ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 55-56
บทที่ 56
สถานที่สอบปากคำลู่เหิงเป็นคนกำหนด หลังออกจากตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้เขาก็ส่งคนไปตามหวังเหยียนชิงมาทันที แต่เขาโชคไม่ดีที่พบกับฟู่ถิงโจวและเจ้าเมืองเฉิงเข้า ระหว่างทางลู่เหิงจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ลอบส่งข่าวให้หวังเหยียนชิง บอกให้นางไปหลบหลังฉากบังตาก่อนที่พวกเขาจะไปถึง
ตอนนี้เป็นยามโพล้เพล้ แสงสนธยาสลัวมัว ประกอบกับเรือนหลังนี้ทึบทึม ไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว การซ่อนคนคนหนึ่งมิใช่เรื่องยาก แต่อย่างไรเสียข้างนอกก็มีข้าราชสำนักนั่งอยู่ถึงสองคน ในจำนวนนั้นยังรวมถึงคู่ปรับของเขาฟู่ถิงโจวด้วย หวังเหยียนชิงเกรงว่าจะทำให้สองคนนั้นรู้ตัว ทั้งลมหายใจและการเคลื่อนไหวล้วนผ่อนให้เบาลงอีกสามส่วน เนื่องจากมีข้อจำกัดมากเกินไปทำให้นางไม่มีเวลาสังเกตสีหน้าอาการคนมากนัก
หวังเหยียนชิงส่ายหน้าเล็กน้อย “อยู่ห่างเกินไป ข้ามองเห็นไม่ค่อยชัด แต่ท่าทีของพวกนางดูไม่เหมือนคนที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ”
ลู่เหิงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ตอนสอบปากคำเขาสังเกตมือของแม่สามีลูกสะใภ้คู่นั้นตลอด ข้อนิ้วของพวกนางมีขนาดใหญ่ ฝ่ามือหยาบกระด้าง นิ้วมือยังมีรอยแตกด้วย ผู้ฝึกยุทธ์ก็มีหนังด้านเช่นกัน แต่ตำแหน่งของการจับดาบกับเครื่องมือทำไร่ไถนาไม่เหมือนกัน หนังด้านที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากดูแต่ภายนอกก็มองไม่เห็นร่องรอยการปลอมแปลงของสองคนนี้
ลู่เหิงเชื่อชั่วคราวว่าพวกนางมาร้องทุกข์จริงๆ เขามองท้องฟ้าข้างนอกแวบหนึ่ง “ที่นี่มีคนเข้าๆ ออกๆ อาจมีคนกลับมาได้ทุกเมื่อ ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปแล้วค่อยคุยกัน”
หวังเหยียนชิงพยักหน้า นางไม่พลาดคำพูดประโยคที่ว่า ‘อาจมีคนกลับมาได้ทุกเมื่อ’ ของลู่เหิง เขาพูดเช่นนี้ คนที่ว่าน่าจะหมายถึงฟู่ถิงโจวหรือเจ้าเมืองเฉิง ทว่าเจ้าเมืองเฉิงเป็นขุนนางขั้นสี่เท่านั้น ต่อให้เห็นลู่เหิงซ่อนคนนอกไว้ในเรือนก็ไม่กล้าป่าวประกาศออกไป เช่นนั้นคนที่ลู่เหิงกังวลก็ต้องเป็นฟู่ถิงโจวเท่านั้น
น่าประหลาดนัก เหตุใดพี่รองจึงไม่อยากให้ฟู่ถิงโจวเห็นนางเล่า แม้การนึกเช่นนี้จะหน้าไม่อายทีเดียว แต่ตอนนี้ฟู่ถิงโจวยังลุ่มหลงนางอยู่ ต่อให้เจอนางก็ไม่มีทางไปฟ้องเบื้องบน พี่รองกังวลเรื่องใดอยู่กันแน่
