เขาเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยแสดงให้เห็นว่าต้องการหยุดเพียงเท่านี้ คุยต่อไม่ได้แล้ว หวังเหยียนชิงคล้อยตามคำพูดเขาแล้วเปลี่ยนประเด็น “พวกนางตำหนินายอำเภอและเจ้าเมือง หากมิใช่เพราะคนเหล่านี้บกพร่องต่อหน้าที่ พวกนางก็ไม่ถูกบีบคั้นจนถึงขั้นต้องบุกรุกที่ประทับ ยังมีอีกพวกนางบอกว่าก่อนที่ราชสำนักจะเกณฑ์ไพร่พลเคยมีคนหายตัวไปอย่างลึกลับ อีกทั้งในคืนวันหนึ่ง พวกนางได้ยินเสียงดังจากบนภูเขา ลักษณะคล้ายแผ่นดินไหว”
ลู่เหิงแววตากระตือรือร้น นี่เป็นเบาะแสที่สำคัญมาก เขาถาม “เป็นคนในหมู่บ้านพวกนางหรือที่หายตัวไป”
“ฟังจากคำพูดพวกนาง ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คนในหมู่บ้านของพวกนางเท่านั้น”
ลู่เหิงไปหยิบเอกสารบนโต๊ะ ตอนหัวค่ำองครักษ์เสื้อแพรนำเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องของเมืองเว่ยฮุยมาให้ ก่อนหวังเหยียนชิงจะกลับมา ลู่เหิงกำลังอ่านคดีคนหายในอดีต แต่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องมีมากเกินไป เขาพลิกหาอย่างไร้จุดหมาย ความคืบหน้าล่าช้าอย่างยิ่ง
ทว่าตอนนี้หวังเหยียนชิงบอกเบาะแสเรื่องเวลาที่สำคัญมากกับเขา…คือก่อนเกณฑ์ไพร่พล
หวังเหยียนชิงช่วยลู่เหิงหาเบาะแสจากในเอกสารด้วยเช่นกัน ทว่านางหาอยู่นานกลับไม่พบคดีที่มีเงื่อนไขสอดคล้องเลย นางโน้มตัวไปหาเขา “พี่รอง ทางท่านค้นพบอะไรบ้างหรือไม่”
ลู่เหิงไม่พูดไม่จา โยนม้วนเอกสารลงบนโต๊ะ ริมฝีปากกระตุกยิ้มที่ปราศจากความจริงใจ
เขาก็ไม่พบคดีคนหายที่น่าสงสัยเช่นกัน แต่นี่กลับเป็นจุดที่น่าสงสัยมากที่สุด
ตั้งแต่เดือนสิบสองปีที่แล้วเป็นต้นมา เมืองเว่ยฮุยก็ไม่มีคดีคนหายที่ค้างอยู่และคลี่คลายไม่ได้ การรักษาความปลอดภัยของที่นี่ดีถึงขั้นนี้เชียวหรือ
ทว่าลู่เหิงไม่ได้บอกหวังเหยียนชิง เขาปิดเอกสารพลางพูด “ในเมื่อหาไม่เจอก็ช่างเถอะ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบกลับไปนอนดีกว่า”
หวังเหยียนชิงลังเล “แต่มีเวลาแค่สามวัน…”
“ยังทัน” ลู่เหิงยื่นมือออกไปบีบคางนาง “มั่นใจในตัวพี่ชายเจ้าหน่อย ในเมื่อข้ากล้ารับปากก็ต้องมีความมั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้”
หวังเหยียนชิงสบายใจทันที นางมักจะเชื่อลู่เหิงโดยไม่มีข้อแม้ และผลลัพธ์ของทุกครั้งก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาควรค่าที่จะเชื่อถือ หวังเหยียนชิงถามอย่างลังเล “เช่นนั้นท่านก็จะนอนแล้วหรือ”
ลู่เหิงพยักหน้า ตอบช้าๆ “กลางดึกคนงามถามเช่นนี้ ข้าจะหักใจปฏิเสธได้อย่างไร”
หญิงสาวหน้าแดง ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “อย่าเอาแต่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ พรุ่งนี้ท่านจะไปหมู่บ้านเหอกู่หรือ”
