ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 55-56
บทที่ 55
เหล่าขุนนางโค้งคำนับก่อนจะถอยออกไปตามลำดับตำแหน่ง เมื่อออกมาแล้ว เฉินอิ๋นมองลู่เหิง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นทันใด สายตาดุจใบมีด จางจิ้งกง หลี่สือ และเก๋อเหล่าอีกหลายคนทำเป็นมองไม่เห็น จางจิ้งกงเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผู้บัญชาการลู่ช่างเป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือโดยแท้ แม้แต่ผู้ร้องทุกข์ยังไม่ทันได้เห็นก็กล้าบอกว่าสามารถไขคดีได้ภายในสามวัน ทำให้ข้าผู้เฒ่าได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง”
ลู่เหิงยิ้มให้จางจิ้งกง เอ่ยอย่างถ่อมตน “ทำให้ราชเลขาธิการขบขันแล้ว”
จางจิ้งกงเป็นบัณฑิต แม้จะสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่นก็กระทำอย่างสุภาพสำรวม หลี่สือ ซย่าเหวินจิ่น เหยียนเหวย และคนอื่นๆ ข้างหลังแม้มิได้อยู่ฝ่ายเดียวกับจางจิ้งกง แต่เวลานี้ต่างพร้อมใจกันประสานมือยืนมองอยู่ด้านข้างนิ่งๆ
นี่ล่ะคือราชสำนักต้าหมิง ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับขุนนางฝ่ายทหารขับเคี่ยวกัน ในกลุ่มขุนนางฝ่ายทหารองครักษ์เสื้อแพรกับชนชั้นสูงประชันขันแข่งกัน จากนั้นภายในของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรและกลุ่มชนชั้นสูงก็ห้ำหั่นกันเองอีก ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็เช่นเดียวกัน ชาติกำเนิด ทะเบียนครัวเรือน และอาจารย์ที่แตกต่างกันล้วนทำให้พวกเขาอยู่คนละพรรคคนละฝ่ายในแวดวงขุนนาง นี่ทำให้ราชสำนักมีหลายฝั่งหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายแก่งแย่งชิงดี คิดจะทำเรื่องหนึ่งอย่างจริงๆ จังๆ มีไม่กี่คนที่ยอมช่วยเหลือเจ้า แต่จะต้องมีคนมากมายรอจับผิดเจ้าแน่นอน
ครั้งนี้ลู่เหิงฉีกหน้าเฉินอิ๋นโดยสมบูรณ์ มิใช่เขาตายก็คือเฉินอิ๋นม้วย ลู่เหิงไม่คาดหวังแม้แต่น้อยว่าเฉินอิ๋นจะปรานีเขา กระนั้นนอกจากองครักษ์เสื้อแพรแล้วก็ยังมีสายตาไม่หวังดีอีกมากมายคอยจ้องตาเป็นมัน รอดูลู่เหิงเพลี่ยงพล้ำ
ต้องโทษลู่เหิงที่ช่วงนี้ทำตัวโดดเด่นเกินไปจริงๆ เดือนสิบสองปีที่แล้วเขากวาดล้างต้นกล้าที่สภาขุนนางเตรียมไว้ทิ้งไปเกือบทั้งหมด แม้แต่ราชเลขาธิการหยางอิ้งหนิงยังถูกเขาลากลงจากเก้าอี้ แม้ผู้ร้องเรียนจะเป็นจางจิ้งกง แต่ดาบลู่เหิงเป็นคนยื่นขึ้นไป ขุนนางฝ่ายพลเรือนเวลาจดจำหนี้แค้น ไม่มีทางลืมเขาไปได้
ปีนี้เขาก็เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ตั้งแต่ต้นปีอีก เรื่องที่ลู่เหิงเข้าวังสืบคดีผีหลอกในวังบูรพามีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ แต่เรื่องที่เขาตรวจสอบพี่น้องสกุลจางจนทำให้ชางกั๋วกงและเจี้ยนชางโหวถูกถอดบรรดาศักดิ์กลับเป็นเรื่องที่ชาวเมืองรู้กันทั่ว ฮ่องเต้จดจำความดีความชอบของเขาไว้ในใจ แต่คนอื่นๆ นั้นไม่แน่
