ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 57-58
สอบติดซิ่วไฉก็นับว่ามีตำแหน่ง ต่อให้มิอาจเป็นขุนนางก็เพียงพอทำให้ครอบครัวได้รับยกเว้นจากการเกณฑ์ไพร่พลและเรียกเก็บภาษี ลู่เหิงพยักหน้านิดๆ “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง บริเวณที่เกิดเรื่องกับพวกเขาอยู่ที่ใด พาข้าไปดูหน่อย”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครเอ่ยอะไร ลู่เหิงก็ไม่เร่งรัด มองพวกเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เฝ้ารออย่างอดทน สุดท้ายเป็นเจ้าเมืองเฉิงที่รักษาหน้าไว้ไม่อยู่ ตวาดว่า “ไม่ได้ยินที่ใต้เท้าลู่พูดหรือ สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ใด!”
นายอำเภอเถาอีหมิงก้าวขึ้นมาประสานมือตอบ “เรียนผู้บัญชาการ แรงงานจากหมู่บ้านเหอกู่เสียชีวิตทั้งหมดระหว่างเดินทางไปยังตัวเมือง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาประสบภัยพิบัติที่ใด”
“อ้อ?” ลู่เหิงถาม “เช่นนั้นพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาถูกน้ำป่าพัดพาไป”
ในห้องเงียบสนิท ลู่เหิงมองเจ้าเมืองเฉิง ถามซ้ำช้าๆ “เจ้าเมืองเฉิง ท่านว่าอย่างไร”
เจ้าเมืองเฉิงสีหน้าเก้อกระดาก “อำเภอฉีรายงานมาเช่นนี้ ผู้น้อยก็ไม่ได้คิดมาก…เถาอีหมิง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เถาอีหมิงหลุบตาลง ชะงักครู่หนึ่งก่อนพูด “ผู้น้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ทางเมืองไม่ได้รับแจ้งว่าชาวบ้านจากหมู่บ้านเหอกู่เดินทางไปถึงแล้ว ช่วงเวลานั้นบนเขามักมีน้ำป่าไหลหลาก ผู้น้อยจึงคิดว่าพวกเขาน่าจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปขอรับ”
ลู่เหิงปรายตามองผู้ใหญ่บ้านอย่างเรียบเฉย “พื้นที่นี้ของพวกเจ้าเกิดน้ำป่าไหลหลากบ่อยๆ หรือ”
ผู้ใหญ่บ้านรับคำอึกอัก ผงกศีรษะนิดๆ
ลู่เหิงพูดต่อ “ในเมื่อพื้นที่นี้มีน้ำป่าไหลหลากบ่อยครั้ง คิดว่าผู้ใหญ่บ้านน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี รบกวนผู้ใหญ่บ้านนำทางที ข้าอยากเห็นบริเวณที่เกิดน้ำป่าไหลหลากบ่อยที่สุด”
เจ้าเมืองเฉิงลังเล “ใต้เท้าลู่ เส้นทางบนภูเขาอันตราย…”
ลู่เหิงขัดจังหวะคำพูดของเจ้าเมืองเฉิงเรียบๆ “หากท่านเจ้าเมืองคิดว่าเหนื่อยยาก จะรออยู่ที่นี่ก็ได้”
คำพูดที่เหลืออีกครึ่งของเจ้าเมืองเฉิงถูกเก็บไว้ในท้องทันที ลู่เหิงมีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าพวกเขา เป็นคนโปรดข้างกายฮ่องเต้ ทั้งยังปกครององครักษ์เสื้อแพร สำหรับขุนนางฝ่ายพลเรือนในท้องถิ่นอย่างพวกเขา มิต้องสงสัยเลยว่าลู่เหิงกุมอำนาจชี้ขาดเป็นตายอยู่ แค่คำพูดประโยคเดียวของลู่เหิงก็ทำให้พวกตนถูกปลดจากตำแหน่งหรือเลื่อนขั้นได้ เหล่าขุนนางไม่กล้าพูดมากอีก รีบออกไปเตรียมการ
ชาวบ้านที่มุงดูความครึกครื้นอยู่นอกเรือนเห็นใต้เท้าเหล่านั้นเข้าไปพูดคุยในเรือนครู่หนึ่ง หลังจากออกมาคนของทางการบ้างจูงม้า บ้างหามเกี้ยว ทำท่าเหมือนจะออกไปอีกครั้ง
พวกชาวบ้านถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้างในมีเรื่องอะไรกันแน่”
“ไม่รู้สิ สกุลหลิวคงจะไปก่อเรื่องอะไรเข้ากระมัง”
“ต้องก่อเรื่องใหญ่โตเพียงใดกัน ไฉนนายอำเภอจึงมาด้วย”
“ใช่แค่นายอำเภอที่ใดเล่า เห็นหรือไม่ นั่นคือใต้เท้าเจ้าเมืองของพวกเรา คนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั่น ได้ยินว่าเป็นขุนนางใหญ่จากนครหลวงเชียวนะ”
ฝูงชนที่มุงดูจุปากอุทาน ชั่วขณะหนึ่งเจ้าพูดคำข้าพูดคำ ดูครึกครื้นยิ่งนัก คนข้างหลังอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบียดมาข้างหน้าไม่หยุด หญิงชาวบ้านคนหนึ่งถูกเบียดจนซวนเซชนคนด้านข้าง พอยืนได้มั่นคงแล้ว นางก็ร้องด่า “เจ้าพวกนิสัยเสีย เบียดหาอะไรกัน!”