ลู่เหิงยังคงพยักหน้า หวังเหยียนชิงรีบพูดทันที “ข้าขอไปด้วย”
ลู่เหิงถอนหายใจ “หมู่บ้านเหอกู่ตั้งอยู่บนภูเขา การเดินทางไปเหน็ดเหนื่อยมาก อีกสองวันระดูของเจ้าน่าจะมาแล้ว เวลาเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะทำอะไรโลดโผน”
รูม่านตาของหวังเหยียนชิงขยายกว้าง ตกตะลึงอย่างแท้จริง ก่อนจะหาเสียงของตนเองเจออีกครั้ง “ไม่เป็นไร ข้าอยากช่วยท่าน”
นางพูดจบ อดใจไม่อยู่จริงๆ จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยากจะบรรยาย “ท่านรู้ได้อย่างไร”
ระดูของหวังเหยียนชิงมาไม่สม่ำเสมอ แต่ครึ่งปีมานี้ค่อยๆ ดีขึ้นกว่าเดิมมากภายใต้การบำรุงรักษาด้วยยา ทว่าเวลาหน้าหลังยังคงคลาดเคลื่อนไปมา หวังเหยียนชิงเองยังไม่แน่ใจว่าจะมาเมื่อไร แล้วลู่เหิงรู้ได้อย่างไร
สีหน้าของลู่เหิงราบเรียบทีเดียว เหมือนกำลังคุยว่าพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นยามใดกระนั้น ตอบเหมือนมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด “ข้าจำวันที่ระดูของเจ้ามาในแต่ละครั้งตลอดครึ่งปีนี้ได้ อาศัยสิ่งนี้คาดการณ์ก็ไม่ยากสักเท่าไร”
ใบหน้าของหวังเหยียนชิงแข็งทื่อโดยสิ้นเชิง นางไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อสักนิด รีบลุกขึ้นเปิดประตู “พี่รอง ข้าขอตัวก่อน พรุ่งนี้รอข้าด้วย ท่านอย่าได้แอบออกไปเงียบๆ คนเดียวเล่า”
ลู่เหิงจนปัญญา นางเห็นเขาเป็นอะไร โจรอย่างนั้นหรือ
“ข้ารู้แล้ว” ลู่เหิงรับคำ “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเชื่อฟังข้า เช่นนั้นก็ระวังตัวหน่อย ตอนนี้อยู่ข้างนอก ไม่สะดวกจะต้มยา เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก อย่าให้อาการปวดท้องกำเริบขึ้นมาอีก”
ปีที่แล้วตอนหวังเหยียนชิงมีระดูยังปวดจนหมดสติไป หลังจากดื่มยามาตลอดครึ่งปี อาการดีขึ้นมากแล้ว แม้ช่วงหลายวันนั้นท้องยังคงปวดหน่วง แต่เปรียบเทียบกับตอนแรกแล้ว ความเจ็บปวดเช่นนี้แทบจะไม่น่าเอ่ยถึง
หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ วิ่งออกจากห้องของลู่เหิงเหมือนหนีอะไรบางอย่าง ลู่เหิงยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองนางหายเข้าไปในห้องของตนเอง ก่อนจะปิดประตูลงอย่างสงบ
ลู่เหิงไม่ได้โกหกหวังเหยียนชิง เขาตั้งใจจะนอนแล้วจริงๆ เอกสารพวกนี้อ่านแล้วไม่พบเบาะแสใดๆ ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาอีก มิสู้สะสมพละกำลังไว้ พรุ่งนี้ค่อยไปพบนายอำเภอที่ดูแลหมู่บ้านเหอกู่ผู้นั้นดีกว่า
ตอนนี้ลู่เหิงรู้สึกสนใจใคร่รู้ทีเดียว คนพวกนี้เล่นลูกไม้อะไรอยู่กันแน่