บัดนี้ลู่เหิงเป็นฝ่ายกระโดดออกมาขันอาสา ทั้งยังประกาศถ้อยคำรับรอง รับปากว่าจะไขคดีให้ได้ภายในสามวัน ขุนนางในตำหนักแทบอยากจะวิ่งออกไปจุดประทัดเฉลิมฉลอง โอกาสอันดีถึงเพียงนี้พวกเขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร
ลู่เหิงรู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยอัดอั้นอยากจะเล่นงานเขานานแล้ว คดีนี้สืบไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่ลาภยศสรรเสริญได้มาไม่ง่ายอยู่แล้ว ในโลกของเขามีแต่จุดสูงสุดและความตายเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ตรงกลาง
ลู่เหิงไม่คิดที่จะเสียเวลา เขาคำนับราชบัณฑิตทั้งหลายพลางขอตัว “ข้ารับคำสั่งจากฝ่าบาทให้ไขคดีนี้ เวลากระชั้นชิด มิอาจอยู่พูดคุยกับทุกท่านได้อีก เก๋อเหล่าทุกท่านค่อยๆ เดิน ข้าขอตัวก่อน”
ลู่เหิงประสานมือ เขาหันไปหาเฉินอิ๋น ยังคงเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “ผู้บัญชาการสูงสุดเฉิน ผู้น้อยขอลา”
ลู่เหิงพูดจบก็หันกายจากไป ไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะพูดถึงเขาอย่างไร เขาความจำดี จดจำได้ว่าเสียงร้องขอความเป็นธรรมดังมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้จึงรุดไปยังกำแพงทิศตะวันตกของพระตำหนักชั่วคราวโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นเพิ่งจะหักเลี้ยว แววตาของชายหนุ่มก็เยียบเย็นทันใด
ทหารที่สวมชุดเกราะจำนวนมากล้อมอยู่ด้านหน้า ครั้นมองผ่านขาและเกราะเหล็กที่เบียดเสียดกันอยู่มากมายก็เห็นสตรีสองคนมีผ้าขาวยัดปาก ถูกเชือกมัดไว้กับพื้น กำลังตัวสั่นงันงกและขดตัวเป็นก้อนกลม ผู้นำของทหารเหล่านี้ก็คือฟู่ถิงโจว
หากไม่เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม ลู่เหิงก็อยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ หมู่นี้เขากับฟู่ถิงโจวสร้างเวรสร้างกรรมอะไรต่อกันนักหนา ไฉนจึงพบกันอีกครั้งไวปานนี้ ขุนนางทหารที่ตามเสด็จมีตั้งมากมาย แต่คนที่จับกุมชาวบ้านได้กลับเป็นอีกฝ่าย
ฟู่ถิงโจวได้ยินเสียงและหันไปมอง ครั้นเห็นลู่เหิงสีหน้าก็เยียบเย็นแข็งกร้าว ลู่เหิงเดินเข้าไปใกล้ กวาดตามองหญิงชาวบ้านด้านหลังทหาร ยิ้มพลางพูดว่า “เจิ้นหย่วนโหว ไม่ได้พบกันเสียนาน เมื่อครู่ตอนอยู่ในพระตำหนักชั่วคราวฮ่องเต้ทรงได้ยินคนร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงส่งข้ามาดู ข้าก็คิดว่าใครกันที่ตอบสนองไวถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นเจิ้นหย่วนโหวนี่เอง”
