ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 55-56
เจ้าเมืองเฉิงสีหน้าย่ำแย่ รีบตอบว่า “ฮ่องเต้เสด็จประพาสแดนใต้เป็นเรื่องใหญ่ เว่ยฮุยโชคดีที่ได้รับเสด็จ ย่อมต้องตระเตรียมพระตำหนักชั่วคราวให้ดี ข้าเกรงว่างานก่อสร้างจะทำไม่ทัน ดังนั้นจึงเกณฑ์แรงงานจากทั่วทุกพื้นที่มาช่วย แต่เว่ยฮุยมีภัยธรรมชาติและแผ่นดินไหวไม่หยุดหย่อนตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก หลายพื้นที่มีน้ำป่าไหลหลาก กลุ่มของพวกเขาบังเอิญเจอกับน้ำป่าพอดี นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ลู่เหิงถาม “ไม่มีผู้รอดชีวิตเลยหรือ”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเจ้าเมืองเฉิงกระตุกนิดๆ เหงื่อบนหน้าผากซึมออกมาอีกครั้ง “ผู้น้อยมิทราบ…ใต้เท้าลู่โปรดอภัย ผู้น้อยจะสั่งให้คนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ลู่เหิงโบกมือห้าม “ไม่ต้องแล้ว ในเมื่อไม่มีคนกลับมา คิดว่าทั้งคณะน่าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าดี”
เขาพูดพลางหันไปมองแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นั้น “สามีของพวกเจ้าเดินทางออกจากบ้านแล้วมิได้กลับมา ข้าเข้าใจความเจ็บปวดและความโศกเศร้าของพวกเจ้า แต่ภัยธรรมชาติไร้ความปรานี หาใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถควบคุมได้ไม่ เหตุใดพวกเจ้าจึงบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเล่า”
หลิวต้าเหนียงเห็นใต้เท้าท่านนี้ตัดสินไปตามสถานการณ์จริง วาจายังนับว่าเป็นมิตรจึงทำใจกล้าพูดต่อ “ใต้เท้า ท่านไม่รู้อะไร เหล่าหลิวบ้านข้าเวลาว่างงานจากท้องนาจะไปถ่อเรือหาปลาในแม่น้ำ คุ้นเคยกับแม่น้ำเป็นอย่างดี บุตรชายข้าก็อยู่ในน้ำมาตั้งแต่เล็ก ว่ายน้ำเก่งเป็นพิเศษ สามารถว่ายไปกลับในแม่น้ำได้หนึ่งรอบ แล้วพวกเขาพ่อลูกจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้อย่างไร”
เจ้าเมืองเฉิงได้ยินดังนั้นก็ตวาดเสียงขุ่น “สตรีผมยาวความรู้สั้นโง่เขลาสิ้นดี! น้ำป่าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา แค่พริบตาก็ซัดคนจมหายไปได้แล้ว ต่อให้ว่ายน้ำเก่งเพียงใดจะช่วยอะไรได้”
ลูกสะใภ้หลิวซื่อได้ยินดังนั้นก็แย้งเสียงค่อย “ท่านพ่อหาเลี้ยงชีพบนแม่น้ำ เวลาออกเรือระมัดระวังอย่างมาก เตือนพวกเราอยู่เสมอว่าก่อนออกจากบ้านต้องดูดินฟ้าอากาศ หากฝนตกหนักเขาไม่มีทางเข้าใกล้แม่น้ำเป็นอันขาด”
“โง่เง่า!” เจ้าเมืองเฉิงเดือดดาล สะบัดแขนเสื้อร้องด่า “การเกณฑ์ไพร่พลจะเหมือนยามปกติได้อย่างไร ตอนนั้นในขบวนไม่ได้มีแค่ครอบครัวพวกเจ้า ไปหรือไม่ไปพวกเขามีสิทธิ์ตัดสินใจได้อย่างนั้นหรือ”
