ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 55-56
ลู่เหิงเก็บป้ายคำสั่ง รอยยิ้มบนริมฝีปากไม่เปลี่ยนไป ดวงตากลับสาดประกายเยียบเย็นออกมารางๆ “เจิ้นหย่วนโหว นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาท เจ้าจะขัดขืนรับสั่งหรือ”
ฟู่ถิงโจวไม่สะทกสะท้าน เขาประสานสายตากับลู่เหิงอย่างเย็นชา เอ่ยอย่างท้าทาย “การรักษาความปลอดภัยของพระตำหนักชั่วคราวก็เป็นรับสั่งของฝ่าบาทเช่นเดียวกัน คำพูดนี้ของผู้บัญชาการลู่ข้ามิกล้าเห็นด้วย ขออภัยที่ไม่อาจทำตาม”
ลู่เหิงประกาศถ้อยคำรับรองต่อหน้าทุกคนว่าจะไขคดีให้ได้ภายในสามวัน เขาไม่มีเวลามายื้อยุดกับฟู่ถิงโจวที่นี่ เขากวาดสายตามองไปข้างหลังแวบหนึ่งก่อนพูด “ในเมื่อเจิ้นหย่วนโหวไม่เชื่อ มิสู้ร่วมสอบสวนสองคนนี้พร้อมกับข้า พวกนางใช่มีเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ แค่ฟังดูก็รู้ เจิ้นหย่วนโหวเห็นว่าอย่างไร”
ฟู่ถิงโจวขบคิดดูแล้วเห็นด้วย เขาสามารถคุมตัวคนไว้ข่มขู่อีกฝ่าย แต่ไม่สามารถขัดขวางการทำคดีของลู่เหิงได้จริงๆ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นรับสั่งของฮ่องเต้ หากวันหน้าเจ้าคนบ้าลู่เหิงผู้นี้คลี่คลายคดีไม่สำเร็จแล้วแว้งกัดเขา ฟู่ถิงโจวย่อมเดือดร้อนด้วยเช่นกัน ดังนั้นมิสู้ตามไปดูว่าลู่เหิงคิดจะทำสิ่งใดกันแน่
สองฝ่ายต่างถอยคนละก้าว บรรลุความตกลงร่วมกันชั่วคราว ทว่าฟู่ถิงโจวยังคงไม่ยอมมอบคนให้ เขาสั่งให้ทหารของห้ากองกำลังพิทักษ์นคราคุมตัวสตรีสองคนเดินไปข้างหน้า ลู่เหิงไม่อยากเสียเวลาจึงตามเขาไป ขณะพวกเขากำลังจะออกเดินทาง เจ้าเมืองเว่ยฮุยก็พาคนสนิทหลายคนวิ่งเข้ามา หอบหายใจพลางตะโกน “ผู้บัญชาการลู่โปรดหยุดก่อน!”
ลู่เหิงหันกลับไป เจ้าเมืองเฉิงหยุดตรงหน้าเขา ซับเหงื่อบนหน้าผากไม่หยุด พูดอย่างหายใจไม่ค่อยทัน “ใต้เท้าลู่ ต้องโทษที่ผู้น้อยปกครองไม่ดี รบกวนความสงบของฝ่าบาท ผู้น้อยมิกล้าให้ใต้เท้าลู่ต้องเหน็ดเหนื่อย สองคนนี้มอบให้ผู้น้อยเป็นคนสอบสวนเองเถอะ ผู้น้อยจะต้องสืบให้กระจ่างชัดแน่นอน ไม่ทำให้ใต้เท้าลู่รายงานผลล่าช้าเป็นแน่”
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าที่การงานของลู่เหิง เขาจะปล่อยให้ผู้อื่นรับผิดชอบได้อย่างไร ลู่เหิงตอบเสียงเรียบ “เจ้าเมืองเฉิงปกครองราษฎรมากมายจะล่วงรู้ทุกเรื่องได้อย่างไร เจ้าเมืองเฉิงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เรื่องนี้ข้าสืบเองดีกว่า”
เจ้าเมืองเฉิงยังคงไม่ยอม พูดติดๆ กันว่า “มิกล้ารบกวนๆ”
หากเป็นยามปกติลู่เหิงจะสืบคดีสักคดีย่อมไม่มีทางฟังว่าผู้อื่นจะยินยอมหรือไม่ แต่ที่นี่คือเว่ยฮุย หากขุนนางท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็ไม่มีทางสืบหาต้นสายปลายเหตุได้ภายในเวลาสามวัน ลู่เหิงคิดในใจ ถึงอย่างไรก็มีฟู่ถิงโจวเพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว เพิ่มอีกสักคนก็ไม่เสียหาย จึงเอ่ยว่า “ข้ากำลังจะไปสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ที่ห้องกับเจิ้นหย่วนโหว ในเมื่อเจ้าเมืองเฉิงไม่วางใจก็ไปด้วยกันเถิด”
เจ้าเมืองเฉิงฟังถึงตรงนี้ก็รู้แล้วว่าไม่สามารถขัดขวางการเข้ามาแทรกแซงขององครักษ์เสื้อแพร ได้แต่จำใจเห็นด้วย
