ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 57-58
ทุกคนต่างรู้ว่าลู่เหิงรับคดีใหม่มา ลู่เหิงจึงโยนหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในพระตำหนักชั่วคราวไปให้เฉินอิ๋นอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ส่วนตนเองนำกำลังจากไปอย่างเอิกเกริก
ตอนนี้เขารับพระบัญชาจากฮ่องเต้มาสืบคดี ใครขวางเขาก็คือขัดรับสั่ง ผู้อื่นเห็นแล้วรู้สึกขัดลูกตา แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไร
หวังเหยียนชิงเก็บสัมภาระห่อเล็กอย่างง่ายๆ ออกเดินทางไปพร้อมกับลู่เหิง หมู่บ้านเหอกู่ลักษณะเป็นดังชื่อ* ตั้งอยู่ในหุบเขาต่ำๆ ที่มีภูเขารายล้อมทั้งสี่ด้าน แม่น้ำขนาดใหญ่สายหนึ่งไหลผ่านบริเวณไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก พื้นที่ในหมู่บ้านอิงภูเขาติดแม่น้ำ ทิวทัศน์งดงาม แต่การเข้าออกหมู่บ้านล้วนต้องใช้เส้นทางบนภูเขา การสัญจรไม่สะดวก
ในขบวนมีแต่บุรุษ หวังเหยียนชิงไม่สะดวกจะขี่ม้าจึงเปลี่ยนมาเป็นนั่งเกี้ยว เคราะห์ดีที่เจ้าเมืองเฉิงก็อาศัยเกี้ยวแทนการก้าวเดินเช่นกัน หวังเหยียนชิงปะปนอยู่ในนั้นจึงไม่สะดุดตามากเกินไป นายอำเภอของอำเภอฉีรออยู่หน้าหมู่บ้านนานแล้ว พอเขาเห็นขบวนม้าและผู้คนเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ก็มิกล้าอยู่เฉย รีบวิ่งเข้าไปต้อนรับ “ผู้น้อยคารวะผู้บัญชาการลู่และเจ้าเมืองเฉิง”
คนหามเกี้ยววางเกี้ยวลง เจ้าเมืองเฉิงมุดออกมาจากเกี้ยว เขามองขุนเขารอบด้าน แม้จะไม่ต้องเดินเอง เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยไม่เบา
ลู่เหิงพลิกตัวลงจากอาชา ท่วงท่าคล่องแคล่วฉับไว ไม่เงอะงะงุ่มง่ามแม้แต่น้อย เปรียบเทียบกับเจ้าเมืองเฉิงซึ่งมีร่างท้วมข้างกายแล้วกลายเป็นภาพที่ตัดกันอย่างชัดเจน เจ้าเมืองเฉิงเดินเข้าไป พูดอย่างสอพลอ “ใต้เท้าลู่ร่างกายเบาหวิวประหนึ่งนกนางแอ่น แข็งแรงไม่ธรรมดา ผู้น้อยเลื่อมใส”
ลู่เหิงปรายตามองเฉิงโยวไห่แวบหนึ่ง คร้านจะสนใจ สายตาเขากวาดมองคนกลุ่มใหญ่เบื้องหน้า ถามว่า “ใครคือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเหอกู่”
ผู้ชราที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดีก้าวออกมา ประสานมืออย่างงกเงิ่น “ผู้น้อยหลี่หลิน คารวะผู้บัญชาการ”
ผู้ใหญ่บ้านอายุราวห้าสิบ ผมสีดอกเลา เอวเริ่มคดหลังเริ่มค่อม แต่เทียบกับคนในวัยเดียวกับเขา เขาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บและไม่ต้องเผชิญความลำบาก ใบหน้ามีเลือดฝาด นับว่าเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง
ลู่เหิงถาม “ครอบครัวหลิวซานกับหลิวโส่วฝูอยู่ในหมู่บ้านของเจ้าใช่หรือไม่”
ผู้ใหญ่บ้านรีบผงกศีรษะ “ขอรับ”
หลิวซานเป็นชื่อของสามีของหลิวต้าเหนียง หลิวโส่วฝูคือบุตรชายของพวกเขา ลู่เหิงพูด “นำทางไป ข้าจะไปตรวจดูบ้านพวกเขาหน่อย”
ผู้ใหญ่บ้านหรือจะกล้าปฏิเสธ รีบเดินนำลู่เหิง เจ้าเมืองเฉิงและนายอำเภอเถาอีหมิงไปยังบ้านของหลิวต้าเหนียง สายตาของทุกคนล้วนพุ่งไปที่ลู่เหิง ไม่มีใครสังเกตสตรีนางหนึ่งที่เดินลงมาจากเกี้ยวอีกหลัง นางรอให้พวกเจ้าเมืองเดินจากไปไกลแล้วจึงแฝงตัวไปกับกลุ่มคนที่มาชมความครึกครื้นและตามไปเงียบๆ
หลิวต้าเหนียงยังถูกขังอยู่ในพระตำหนักชั่วคราว ตอนนี้ที่บ้านไม่มีคน ผู้ใหญ่บ้านเปิดประตูเรือน ค้อมเอวเอ่ยกับลู่เหิง “ใต้เท้าลู่ นี่ก็คือบ้านของหลิวซานขอรับ”