หลิวต้าเหนียงพูด “นายอำเภอก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน กลับมาที่หมู่บ้านแล้วผู้ใหญ่บ้านปลอบข้าให้ทำใจ นี่น่าจะเป็นเหตุไม่คาดคิด พวกเราแม่สามีกับลูกสะใภ้เดิมทียอมรับชะตาแล้ว ทว่าตั้งแต่พวกเขาพ่อลูกหายสาบสูญไป เหยี่ยวล่าปลา* ที่เลี้ยงไว้ที่บ้านก็หายไปด้วย สองวันก่อนเหยี่ยวล่าปลาบินกลับมากะทันหัน กรงเล็บมีแถบผ้าชิ้นหนึ่งผูกอยู่ ข้ารู้สึกว่าแถบผ้าชิ้นนี้คุ้นตาจึงปลดมาดู สุดท้ายพบว่าเป็นเสื้อผ้าของบุตรชายข้า บนนั้นใช้เลือดเขียนว่า ‘ช่วยด้วย’ ”
เจ้าเมืองเฉิงสูดหายใจเบาๆ สีหน้าเก็บกลั้นอารมณ์ ไม่พูดอะไรอีก ลู่เหิงฟังถึงตรงนี้ก็เอ่ยปาก “ของเล่า”
“อยู่นี่เจ้าค่ะ” หลิวต้าเหนียงรีบพลิกเสื้อผ้า หยิบเศษผ้าเปื้อนเลือดชิ้นหนึ่งออกมาจากสายคาดเอว ทหารรับของไปและยื่นให้ลู่เหิง ลู่เหิงรับมาพลิกดู มองปราดเดียวก็มั่นใจว่าบนนั้นเป็นเลือดคน เขาเหลือบตาขึ้นนิดๆ จ้องหลิวต้าเหนียงพลางถาม “เรื่องผ้าชิ้นนี้มีใครรู้บ้าง”
“มีแต่พวกเราแม่ลูกสองคน” หลิวต้าเหนียงรีบตอบ “เดิมทีพวกเราอยากไปแจ้งความกับนายอำเภอ แต่คนของที่ว่าการแค่เห็นพวกเราก็ไล่ตะเพิด บอกว่าคนหายตัวไปเพราะน้ำป่า ห้ามไม่ให้พวกเรามารบกวนนายอำเภออีก พวกเราอ้อนวอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายพวกเราหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงวิ่งมาที่นอกพระตำหนักชั่วคราว อยากลองดูว่าจะเรียกร้องความเป็นธรรมได้หรือไม่”
ลู่เหิงส่งผ้าให้คนของตนเอง ส่งสัญญาณให้พวกเขาเก็บรักษาให้ดี จากนั้นก็มองไปยังเจ้าเมืองเฉิง เจ้าเมืองเฉิงใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นไหลรินไม่หยุด ยืนนั่งไม่เป็นสุข
“เจ้าเมืองเฉิง” ลู่เหิงพูดเนิบช้า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านรู้หรือไม่”
เจ้าเมืองเฉิงอ้าปากแต่กลับพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ลู่เหิงไม่อยากเสียเวลากับเขาจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉิง เรื่องนี้เห็นทีจะมีลับลมคมใน อาจจะไม่ใช่คดีคนหายทั่วไป ประเดี๋ยวรบกวนใต้เท้าเฉิงส่งทะเบียนครัวเรือนกับบันทึกประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านเหอกู่มาให้ข้าที ยังมีคดีคนหายในช่วงสามปีมานี้ รวบรวมมาให้หมด”
เจ้าเมืองเฉิงรับคำ ไหนเลยจะกล้าพูดมากอีก ลู่เหิงซักถามเบื้องต้นเสร็จแล้ว จากนี้ต้องตรวจสอบว่าคำให้การของสองคนนี้เป็นจริงหรือเท็จจึงจะจัดการขั้นตอนต่อไปได้ เขาสั่งองครักษ์เสื้อแพรอย่างเป็นธรรมชาติ “พาตัวพวกนางไปคุมขัง ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เด็ดขาด”