ตั้งแต่นางพบกับฟู่ถิงโจว เรื่องที่อธิบายไม่ได้ก็มีมากขึ้นทุกที หวังเหยียนชิงมิได้ส่งเสียง เพียงเดินตามลู่เหิงกลับไปยังที่พักของพวกเขาในพระตำหนักชั่วคราวเงียบๆ การเสด็จประพาสแดนใต้ทุกอย่างล้วนจัดการอย่างเรียบง่าย แม้แต่หวังเหยียนชิงยังถูกยัดเข้ามาในขบวนอย่างลับๆ นางจะพาสาวใช้ติดตามมาด้วยมากเกินไปไม่ได้จึงพาแค่หลิงซีออกมาเท่านั้น
หลิงซีเห็นหวังเหยียนชิงกับลู่เหิงกลับมาก็ไม่เอ่ยถามอะไรทั้งสิ้น เปลี่ยนชาร้อนให้พวกเขาแล้วก็ปิดประตูจากไปอย่างคล่องแคล่ว หวังเหยียนชิงเคยชินกับการปฏิบัติเช่นนี้ของอีกฝ่ายแล้ว ไม่รู้สึกว่าผิดปกติแต่อย่างใด นางไม่มีเวลามาดื่มน้ำชา ขยับเข้าไปใกล้แล้วถาม “พี่รอง นี่มันเรื่องอะไรหรือ”
นางนั่งรถม้ามาทั้งวันไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เหยียบพื้นดิน ยังไม่ทันจัดเก็บสัมภาระให้ดี จู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าผู้บัญชาการเรียกนางไปพบ หวังเหยียนชิงยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกพาไปนั่งหลังฉากบังตาสีซีดที่เต็มไปด้วยฝุ่น หลังจากนั้นลู่เหิง ฟู่ถิงโจว และขุนนางอีกคนที่นางไม่รู้จักก็เดินเข้ามาแล้ว
ลู่เหิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก็อย่างที่เจ้าได้ยิน มีคนวิ่งมานอกพระตำหนักชั่วคราวร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฝ่าบาททรงได้ยินเข้าจึงมีรับสั่งให้ข้าไขคดีภายในสามวัน”
“ภายในสามวัน?” หวังเหยียนชิงฟังแล้วตื่นตระหนก “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นเช่นนี้”
นิ้วมือเรียวยาวของลู่เหิงเคาะเท้าแขนพลางพูดเนิบช้า “ข้าเป็นคนเสนอเองต่างหาก”
หวังเหยียนชิงพูดไม่ออกทันใด นางมองลู่เหิง ไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ลู่เหิงไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติม “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แก้ปัญหาเรื่องคดีก่อนเถอะ เจ้าว่าแถบผ้าที่เขียนคำว่า ‘ช่วยด้วย’ เป็นของจริงหรือไม่”
สิ่งที่อยู่บนแถบผ้าชิ้นนั้นเป็นเลือดคนมิผิด แต่ใช่ว่าจะเป็นเลือดของบุตรชายสกุลหลิวเสมอไป หากแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวต้องการเรียกร้องความสนใจจึงจงใจทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตเล่า หวังเหยียนชิงขบคิดดูแล้วส่ายหน้าอย่างจริงใจ “เรื่องที่รับรู้มีน้อยเกินไป ข้าไม่อาจวินิจฉัยได้ แต่ข้ามักรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่หลิวต้าเหนียงมิได้พูดออกมา”
“ใช่” ลู่เหิงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ “ข้าก็รู้สึกได้เช่นกัน ดูเหมือนพวกนางจะหวาดกลัวมาก เวลาพูดก็ดูอึกๆ อักๆ คลุมเครือไม่ชัดเจน”
“พวกนางหวาดกลัวก็เป็นเรื่องปกติ” หวังเหยียนชิงพูด “พวกท่านสามคนร่วมกันสอบสวนพวกนางเช่นนี้ ชาวบ้านคนใดบ้างเล่าจะไม่กลัว อีกทั้งในจำนวนนี้ยังมีเจ้าเมืองที่เป็นขุนนางท้องถิ่น พวกนางมีความกังวลในใจก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา”
ลู่เหิงจนปัญญากับเรื่องนี้ เขาเชี่ยวชาญการทำให้คนหวาดกลัว แต่จะใกล้ชิดกับผู้อื่นอย่างไร เรื่องนี้กลับไม่มีอยู่ในบทเรียนขององครักษ์เสื้อแพร ลู่เหิงพูด “หากให้เจ้าถาม มั่นใจหรือไม่ว่าจะแยกแยะจริงเท็จได้”
หวังเหยียนชิงตรึกตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ผงกศีรษะช้าๆ “น่าจะได้ แต่ข้าต้องพบสองคนนี้ตามลำพัง ดีที่สุดคือต้องไม่มีขุนนางและทหารอยู่ด้วย”
หากคนอยู่กับองครักษ์เสื้อแพร นี่เป็นเรื่องที่จัดการได้อย่างง่ายดาย แต่คนกลับถูกฟู่ถิงโจวพาตัวไป ลู่เหิงลอบสบถในใจ ทว่าสีหน้ายังคงสุขุมเยือกเย็น “ไม่มีปัญหา ข้าจัดการเอง”
ฤดูคิมหันต์กลางวันยาวนาน ไอร้อนปกคลุมผืนแผ่นดิน กระทั่งในอากาศยังคล้ายเจือไอหมอกขมุกขมัวสีเทาชั้นหนึ่ง ทหารเดินทางไกลมาทั้งวัน กลางคืนยังต้องเดินตรวจตราที่นี่ ต่างเหน็ดเหนื่อยจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แต่เรื่องที่เจิ้นหย่วนโหวสั่งพวกเขาไม่กล้าละเลย ทหารกองหนึ่งเดินลาดตระเวนตามแนวกำแพง จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งตาไว เห็นชายฉกรรจ์หลายคนเดินมาทางนี้
ชุดขององครักษ์เสื้อแพรแม้อยู่ห่างไกลเป็นหลี่ก็ยังสามารถแยกแยะได้ เหล่าทหารตื่นตัวทันใด ขวางทางไว้พลางถามเสียงดัง “ผู้มาเป็นใคร!”
องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นหัวหน้าแสดงป้ายห้อยเอวของตนเอง “ใต้เท้าลู่เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดกับพยานจึงสั่งให้พวกเรามาตรวจสอบ”
ทหารลาดตระเวนเป็นคนของห้ากองกำลังพิทักษ์นครา ไม่รับฟังเหตุผลนี้ขององครักษ์เสื้อแพร “เจิ้นหย่วนโหวมีคำสั่ง หากไม่มีหลักฐานแทนตัวจากเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าไป”
องครักษ์เสื้อแพรหมดความอดทน อดขึ้นเสียงดังไม่ได้ “ก็แค่ไปดูพยานเท่านั้น พวกเจ้าบ่ายเบี่ยงสารพัดเช่นนี้ ใช่มีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่”
ฤดูคิมหันต์อากาศร้อนระอุ คนสองฝ่ายเมื่อพูดจาไม่เข้าหูก็ทะเลาะกัน ทหารที่เฝ้าประตูใหญ่ชะเง้อคอมองไปข้างหน้าไม่หยุด แม้จะร้อนใจแต่ก็มิกล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ เวลานี้เองสตรีสองคนในชุดชาววังเดินเข้ามา ทหารสายตามองไปข้างหน้า แต่กลับไม่ลืมขวางผู้มาเยือนไว้ “ใครกัน”
นางกำนัลยอบกายคารวะตามธรรมเนียมชาววังอย่างเรียบร้อย เป็นฝ่ายเปิดกล่องไม้ในมือ “พวกเรามาส่งอาหาร”