองของลู่เหิงที่ความคิดล่องลอยออกไปแจ่มชัดขึ้นในพริบตา มือเขากดลงบนด้ามดาบ ปราดเข้ามาขวางหน้าฮ่องเต้ทันที สั่งการเสียงเย็น “คุ้มกันฝ่าบาท”
ผู้คนในพระตำหนักยังไม่ทันรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น องครักษ์เสื้อแพรก็ล้อมฮ่องเต้ไว้หลายชั้น ทุกคนถึงได้เหมือนตื่นจากฝัน บ้างตะโกนเรียกคน บ้างคุ้มกันฮ่องเต้วุ่นวายไปหมด เจ้าเมืองเว่ยฮุยเฉิงโยวไห่สีหน้าย่ำแย่
ชาวบ้านตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมนอกพระตำหนักชั่วคราวของฮ่องเต้ นี่มิใช่แสดงให้เห็นว่าเขาปกครองไม่ดีหรือ เจ้าเมืองเฉิงขอรับผิดกับฮ่องเต้ เอ่ยหน้าแดง “กระหม่อมมีความผิด ไม่รู้ว่าชาวบ้านป่าเถื่อนพวกนี้มาจากที่ใด ทรงสร้างความตระหนกให้ฝ่าบาท กระหม่อมจะไล่พวกเขาไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กลับโบกมือ เอ่ยเสียงเรียบ “นางตั้งใจวิ่งมาถึงหน้าพระตำหนักร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คงมีเรื่องใหญ่อยากจะพูดจริงๆ ลองถามนางดูก่อนเถอะว่าเหตุใดจึงร้องว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม”
เสียงตะโกนเรียกร้องความเป็นธรรมเมื่อครู่หายไปแล้ว คนน่าจะถูกองครักษ์หรือขันทีคุมตัวไว้ เมื่อฮ่องเต้มีรับสั่ง ทุกคนไม่กล้าฝ่าฝืน ลู่เหิงถอยกลับไปด้านหลังฮ่องเต้เงียบๆ องครักษ์เสื้อแพรคนอื่นๆ ได้รับสัญญาณจากลู่เหิงจึงเปลี่ยนการตั้งแถวเพื่อมิให้บดบังสายตาของฮ่องเต้ แต่ยังคงคุ้มกันอยู่ข้างกาย ขันทีคนหนึ่งเดินลงมาจากแท่นที่ประทับ ก้าวฉับๆ ออกไปข้างนอก