ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 57-58
ผู้ใหญ่บ้านกับเฉียนซื่อภาคภูมิใจในตัวบุตรชายผู้เป็นซิ่วไฉมาก แม้จะสอบไม่ติดอันดับหลายครั้ง แต่ปีนี้จะต้องสอบติดแน่นอน กระนั้นสำหรับอู๋ซื่อแล้ว นางกลับมองออกนานแล้วว่าหลี่ฉีมิได้มีหัวด้านการเล่าเรียน ชีวิตนี้ได้เป็นซิ่วไฉนับว่าสูงที่สุดแล้ว ถึงจะสอบต่อไปก็ไม่มีทางสอบติดขุนนาง แต่หลี่ฉีกลับลำพองตนยิ่งนัก ไม่ยอมกลับบ้านมาทำนาและไม่ยอมหางานทำในตัวเมือง เอาแต่ท่องกลอนคร่ำครึพวกนั้นทั้งวี่วัน อู๋ซื่อรู้สึกไม่พอใจสามีนานแล้ว
หวังเหยียนชิงยิ้มน้อยๆ รับฟัง ซักถามชวนคุยเป็นครั้งคราว แต่ไม่แสดงความเห็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลี่ พูดอย่างนี้อาจฟังดูไม่ดีนัก แต่การร่วมกันนินทาผู้อื่นเป็นวิธีกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าสองคนได้ดีที่สุด ต่อให้หวังเหยียนชิงมิได้พูดต่อ อู๋ซื่อก็รู้สึกสนิทสนมกับนางอย่างรวดเร็ว
หวังเหยียนชิงใคร่ครวญว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว จึงพูด “เหนียงจื่ออย่าร้อนใจไปเลย หลี่ซิ่วไฉมีตำแหน่งติดตัว ชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง อีกอย่างโชคดีที่เขามีตำแหน่ง หาไม่แล้วครั้งนี้บ้านของพวกท่านก็ต้องถูกเกณฑ์ไพร่พลไปใช้แรงงานด้วย ไม่แน่หลี่ฉีกับผู้ใหญ่บ้านอาจจะไม่ได้กลับมา”
อู๋ซื่อฟังถึงตรงนี้แล้วถอนหายใจ “ก็นั่นน่ะสิ นับว่าได้ลาภจากคราวเคราะห์กระมัง”
“เช่นนี้จะเรียกว่าได้ลาภจากคราวเคราะห์ได้อย่างไร” หวังเหยียนชิงพูดยิ้มๆ “นี่คือความบังเอิญที่ถูกลิขิตไว้แล้วต่างหาก”
หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นว่าอู๋ซื่อเหยียดปากเล็กน้อยจึงหยิบพัดขึ้นมาโบกช้าๆ
“ก็จริง หลี่ฉีเรื่องอื่นไม่พูดถึง แต่เขามักจะโชคดีที่สุดเสมอ”
ฟังจากน้ำเสียงของอู๋ซื่อ ดูเหมือนจะไม่พอใจสามีและบ้านสามีพอสมควร หวังเหยียนชิงกลอกตาเล็กน้อย ชำเลืองมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง เห็นว่าเฉียนซื่อพาหลานชายออกไปเล่นแล้วจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นหม่นหมองกลัดกลุ้ม ทอดถอนใจอย่างเจ็บปวด “เรื่องราวต่างๆ ในโลกก็มักไม่มีเหตุผลเช่นนี้เสมอ คนที่มีเงินก็มั่งคั่งร่ำรวยทุกรุ่น ส่วนคนที่โชคร้ายกลับโชคร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ อู๋เหนียงจื่อ สามีของท่านมีตำแหน่งติดตัว ทั้งยังมีบุตรชายที่ว่าง่ายเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ชีวิตต่อจากนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องใดแล้ว หากเป็นสะใภ้บ้านอื่น ทั้งต้องจ่ายภาษี ครอบครัวยังสูญเสียบุรุษไป วันข้างหน้าจะหาเลี้ยงปากท้องอย่างไร”
หวังเหยียนชิงบ่นพล่ามยืดยาว แต่หางตากลับจับอยู่ที่อู๋ซื่อตลอดเวลา อู๋ซื่อฟังคำพูดเหล่านี้แล้วหลุบตาลง เม้มปากโดยไม่รู้ตัว