วันนี้ฟู่ถิงโจวเปิดเผยจุดยืนของตนกับอู่ติ้งโหวอย่างชัดเจนแล้ว เขาอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากกลับไปอยู่ในห้องจึงเดินตรวจตรากำแพงพระตำหนัก ระหว่างที่ขบคิดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้ยินเสียงคนตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฟู่ถิงโจวจึงรีบรุดมายังต้นเสียงและจับกุมชาวบ้านสองคนได้
พระตำหนักชั่วคราวแม้มีการคุ้มกันแน่นหนา แต่ก่อสร้างขึ้นอย่างฉุกละหุก ประกอบกับมีผู้คนมากหน้าหลายตา ยากที่จะกันฝูงชนออกไปได้โดยสิ้นเชิง ทำให้ชาวบ้านสองคนนี้แฝงตัวเข้ามาได้ โชคดีที่ฟู่ถิงโจวรุดมาทันเวลา พวกนางร้องตะโกนเพียงหนเดียวก็ถูกจับกุมทันที ฟู่ถิงโจวคิดว่าเสียงคงลอยไปไม่ถึงพระตำหนัก ไม่คิดว่าฮ่องเต้กลับได้ยิน
ดูจากท่าทางของลู่เหิง เรื่องนี้คงจะมอบหมายให้เขาแล้ว ฟู่ถิงโจวสีหน้าไม่เปลี่ยน “ข้าทำตามหน้าที่เท่านั้น ผู้บัญชาการลู่ไม่อยู่ข้างกายฝ่าบาทคอยรักษาความปลอดภัย มาที่นี่ทำอะไร”
ลู่เหิงแสดงป้ายห้อยเอวขององครักษ์เสื้อแพรให้อีกฝ่ายดู พยักหน้านิดๆ พลางชี้แจง “ฝ่าบาททรงห่วงใยราษฎร สั่งให้ข้าสืบคดีไม่เป็นธรรมนี้ให้กระจ่าง ขอบคุณเจิ้นหย่วนโหวที่ช่วยเหลือ ข้าขอพาตัวคนไปก่อน”
ลู่เหิงพูดพลางส่งสัญญาณให้องครักษ์เสื้อแพรข้างหลังพาตัวหญิงชาวบ้านสองคนนั้นไป ฟู่ถิงโจวหรี่ตา พลันเอ่ยว่า “ผู้บัญชาการลู่จะทำคดีอย่างไร ข้าไม่คิดที่จะก้าวก่าย แต่ผู้บัญชาการลู่รู้ได้อย่างไรว่าพวกนางร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะมีเรื่องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ หากพวกนางเพียงแต่อาศัยเรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อเข้าใกล้พระตำหนักชั่วคราว หมายจะลอบปองร้ายฮ่องเต้จะทำอย่างไร”
ลู่เหิงรู้อยู่แล้วว่าฟู่ถิงโจวต้องมาลูกไม้นี้ หากเป็นผู้อื่น ลู่เหิงจะพาตัวคนไปเสียอย่าง ผู้ใดยังจะกล้าโต้แย้ง ทว่าฟู่ถิงโจวไม่เหมือนกัน ความบาดหมางระหว่างพวกเขามิได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องในราชสำนักอีกแล้ว เดือนสามลู่เหิงลักพาตัวหวังเหยียนชิงไปอย่างเปิดเผย สวมรอยเป็นพี่ชายนางแทนฟู่ถิงโจวต่อหน้าต่อตาอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็ทำลายแผนการเข้าใกล้หวังเหยียนชิงของฟู่ถิงโจวอีกหลายต่อหลายครั้ง บัดนี้ฟู่ถิงโจวต้องแค้นเขาเข้ากระดูกดำแล้วแน่นอน จะยอมให้เขาพาตัวคนไปได้อย่างไร
ฟู่ถิงโจวไม่อยากละทิ้งโอกาสอันดีที่สวรรค์ประทานให้ครั้งนี้จริงๆ เหตุการณ์ที่ชาวบ้านสองคนวิ่งเข้ามาร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังบังเอิญที่ลู่เหิงเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าฟู่ถิงโจวจะจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ แล้วจะยอมมอบเดิมพันออกไปได้อย่างไร เขาต้องคิดบัญชีกับลู่เหิงสักตั้ง
หากสามารถฉวยโอกาสนี้แลกตัวหวังเหยียนชิงกลับคืนมา…นั่นก็ยิ่งดี