องครักษ์เสื้อแพรกำลังจะรับคำ ฟู่ถิงโจวกลับหัวเราะ ขัดคำพูดของลู่เหิงอย่างไม่ไว้หน้า “สองคนนี้พูดจาฉะฉานชัดเจนอาจจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจริงๆ ไม่แน่พวกนางอาจเป็นคนร้ายปลอมตัวมา ผู้บัญชาการลู่ต้องตรวจดูเอกสาร เกรงว่าคงไม่มีเวลาเฝ้าระวังนักโทษ ตามความเห็นข้า สองคนนี้ยังคงให้กองกำลังพิทักษ์นคราคุมขังต่อไปจะดีกว่ากระมัง”
ห้ากองกำลังพิทักษ์นคราดูแลรักษาความปลอดภัยของนครหลวง คำพูดของฟู่ถิงโจวนับว่าชอบด้วยเหตุผล ตอนนี้เบาะแสสำคัญของลู่เหิงก็คือสองคนนี้ จุดอ่อนใหญ่ถึงเพียงนี้ฟู่ถิงโจวจะยอมส่งกลับคืนไปได้อย่างไร
สีหน้าของลู่เหิงฉายแววขุ่นเคือง เขาตบเท้าแขนเก้าอี้ มองฟู่ถิงโจวด้วยสายตาเย็นชา “เจิ้นหย่วนโหว เจ้ากักตัวพยานขององครักษ์เสื้อแพรไว้ มีจุดประสงค์ใดกันแน่”
แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วลมแทบจับ พวกนางคิดเพียงว่านี่คือขุนนางใหญ่ที่มาจากนครหลวง คิดไม่ถึงว่าคนหนึ่งจะเป็นท่านโหว อีกคนหนึ่งจะเป็นองครักษ์เสื้อแพร มิน่าเจ้าเมืองถึงได้นั่งตัวลีบอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีระมัดระวัง
ใต้เท้าลู่ทะเลาะกับเจิ้นหย่วนโหวแล้ว เจ้าเมืองเฉิงพลันเงียบกริบ เกรงว่าหากไม่ระวังตนจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
ผู้อื่นกลัวลู่เหิง ฟู่ถิงโจวกลับไม่กลัว เขาแค่นเสียงเช่นกัน น้ำเสียงเยียบเย็น พูดอย่างไม่เปิดโอกาสให้ต่อรอง “ข้าแค่รักษาความปลอดภัยของพระตำหนักชั่วคราวเท่านั้น หรือว่าเพื่อสืบคดีนี้ ผู้บัญชาการลู่จะปล่อยให้ฝ่าบาททรงต้องตกอยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจ”
“ดี!” ลู่เหิงผุดลุกจากเก้าอี้ มองฟู่ถิงโจวอย่างผู้ที่เหนือกว่า “วันนี้ต่อหน้าพยานมากมาย เดิมทีพวกนางเป็นพยานของข้า แต่เจิ้นหย่วนโหวยืนกรานจะคุมตัวไว้เสียเอง เจิ้นหย่วนโหวต้องเฝ้าระวังให้ดีล่ะ คนอยู่กับเจ้า หากเกิดความผิดพลาดอะไร ทำให้ข้ามิอาจสืบคดีต่อไปได้ ข้าจะไปชี้แจงเหตุผลเบื้องพระพักตร์”
ฟู่ถิงโจวนิ่งอึ้งไป ตระหนักได้ทันที เจ้าคนผู้นี้จงใจชัดๆ! ลู่เหิงจงใจปัดความรับผิดชอบให้เขา หากคดีสืบจนกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมเป็นความดีความชอบของลู่เหิง แต่หากคดีคลี่คลายไม่ได้ หรือแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ตายไป เช่นนั้นลู่เหิงก็จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดมาที่เขา