ลู่เหิงก้าวเข้าไปในประตูไม้ฟืน กวาดตามองรอบด้านเงียบๆ ลานเรือนแม้จะไม่ใหญ่ แต่จัดเก็บอย่างสะอาดสะอ้าน มุมกำแพงวางจอบ เคียว และเครื่องมือทำนาอื่นๆ ไว้ กำแพงอีกด้านแขวนแหจับปลา ลู่เหิงสังเกตเห็นว่ากำแพงดูใหม่ จึงเอ่ยถาม “พวกเขาเคยซ่อมแซมที่นี่หรือ”
“ขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านตอบ “เมื่อก่อนบ้านของหลิวซานยากจนข้นแค้น ภายหลังแต่งลูกสะใภ้ที่มีความสามารถกลับมาคนหนึ่ง ตัวหลิวซานเองก็ขยันขันแข็ง ไม่มีงานในท้องนาก็ไปจับปลาในแม่น้ำ หาเงินให้ครอบครัว ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่จึงดีขึ้นตามลำดับ เมื่อสองสามปีก่อนพวกเขาเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งและซ่อมแซมกำแพง ต่อมาพวกเขาแต่งภรรยาให้บุตรชาย ใช้เงินที่มีจนหมด พวกเขายังคิดจะเก็บเงินอีกสองสามปีและสร้างบ้านใหม่ด้วย”
ลู่เหิงไม่เอ่ยอะไร เดินเข้าไปในบ้าน ก่อนออกจากบ้านมาแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประตูจึงคล้องกุญแจทองเหลืองไว้ ผู้ใหญ่บ้านถูมือพูดอย่างลำบากใจ “ใต้เท้าอย่าได้ขุ่นเคือง ข้าไม่มีกุญแจบ้านพวกเขา กุญแจนี้ข้าจึงเปิดไม่ได้”
ลู่เหิงหยิบรูกุญแจขึ้นมาดูปราดหนึ่งแล้วโยนทิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่งสัญญาณให้คนข้างหลังไขเปิด องครักษ์เสื้อแพรก้าวขึ้นมา หยิบเหล็กเส้นเส้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ หมุนไปมาในรูกุญแจไม่กี่ที กุญแจทองเหลืองก็เปิดออก
ผู้ใหญ่บ้านมองภาพนี้อย่างตะลึงงัน อ้าปากทว่าเอ่ยคำพูดไม่ออก องครักษ์เสื้อแพรเปิดประตูแล้ว ลู่เหิงปัดแขนเสื้ออย่างใจเย็น ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตู
กุญแจประเภทนี้ไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด เขาเห็นแล้วยังรู้สึกไม่น่าสนใจ ลู่เหิงเดินตัดตัวบ้านไปช้าๆ เขาเดินไปที่ใด กลุ่มคนขนาดใหญ่ข้างหลังก็ตามไปที่นั่น เจ้าเมืองเฉิงไม่รู้ลู่เหิงดูอะไรอยู่ คอยตามติดด้านข้างพลางพูด “ใต้เท้าลู่ นี่เป็นบ้านซอมซ่อของชาวบ้านทั่วไปหลังหนึ่ง ให้ท่านอยู่ในนี้ลำบากท่านโดยแท้ ท่านว่าควรไปจัดโต๊ะเลี้ยงสุราในตัวอำเภอ…”
ลู่เหิงขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บ้านซอมซ่อของชาวบ้านเช่นนี้ มิใช่อยู่ภายใต้การปกครองของใต้เท้าเฉิงหรือ”
เจ้าเมืองเฉิงหยุดชะงักทันใด เอ่ยคำพูดไม่ออก ลู่เหิงกวาดตามองผนังทั้งสี่ด้าน ตอนเดินผ่านห้องโถง เขาปาดมือไปบนโต๊ะหนึ่งทีอย่างไม่ตั้งใจ
บนโต๊ะปรากฏรอยฝุ่นเป็นทางทันใด เจ้าเมืองเฉิงกระอักกระอ่วน รีบตวาดผู้ใต้บังคับบัญชาของตน “ไม่เห็นหรือว่ามือของใต้เท้าลู่สกปรกแล้ว ยังไม่รีบยกน้ำร้อนมาให้ใต้เท้าอีก…”
ลู่เหิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดนิ้วมือจนสะอาดพลางพูด “เจ้าเมืองเฉิง ข้าหาได้สูงศักดิ์ถึงเพียงนั้นไม่ ท่านไม่ต้องยุ่งยาก นอกจากหลิวซานและหลิวโส่วฝูพ่อลูกแล้วยังมีผู้ใดประสบภัยอีกบ้าง”
เจ้าเมืองเฉิงงุนงง หันไปมองนายอำเภอของอำเภอฉี นายอำเภอมองผู้ใหญ่บ้านอีกที ผู้ใหญ่บ้านก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฉีกยิ้มแข็งทื่อ “ในหมู่บ้านมีทั้งหมดห้าสิบสองครัวเรือน แต่ละครัวเรือนส่งชายฉกรรจ์ออกมาสองคน คนทั้งหมดหนึ่งร้อยสองคนล้วนถูกสายน้ำพัดพาไปขอรับ”
ลู่เหิงถามทันที “แล้วอีกสองคนเล่า”
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มประดักประเดิด “บุตรชายของข้าสอบติดซิ่วไฉ ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาระดับอำเภอขอรับ”