ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 57-58
บทที่ 57
แม้หวังเหยียนชิงจะพยายามซักถามอย่างรวดเร็ว แต่เวลาที่อยู่ในนั้นยังคงนานเกินที่พวกนางคาดหมายไว้ ตอนพวกนางออกจากประตูจึงเจอเหตุไม่คาดคิด เวลานั้นหวังเหยียนชิงร้อนใจจะจากไปท่าเดียว ไม่ได้หันกลับไปมองว่าเป็นใคร อีกฝ่ายก็ไม่ได้ไล่ตามมา เดาว่านางคงมิได้เผยพิรุธกระมัง
หวังเหยียนชิงลอบโล่งอก นางกลับมาที่เรือนของลู่เหิงเงียบๆ ลู่เหิงได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างนอก พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ประตูไม่ได้ลงดาล เข้ามาได้เลย”
หวังเหยียนชิงเปิดประตูและเบี่ยงตัวเข้าไป ลู่เหิงกำลังพลิกดูเอกสารใต้แสงไฟ ด้านข้างมีเอกสารกองเป็นตั้ง ในจำนวนนั้นมีหลายแผ่นถูกเขาดึงออกมาวางแยกไว้ต่างหาก ชายหนุ่มปิดเอกสารในมือแล้วเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร ระหว่างทางราบรื่นหรือไม่”
หวังเหยียนชิงยังคงสวมชุดนางกำนัล นางไม่อยากให้เขาเป็นห่วงจึงตอบว่า “มีเรื่องน่าตกใจ ทว่าไร้อันตราย ยังนับว่าราบรื่น”
ลู่เหิงลุกขึ้นรินน้ำชาให้หวังเหยียนชิงถ้วยหนึ่ง วางลงข้างมือนาง “ดื่มน้ำชาให้คอชุ่มก่อน ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เล่า”
หวังเหยียนชิงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน รู้สึกกระหายน้ำจริงๆ นางหยิบถ้วยชาขึ้นมา น้ำอุ่นกำลังดี หญิงสาวจิบไปเพียงอึกเดียว บรรเทาความแห้งผากในลำคอได้แล้วก็วางถ้วยลง “พี่รอง หมู่บ้านเหอกู่อาจจะมีอะไรแอบแฝง”
ริมฝีปากนางเปื้อนน้ำชาเปล่งประกายแวววาวภายใต้แสงไฟ ประหนึ่งทาด้วยน้ำยาเคลือบเงาชั้นดี ลู่เหิงเห็นแล้วหัวใจคันยุบยิบ เขายื่นมือไปกดมุมปากนาง เช็ดหยดน้ำบนนั้นที่มิได้มีอยู่จริง อดถามอย่างใจลอยไม่ได้ “อย่างไรหรือ”
ความคิดจิตใจของหวังเหยียนชิงล้วนอยู่ที่รายละเอียดของคดีที่สืบมาได้เมื่อครู่นี้ทั้งหมด แม้มือของลู่เหิงจะซุกซนอยู่บนใบหน้านาง แต่นางก็ยังอารมณ์ดีอดทนไว้ไม่สนใจได้ จิตใจจดจ่อกับการบอกเล่าสิ่งที่ตนเองค้นพบ “หลังจากเข้าไปในห้อง ข้าหาโอกาสทำกล่องอาหารของพวกนางคว่ำ ท่าทีที่แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวมีต่อข้าวและอาหารดูจริงแท้อย่างมาก อากัปกิริยาก็สอดคล้องกับครอบครัวชาวนาทั่วไป ไม่เหมือนผ่านการฝึกฝนมาก่อน ภายหลังข้าค่อยๆ ถามถึงคดีคนหายสาบสูญ น้ำเสียงของพวกนางเจือแววขุ่นเคือง มีความไม่พอใจนายอำเภอหรือแม้กระทั่งเจ้าเมืองมากทีเดียว ดังนั้นวันนี้ช่วงหัวค่ำตอนตอบคำถามต่อหน้าเจ้าเมืองเฉิง พวกนางจึงอึกอักอ้ำอึ้ง ปกปิดบางอย่าง”
ลู่เหิงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ ด้วยนิสัยเกียจคร้านขี้ประจบของเฉิงโยวไห่ ชาวบ้านภายใต้ปกครองไม่พอใจเขาก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ลู่เหิงกลับสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง “เจ้าทำอาหารของพวกนางหกคว่ำ พวกนางยังยอมพูดความจริงกับเจ้าอีกหรือ”
“ใช่” หวังเหยียนชิงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าจงใจทำหกเอง เพราะอยากสร้างโอกาสให้พวกนางช่วยเหลือข้า”
ลู่เหิงเลือกปอยผมเส้นหนึ่งของหวังเหยียนชิงมาเล่น แม้มิได้เอ่ยอะไร แต่สายตาเขาสะท้อนความคิดออกมาอย่างชัดเจน
เพราะอะไร
ทุกครั้งเวลาเขาเผยแววตาเช่นนี้ออกมา นั่นหมายความว่าเขาจริงจังแล้ว หวังเหยียนชิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี จึงถาม “พี่รอง หากท่านเพิ่งรู้จักคนสองคน คนหนึ่งเคยช่วยเหลือท่าน คนหนึ่งท่านเคยช่วยเหลือเขา ท่านจะรู้สึกดีต่อใครมากกว่ากัน”