ตัวการเป็นเด็กโตกลุ่มหนึ่ง เด็กที่มีท่าทางเหมือนหัวโจกทำหน้าทะเล้นใส่หญิงชาวบ้าน ไม่นานก็ผลุบหายไป หญิงชาวบ้านบ่นกระปอดกระแปด หันกลับไปเห็นแม่นางคนหนึ่งจึงนิ่งงันไปทันใด พึมพำว่า “เมื่อครู่ข้าชนถูกเจ้าหรือไม่…ตายจริง ข้าขออภัย ต้องโทษเด็กกลุ่มนั้นที่ซุกซนเกินไป เจ้าเป็นสะใภ้บ้านใดหรือ ไฉนก่อนหน้านี้จึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”
หวังเหยียนชิงผงกศีรษะยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย “ข้าติดตามใต้เท้าทั้งหลายมาจากในตัวเมือง มิใช่คนที่นี่หรอก”
หญิงชาวบ้านส่งเสียงอ้อ สีหน้าไม่แปลกใจแม้แต่น้อย นางว่าอยู่แล้วเชียว ในหมู่บ้านพวกนางไม่มีคนที่งดงามปานนี้หรอก หากมิใช่ตอนนี้เป็นตอนกลางวันแสกๆ เมื่อครู่ยังเกือบคิดว่าตนเองเจอปีศาจสาวเข้าเสียแล้ว
ลู่เหิงเดินออกมาโดยมีกลุ่มคนรายล้อม ครั้นเห็นหวังเหยียนชิงก็เดินตรงเข้าไปหา “ชิงชิง…”
พอลู่เหิงเข้ามาใกล้ ชาวบ้านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นฝ่ายถอยไปข้างหลังเสียเองราวกับเป็นสัญชาตญาณเมื่อพบเจออันตราย มือของชายหนุ่มเพิ่งจะแตะตัวหวังเหยียนชิง นางก็อุทานเบาๆ ทันที ขมวดคิ้วกุมท้อง
มือของลู่เหิงชะงักกลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะประคองไหล่นาง เอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติ “เจ้าเป็นอะไรไป”
ลู่เหิงเบี่ยงตัวประคองนาง บดบังสายตาคนข้างหลังไว้ น้ำเสียงเขาห่วงใย แต่ดวงตากลับฉายแววงุนงงอย่างปิดไม่มิด
นางกำลังทำอะไร ฝีมือการแสดงละครแย่เกินไปหน่อยแล้วกระมัง
หวังเหยียนชิงขยิบตาให้เขาพลางพูด “ใต้เท้า จู่ๆ ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย…”
ลู่เหิงมองนางอย่างเงียบงัน ชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นี้เขายังคิดว่าระดูของนางมากะทันหันเสียอีก แต่บัดนี้เห็นสีหน้านางแล้วน่าจะไม่ใช่ เช่นนั้นก็ทำให้คนไม่เข้าใจมากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ไม่ได้นัดแนะล่วงหน้า ไฉนจู่ๆ นางจึงแสดงละครเช่นนี้เล่า
เคราะห์ดีที่ลู่เหิงเติบโตขึ้นมาข้างกายฮ่องเต้ เรื่องอื่นไม่กล้าพูด แต่ความสามารถในการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงและการคาดเดาจิตใจผู้อื่นของเขานับว่าไม่แย่ เขาจ้องตาหวังเหยียนชิงเหมือนจะเข้าใจเจตนาของนางแล้ว “ในเมื่อเจ้าไม่สบาย เช่นนั้นก็อย่าขึ้นเขาเลย มิสู้พักอยู่ในหมู่บ้านก่อนดีหรือไม่”
หวังเหยียนชิงโล่งอก นางยังกังวลว่าลู่เหิงจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนาง เคราะห์ดีที่เขาตอบสนองได้ทัน นางผงกศีรษะด้วยความละอาย “ได้ สร้างความยุ่งยากให้ใต้เท้าแล้ว”
เจ้าเมืองเฉิงได้ยินความเคลื่อนไหวทางนี้จึงหาจังหวะถาม “ใต้เท้าลู่ ไม่ทราบว่าท่านนี้คือ…”
ลู่เหิงเอ่ยปาก “นางเป็น…”
ไม่รอให้ชายหนุ่มพูดจบ หวังเหยียนชิงรีบตอบเสียก่อน “สาวใช้”
ลู่เหิงชะงักเล็กน้อย กลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป ยิ้มพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นสาวใช้ของข้า วันนี้ติดตามข้ามาทำคดี ไม่คิดว่าร่างกายจะไม่สบายกะทันหัน ไม่ทราบว่าบ้านของใครสะดวกให้นางพักผ่อนได้บ้าง”
ใต้เท้าลู่เอ่ยปากแล้ว คนที่อยู่ ณ ที่นั้นมีหรือจะกล้าไม่ให้เกียรติ ทุกคนแย่งกันตอบรับ เข้าสู่ช่วงเวลาของการเดาใจแล้ว ลู่เหิงมองคนเหล่านี้ ลอบคาดเดาในใจว่าบ้านใดเป็นบ้านที่หวังเหยียนชิงอยากจะไป สุดท้ายเขาหยิกต้นแขนด้านในของหวังเหยียนชิงคล้ายต้องการลงโทษ “เช่นนั้นก็รบกวนผู้ใหญ่บ้านแล้ว”