ฮ่องเต้เสด็จประพาสแดนใต้พาคนมาหนึ่งหมื่นห้าพันกว่าคน ทหารทั่วไปตั้งค่ายพักแรมอยู่ด้านนอก ขุนนางและข้าราชบริพารที่ติดตามมาด้วยเข้าพักในพระตำหนักชั่วคราว ยามนี้เป็นเวลาสนธยา พระตำหนักชั่วคราวมีรถม้าวิ่งเข้าวิ่งออกพลุกพล่านวุ่นวาย การหาห้องว่างสอบสวนผู้ต้องสงสัยหาใช่เรื่องยาก ลู่เหิงเดินนำเข้าไปก่อน ฟู่ถิงโจวกวาดตามองรอบด้าน ไม่เห็นหลุมพรางใดๆ จึงก้าวตามเข้าไปอย่างระมัดระวัง
เจ้าเมืองเฉิงซับเหงื่อ เดินตามหลังทั้งสองคน
เรือนหลังนี้อยู่ห่างไกลผู้คน ไกลจากพื้นที่พักผ่อนของฮ่องเต้มาก คนที่พักอยู่ที่นี่ฐานะก็ไม่สูงนัก ดังนั้นห้องหับจึงเก็บกวาดอย่างขอไปที หลายจุดยังมีฝุ่นเกาะอยู่ ตัวเรือนยาวสามห้อง กลางห้องโถงแขวนอักษรและภาพวาด ด้านล่างตั้งโต๊ะเก้าอี้ไม้หวงฮวาหลีไว้หนึ่งชุด มองออกว่าเพิ่งซื้อหามาใหม่ ซ้ายขวาสองฝั่งมีม่านทิ้งตัวลงมา ม่านกองอยู่บนพื้น ด้านหลังเป็นฉากบังตาที่เอียงกระเท่เร่
ฟู่ถิงโจวเข้ามาแล้วขมวดคิ้ว แต่อย่างน้อยที่นี่ก็อยู่ห่างไกลจากผู้คนและเงียบสงบเหมาะแก่การสอบปากคำ ฟู่ถิงโจวได้แต่อดทนชั่วคราว ลู่เหิงนั่งลงตรงกลางห้องโถงโดยไม่ลังเล ฟู่ถิงโจวตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่ง มิได้เอ่ยอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งขวามือ เจ้าเมืองเฉิงนั่งตามอย่างระมัดระวัง
รอจนใต้เท้าทั้งหลายนั่งลงแล้ว ทหารจึงผลักตัวแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่ถูกมัดตัวเป็นขนมจ้างเข้ามา ทหารคุมตัวพวกเขาให้คุกเข่าลงในห้องโถง จากนั้นก็ดึงผ้าขาวที่ยัดปากออก ปกติพวกนางหรือจะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ยามนี้ต่างก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
ลู่เหิงกวาดตามองไปยังทั้งสองคนเงียบๆ สตรีสองนางนี้หนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์ คนหนึ่งอายุราวสี่สิบ อีกคนหนึ่งอายุยี่สิบกว่าๆ ดูจากอายุก็สมเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้ หญิงเฒ่านางนั้นสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีฟ้า บนศีรษะโพกด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้ม บนใบหน้ามีรอยย่นกระจายอยู่ นิ้วมือและข้อนิ้วหยาบใหญ่ ปลายนิ้วมีรอยแตกสีดำ สตรีที่อ่อนเยาว์สวมเสื้อผ้าสีสดใสกว่าฮูหยินเฒ่า บนศีรษะเสียบปิ่นไม้ ผิวพรรณตึงกระชับ แต่บริเวณโหนกแก้มมีผิวที่แห้งกร้านวงเล็กๆ นิ้วมือ ใบหน้า และลำคอเป็นสีเดียวกัน
ดูจากการแต่งกายล้วนเป็นชาวนา สีผิวก็สอดคล้องกับหญิงชาวนาที่ตากแดดตากลมเป็นเวลาหลายปี ลู่เหิงถาม “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบุกเข้ามาในพระตำหนักชั่วคราวโดยพลการ”
หญิงสูงวัยแม้จะไม่รู้จักบุคคลตรงหน้า แต่ดูจากการแต่งกายและท่วงทีของพวกเขาเกรงว่าล้วนเป็นขุนนางระดับสูงที่พวกนางมิอาจล่วงเกินได้ นางกล้าๆ กลัวๆ โขกศีรษะตอบ “ข้าน้อยคารวะใต้เท้า สามีของข้าน้อยแซ่หลิว คนในหมู่บ้านล้วนเรียกข้าน้อยว่า ‘หลิวต้าเหนียง’ บ้านอยู่ที่หมู่บ้านเหอกู่อำเภอฉี ข้าน้อยไม่มีเจตนาอื่นอย่างแน่นอน แต่สามีและบุตรชายของข้าน้อยหายตัวไป ข้าน้อยจนปัญญาแล้วจริงๆ ได้ยินคนบอกว่าฝ่าบาทกับฮองเฮาจะเสด็จผ่านมาทางนี้ จึงบังอาจมาเรียกร้องความเป็นธรรมที่นี่เจ้าค่ะ”
เจ้าเมืองเฉิงฟังแล้วโทสะพวยพุ่ง “สามีกับบุตรชายเจ้าหายตัวไปก็ไปตามหาเอาข้างนอกโน่นสิ ใครให้พวกเจ้าขวัญกล้ามาล่วงเกินฝ่าบาทที่นี่”
หลิวต้าเหนียงถูกเจ้าเมืองเฉิงตำหนิ ตกใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ลูกสะใภ้ของนางห่อตัวอยู่ข้างหลัง ตัวสั่นไม่หยุด ลู่เหิงกวาดตามองไปเบื้องล่างเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงรักใคร่ราษฎรประหนึ่งบุตร ได้ยินพวกเจ้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมก็ทรงห่วงใยยิ่งจึงส่งข้ามาสอบถาม พวกเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจอันใด ตอนนี้สามารถเอ่ยออกมาตรงๆ ได้ ข้าตรวจสอบดูแล้วหากเป็นความจริงจะนำความไปกราบทูลฝ่าบาท แต่หากพวกเจ้ากล้าปิดบังล่ะก็…”
ลู่เหิงมิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือ ทว่าหลิวต้าเหนียงเข้าใจความหมายต่อจากนั้นทั้งหมด ว่าไปก็แปลก ในบรรดาขุนนางเหล่านี้ ขุนนางฝั่งขวามือที่รูปร่างท้วมหน่อยถลึงตาใส่พวกนางอย่างดุดัน ดูจากสายตาแทบอยากจะพุ่งเข้ามาฉีกกระชากพวกนางเป็นชิ้นๆ บุรุษอีกคนเงียบขรึมพูดน้อย สีหน้าแข็งกระด้างเย็นชา แค่เห็นก็ชวนให้คนหวาดหวั่น มีเพียงบุคคลที่นั่งอยู่ตรงกลางที่ผิวพรรณขาวกระจ่าง รูปโฉมหล่อเหลา อีกทั้งปากยังอมยิ้มอยู่เสมอ ดูแล้วเป็นมิตรมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงหลิวต้าเหนียงกลับกลัวเขามากที่สุด
หลิวต้าเหนียงสั่นสะท้านในใจ รีบพยักหน้าหงึกๆ “ข้าน้อยมิกล้าพูดเหลวไหล ข้าน้อยกับลูกสะใภ้เดินทางมาที่นี่อย่างยากลำบากก็เพื่อขอความกระจ่างแจ้ง ไม่กล้าหลอกลวงใต้เท้าทุกท่านอย่างแน่นอน”
ลู่เหิงเอ่ยเสียงเรียบ “ใช่ความจริงหรือไม่ข้าจะตรวจสอบเอง หากได้รับความไม่เป็นธรรมจริง ข้าจะต้องมีคำชี้แจงให้พวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้พวกเจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นมาให้ละเอียด”
หลิวต้าเหนียงสูดหายใจลึก เล่าอย่างตะกุกตะกัก “เดือนสี่ปีนี้ ผู้ใหญ่บ้านมาแจ้งแต่ละครัวเรือนบอกว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาที่อยู่ในวังจะทรงเดินทางผ่านมาบริเวณนี้ นายอำเภอต้องการให้แต่ละบ้านส่งชายฉกรรจ์ออกมาสองคน ไปช่วยสร้างพระตำหนักชั่วคราวในเมือง บ้านพวกเรามีบุรุษอยู่แค่สองคน พวกเขาพ่อลูกล้วนตามคนในหมู่บ้านไป ปกติงานในท้องนาข้ากับลูกสะใภ้สามารถรับมือได้ แต่เห็นว่าใกล้จะเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว พวกเราแม่สามีกับลูกสะใภ้ตั้งตารอทุกวันทุกคืน รออย่างไรก็ไม่เห็นพวกเขากลับมาเสียที นี่ก็ล่วงเข้าเดือนเจ็ดแล้ว ฮ่องเต้กับฮองเฮาใกล้จะทรงเดินทางมาถึง แต่เหตุใดพระตำหนักชั่วคราวกลับยังสร้างไม่เสร็จ พวกเราเข้าไปสอบถามในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน ภายหลังผู้ใหญ่บ้านพาพวกเราเข้าไปที่ตัวอำเภอ ไปสอบถามอยู่หลายหน นายอำเภอถึงบอกว่าชายฉกรรจ์จากหมู่บ้านเหอกู่เจอพายุฝนระหว่างทาง ถูกกระแสน้ำพัดพาไป ชายฉกรรจ์ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครรอดชีวิตสักคน”
ลู่เหิงฟังถึงตรงนี้ก็ปรายตามองไปยังเจ้าเมืองเฉิงเงียบๆ “เจ้าเมืองเฉิง มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”