ลู่เหิงตอบโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่เคยช่วยเหลือข้า”
“ผิด” หวังเหยียนชิงส่ายหน้า “ในความเป็นจริง ท่านจะเอนเอียงไปทางคนที่ขอความช่วยเหลือจากท่านมากกว่า”
คำพูดนี้ฟังครั้งแรกประหลาดทีเดียว แต่ตรึกตรองอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ลู่เหิงซักถามอย่างหาได้ยาก “เพราะอะไรหรือ”
หวังเหยียนชิงแบมือตอบ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจเป็นเพราะสันดานเดิมของมนุษย์นั้นชั่วร้ายกระมัง ของที่ได้มาอย่างง่ายดายมักจะไม่ทะนุถนอม สิ่งที่ตนเองเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้กลับใส่ใจอย่างยิ่ง”
ลู่เหิงฟังคำพูดนี้แล้วกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาหลุบตา หัวเราะจนไหล่ไหวกระเพื่อมเล็กน้อย
“เจ้าพูดถูก”
ลู่เหิงเนื่องจากมักมีรอยยิ้มจอมปลอมประดับบนใบหน้าอยู่เสมอจึงถูกผู้คนเรียกขานอย่างลับๆ ว่า ‘เสือยิ้ม’ ยากนักที่เขาจะหัวเราะจากใจจริง แต่การหัวเราะจากใจจริงเพียงไม่กี่ครั้งในช่วงนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังเหยียนชิง
เขาหัวเราะพอแล้ว ส่วนลึกของดวงตาก็มีไอเย็นยะเยียบปกคลุมชั้นหนึ่ง คำพูดของหวังเหยียนชิงสรุปความรู้สึกในใจเขาได้อย่างแม่นยำ คนที่เคยมีบุญคุณต่อเขา ลู่เหิงยังคงระแวงอีกฝ่าย แต่หากเป็นคนที่เขารับกลับมาดูแลด้วยตนเอง ทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจลงไปไม่หยุดหย่อน กับคนผู้นี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็โกรธไม่ลง อีกฝ่ายจะแทรกซึมเข้ามาในชีวิตเขาด้วยความเร็วอันน่ากลัว
ตัวอย่างก็มีให้เห็นตรงหน้า
หวังเหยียนชิงพูดจบ พบว่าชายหนุ่มเงียบไปนาน จึงอดถามมิได้ “พี่รอง ท่านเป็นอะไรไป”
ลู่เหิงก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขากลับต้องให้ตัวการเป็นฝ่ายเตือนสติเขาว่าเกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว
เริ่มตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่าทีที่เขามีต่อหวังเหยียนชิงอันตรายถึงเพียงนี้
ลู่เหิงเก็บงำอารมณ์ความรู้สึก พูดทีเล่นทีจริงว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่ฟังคำพูดนี้ของชิงชิงแล้วทำให้ข้ารู้สึกอันตรายทีเดียว”
หวังเหยียนชิงจับต้นชนปลายไม่ถูก ถามอย่างแปลกใจ “เพราะเหตุใดเล่า”
“เจ้าความรู้สึกไวปานนี้ ขอเพียงเจ้าต้องการ อันที่จริงการทำให้บุรุษรู้สึกดีต่อเจ้าเป็นเรื่องง่ายดายมาก”
ดวงตาเขาทอยิ้ม ภายในนั้นเปี่ยมด้วยประกายระยิบระยับคล้ายวักน้ำขึ้นมาจากธารดารา หวังเหยียนชิงประดักประเดิดเล็กน้อย แค่นเสียงแผ่วเบาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “พี่รอง มีคนพูดถึงน้องสาวอย่างท่านที่ใดกัน แล้วเหตุใดข้าต้องทำอย่างนั้นด้วย”
“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ” ลู่เหิงรีบปลอบประโลม “ข้าเพียงแต่กลัวว่าจะมีคนชอบเจ้ามากเกินไป ทำให้เจ้าถูกเขาหลอก”
“ไม่มีทาง” หวังเหยียนชิงปฏิเสธอย่างหนักแน่น ในความดูแคลนยังเจือความหยิ่งทะนงมั่นใจอยู่เล็กน้อยด้วย “เรื่องที่บุรุษคิดมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง คำโกหกของพวกเขาไร้ชั้นเชิงเกินไป ข้าไม่มีทางถูกหลอกแน่”
“อย่างนั้นก็ประเสริฐ” ลู่เหิงพูดจบ ทำท่าถอนหายใจอย่างจริงจัง “แต่ข้ากลับเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว”
หวังเหยียนชิงคล้ายรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าชะงักเล็กน้อย เอ่ยถาม “เพราะเหตุใดเล่า”
ลู่เหิงกลับยิ้มมองนางโดยไม่ตอบอะไร เขาถาม “เจ้าใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ สืบอะไรมาได้บ้าง”