ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 55-56
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ฮ่องเต้ได้ยินเข้าจริงๆ หวังเหยียนชิงรู้สึกทอดถอนใจแทนแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่อาภัพคู่นี้ แต่แล้วนางพลันตระหนักถึงความผิดปกติ เงยหน้าทันใด ดวงตาสาดประกายคมกล้า “พวกท่านบอกว่าพวกท่านไปร้องขอความเป็นธรรมในที่ว่าการอำเภอก่อน ภายหลังจึงเห็นเหยี่ยวล่าปลา ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานอันใด เหตุใดพวกท่านจึงคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขามิใช่อุบัติเหตุเล่า”
แววตาของหวังเหยียนชิงในตอนนี้กับนางกำนัลที่อ่อนโยนจิตใจดีงามเมื่อครู่แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน หลิวต้าเหนียงจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ นางเลียริมฝีปาก ต่อสู้กับตนเองครู่หนึ่ง ก่อนจะกดเสียงเบาพูด “ความจริงมิใช่แค่เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากครั้งนี้เท่านั้น ก่อนเกณฑ์ไพร่พลก็เคยมีคนออกจากบ้านแล้วหายตัวไปอย่างลึกลับ อีกทั้งก่อนหน้านี้ตอนกลางคืนยังเคยมีเสียงดังครึกโครมลอยมาจากบนภูเขา คนอื่นๆ บอกว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ตาแก่บ้านข้าบอกว่าไม่ใช่ หากแผ่นดินไหวจริง ปลาในแม่น้ำจะต้องหนีแน่ ตอนนั้นข้ามิได้ใส่ใจ ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่นานคนของทางอำเภอจะมาเกณฑ์ชายฉกรรจ์ คนในหมู่บ้านไม่มีใครกลับมาสักคนเดียว ข้ายิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปกติ นี่จะเรียกว่าภัยธรรมชาติได้อย่างไร จะต้องเป็นฝีมือคนอย่างแน่นอน!”
คำชี้แจงที่หลิวต้าเหนียงเปิดเผยออกมามีประโยชน์มาก หวังเหยียนชิงกำลังจะถามต่อ เสียงเคาะประตูพลันลอยมาจากข้างหลัง เสียงของหลิงซีดังขึ้นหลังบานประตู น้ำเสียงตึงเครียดเล็กน้อย “ได้เวลาแล้ว พวกเราต้องไปแล้วล่ะ”
แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวถึงได้รู้ว่าข้างนอกยังมีนางกำนัลอีกคนหนึ่ง พวกนางลุกขึ้นอย่างวางตัวไม่ถูก รีบขออภัย หวังเหยียนชิงรู้ว่าเหตุการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง นางห้ามแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวไว้พลางพูด “เป็นความผิดของข้าเอง พอได้พูดคุยก็ลืมเวลา พวกเรามีระเบียบของวังอยู่ ต้องรีบกลับแล้ว ท่านทั้งสองหยุดตรงนี้เถอะ ไม่ต้องไปส่ง”
หลิวต้าเหนียงฟังแล้วไม่กล้าขวางอีก หวังเหยียนชิงถือกล่องอาหารเดินออกมา หลิงซีเห็นนางแล้วกดเสียงเบาพูด “แม่นาง ประเดี๋ยวไม่ต้องพูดอะไร เพียงเดินไปตามทางที่ไม่มีแสงไฟ”
หวังเหยียนชิงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ หลิงซีกับหวังเหยียนชิงออกจากประตู ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นพวกนางออกมาก็ขมวดคิ้วถาม “เหตุใดจึงเข้าไปนานถึงเพียงนั้น”
หลิงซีก้มหน้าหลุบตาตอบ “กูกูควบคุมเข้มงวด พวกเราต้องรอให้พวกนางกินเสร็จและเก็บกล่องอาหารกลับไปด้วย”
ทหารไม่รู้กฎระเบียบภายในวัง ฟังแล้วจับผิดอะไรไม่ได้จึงปล่อยให้พวกนางผ่านไป หวังเหยียนชิงก้มหน้าก้าวเดินฉับๆ ข้างหน้าก็เป็นหัวเลี้ยวแล้ว จู่ๆ เสียงฝีเท้าเป็นระเบียบทรงพลังก็ดังขึ้นข้างหลัง หลิงซีหัวใจหดเกร็ง รีบสลับมาอยู่ข้างหลังหวังเหยียนชิง บดบังเงาร่างของนางไว้
ทั้งสองอ้อมผ่านมุมกำแพงไปได้อย่างปลอดภัย หลิงซีไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกนางถูกจับได้หรือไม่ ได้แต่เร่งหวังเหยียนชิงให้รีบเดิน หวังเหยียนชิงไม่โต้แย้งใดๆ เอ่ยคำพูดเพียงประโยคเดียว “ประเดี๋ยวอย่าลืมส่งอาหารไปให้พวกนางด้วย”
หลิงซีผงกศีรษะ “ผู้บัญชาการจะจัดการเองเจ้าค่ะ”
ฟู่ถิงโจวรู้สึกว่าลู่เหิงไม่มีทางอยู่นิ่งเช่นนี้แน่ ตามคาด ช่วงที่ท้องฟ้ากำลังจะมืดแต่ยังไม่มืด มีคนมารายงานว่าองครักษ์เสื้อแพรหลายคนมาหาเรื่องที่หน้าประตู ฟู่ถิงโจวรุดมาตรวจสอบด้วยตนเอง ตอนเขาเข้าใกล้คลับคล้ายมองเห็นสตรีสองคนเดินผ่านมุมกำแพงไป
ต่อให้เงาร่างของสตรีผู้นั้นปรากฏให้เห็นเพียงชั่วอึดใจเดียว ฟู่ถิงโจวก็ยังจดจำได้ นั่นคือชิงชิง
ฟู่ถิงโจวมิได้ส่งเสียง หลังจากเขามาถึง องครักษ์เสื้อแพรที่ก่อเรื่องก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ฟู่ถิงโจวผลักประตูเข้าไปในห้อง หลิวต้าเหนียงเห็นว่าเป็นเขา รีบดึงลูกสะใภ้ให้คุกเข่าลง
“ข้าน้อยคารวะท่านโหว”
พวกนางคุกเข่าอยู่บนพื้น คำนับด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ความสนใจของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่แม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้เลย เขายืนเอามือไพล่หลัง สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเสี้ยวหนึ่งที่ยังไม่สลายหายไป
กลิ่นหอมจางๆ นี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากเดาได้แต่แรกอยู่แล้ว ฟู่ถิงโจวถึงขั้นไม่รู้สึกประหลาดใจด้วยซ้ำ เอ่ยถามแม่สามีกับลูกสะใภ้บนพื้นคู่นั้น “เมื่อครู่ใครมาที่นี่”
หลิวต้าเหนียงตัวสั่นงันงก “เป็นนางกำนัลที่มาส่งอาหารท่านหนึ่ง…ไม่ เป็นสองท่าน”
“นางหน้าตาเป็นอย่างไร”
คำถามนี้ทำเอาหลิวต้าเหนียงชะงัก นางย่นใบหน้าขณะบรรยาย “รูปร่างค่อนข้างสูง คนทั้งขาวทั้งผอม ใบหน้างดงามเป็นพิเศษ”
ฟู่ถิงโจวพยักหน้านิดๆ แล้วถามต่อ “นางคุยอะไรกับพวกเจ้าบ้าง”
“แค่ถามถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน…” หลิวต้าเหนียงประหม่า “หรือว่านั่นมิใช่นางกำนัล”
หากลู่เหิงก่อเรื่อง ฟู่ถิงโจวไม่มีทางปรานีแน่ แต่เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับชิงชิง เขาไม่อยากเปิดเผยฐานะของชิงชิง จึงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เป็นนางกำนัล ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่มาตรวจสอบดูเท่านั้น”
หลิวต้าเหนียงส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง รอยย่นบนใบหน้าคลายออก ฟู่ถิงโจวกวาดตามองพวกนางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังออกไป หลังจากประตูปิดลง เขากำชับทหารที่เฝ้ายาม “เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้าใกล้พวกนางอีก”
ทหารรับคำอย่างแข็งขัน พูดจบแล้วกลับเห็นเจิ้นหย่วนโหวไม่ขยับ ทหารเริ่มจะวิตก หรือว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรผิดพลาดไป
ขณะที่ทหารตกใจจนเหงื่อเย็นผุดซึม ฟู่ถิงโจวเอ่ยปาก “ครั้งหน้าหากนางกำนัลสองคนนั้นมาส่งอาหารอีก…”
เขาพูดได้ครึ่งหนึ่งก็หยุด สุดท้ายก็สั่นศีรษะ “นางไม่มีทางมาอีกแล้ว ช่างเถอะ ปฏิบัติหน้าที่ให้ดี”
เจิ้นหย่วนโหวทิ้งคำพูดอันแปลกประหลาดไว้ แล้วก็ไม่พูดต่ออย่างน่าประหลาด ทหารไม่เข้าใจ ได้แต่รับคำอย่างงุนงง
ฟู่ถิงโจวย่ำราตรีกลับที่พักของตนเอง อากาศในเดือนเจ็ดประหนึ่งลังถึง บนพื้นระอุไปด้วยไอร้อนจากใต้ดิน ฟู่ถิงโจวเดินอยู่ในพระตำหนักชั่วคราวที่การรักษาความปลอดภัยวุ่นวายขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ความคิดเลือนรางอย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจ
เขาพอจะรู้แล้วว่าต้องช่วยชิงชิงกลับมาอย่างไร
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.