ใครให้ฟู่ถิงโจวยึดตัวพยานของผู้อื่นเอาไว้…
ฟู่ถิงโจวกำเท้าแขนแน่นด้วยความโมโห แต่แล้วก็สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว คนอยู่ในมือเขา ลู่เหิงไม่อาจสอบสวนและไม่อาจลงทัณฑ์ วิธีการขององครักษ์เสื้อแพรล้วนมิอาจนำมาใช้ได้ ฟู่ถิงโจวไม่เชื่อหรอกว่าอาศัยแค่การอ่านเอกสารลู่เหิงจะคลี่คลายคดีได้ ช้าเร็วลู่เหิงก็ต้องมาขอร้องตน ฟู่ถิงโจวจะรอให้ถึงวันนั้น
ทว่าถูกลู่เหิงตลบหลังเช่นนี้ ฟู่ถิงโจวยังคงเดือดดาลยิ่งนัก เขาตีหน้าเย็นชาพลางลุกขึ้น แม้แต่คำพูดตามมารยาทก็คร้านจะเอ่ย ตวาดเสียงเย็นว่า “ไป!” ก่อนจะพาคนของห้ากองกำลังพิทักษ์นคราจากไป เจ้าเมืองเฉิงไม่กล้าอยู่กับลู่เหิงตามลำพัง ฉวยโอกาสนี้จากไปเช่นกัน
รอจนสองคนนั้นออกไปแล้ว ใบหน้าของลู่เหิงก็ผุดรอยยิ้มช้าๆ ต้องขอบคุณฟู่ถิงโจวที่ช่วยเขาแก้ปัญหาไปหนึ่งเปลาะ
ภายในขององครักษ์เสื้อแพรหาใช่ถังเหล็กไม่ ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเองก็มีหลายฝั่งหลายฝ่าย ลู่เหิงสามารถป้องกันผู้อื่นได้ แต่กลับมิอาจขัดขวางคนข้างใน เขาเพิ่งจะล่วงเกินเฉินอิ๋นไปอย่างรุนแรง เขากลัวว่าเฉินอิ๋นจะวางกำลังคนไว้ในกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรและฆ่าปิดปากแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ หลังจากนั้นต่อให้ลู่เหิงสามารถไขคดีได้ก็ต้องมีความผิดติดอยู่ในใจของฮ่องเต้โทษฐานทำงานบกพร่อง
ดังนั้นลู่เหิงจึงจงใจยั่วโทสะฟู่ถิงโจวทำให้ฟู่ถิงโจวมาคุมตัวคน หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใด ลู่เหิงล้วนสามารถผลักภาระไปให้ฟู่ถิงโจวได้เสมอ
ลู่เหิงขุดหลุมพรางล่อฟู่ถิงโจวลงไปได้ จิตใจพลันเบิกบาน ในที่สุดความอัดอั้นเมื่อตอนกลางวันบรรเทาลงไปบ้าง แต่สีหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชากลับฉายแววลำบากใจ เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “ผู้บัญชาการ คนอยู่ในมือเจิ้นหย่วนโหว แม้แต่คำให้การยังไม่อาจบันทึกได้ ครานี้จะทำอย่างไรดีขอรับ”
“ไม่เป็นไร” ลู่เหิงเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเจ้าตามเฉิงโยวไห่ไปเอาเอกสาร ขอเพียงเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องจงขนมาให้หมด อย่าให้พวกเขาเล่นลูกไม้ได้”
ผู้ใต้บังคับบัญชากุมหมัดรับคำ เสียงฝีเท้ากระฉับกระเฉงเป็นระเบียบดังขึ้น ไม่นานคนก็จากไปหมด รอจนรอบด้านปราศจากผู้คนแล้ว ลู่เหิงจึงเดินเข้าไปในห้องทิศตะวันออกอย่างไม่รีบร้อน อ้อมฉากบังตาไปแล้วเอ่ยถาม “ชิงชิง เป็นอย่างไรบ้าง”