หวังเหยียนชิงแยกแยะได้ในทันที อู๋ซื่อกำลังรู้สึกละอาย ความละอายใจเป็นอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งเท่านั้น เมื่อคนคนหนึ่งรู้สึกละอายย่อมมีความเป็นไปได้สูงที่จะลงโทษตนเองด้วยการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแต่เป็นโทษต่อตนเอง
หวังเหยียนชิงใช้ประโยชน์จากความละอายใจของอู๋ซื่ออย่างแนบเนียน “แต่เคราะห์ดีที่พวกนางได้รับเงินจำนวนหนึ่งจากที่ว่าการอำเภอ แม้จะสูญเสียเสาหลักที่สำคัญที่สุดของครอบครัวไปสองคน แต่ถ้าในมือมีเงิน มากน้อยอย่างไรก็สามารถต่อชีวิตได้อีกหลายปี เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเงินก้อนนี้หมดไป พวกนางจะทำอย่างไรต่อ”
อู๋ซื่อก้มหน้ามิได้ตอบคำ หวังเหยียนชิงกุมมือนาง ยิ้มแล้วพูด “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นความโชคดีของพวกนางที่ได้พบผู้ใหญ่บ้านที่ดี ได้ยินว่าครั้งนี้บ้านของหลิวต้าเหนียงไปเรียกร้องความเป็นธรรมยังที่ว่าการอำเภอหลายครั้ง แต่ไม่มีคนสนใจ อีกทั้งพวกนางยังทำให้นายอำเภอโมโหจนเกือบจะถูกลงโทษ ยังคงเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ช่วยออกหน้า เรียกร้องเอาเงินทำศพมาให้ชาวบ้านได้ ดีร้ายอย่างไรก็ช่วยให้แม่ม่ายและเด็กกำพร้าเหล่านี้มีเงินประทังชีวิต ผู้ใหญ่บ้านจิตใจดีมีเมตตา ปรองดองเป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน ดวงวิญญาณในยมโลกของพวกบุรุษที่ตายเพราะน้ำป่าหากรู้เข้าจะต้องซาบซึ้งในน้ำใจของผู้ใหญ่บ้านแน่นอน บุตรของท่านมาเกิดในครอบครัวเช่นนี้ นับเป็นวาสนาจริงๆ”
“เกิดในบ้านพวกเขานับเป็นวาสนาอันใด!” อู๋ซื่อพูดอย่างโมโห นางสูดหายใจลึก ก้มหน้าเอ่ย “ขออภัย ข้าเสียกิริยาแล้ว”
“ท่านเป็นอะไรไป” หวังเหยียนชิงมองอู๋ซื่ออย่างเป็นห่วง “ท่านวางใจ ข้าก็เป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติผู้อื่นเหมือนกัน เข้าใจความขมขื่นเหล่านี้ดี พ่อแม่สามีของท่านสร้างความลำบากใจให้ท่านใช่หรือไม่”
คำพูดเหล่านี้เก็บอยู่ในใจอู๋ซื่อนานแล้ว วันนี้ไม่รู้เหตุใดนางจึงบังเกิดความหุนหัน อาศัยอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับนี้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดช่วงที่ผ่านมาออกมา “ไม่ถึงขั้นสร้างความลำบากใจอะไรหรอก ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านจะอย่างไรก็รักหน้าตา แต่พวกเขาไม่เคยเห็นข้าเป็นคนในครอบครัวเลยต่างหาก มีของดีอะไรก็มอบให้เจิ้งเจ๋อโดยไม่ผ่านข้า ทั้งยังกำชับเจิ้งเจ๋อไม่ให้บอกข้าอีก เพ้ย! ใครอยากได้ของของพวกเขากัน”
เมื่ออารมณ์หาช่องทางปลดปล่อยเจอ คำพูดต่อจากนั้นก็ยากจะสกัดกั้นอีกต่อไป หวังเหยียนชิงทำหน้าเหลือเชื่อ “จริงหรือ ข้าเห็นผู้ใหญ่บ้านเป็นคนเถรตรงจริงใจ เอาการเอางาน และมีความรับผิดชอบ ไท่ไท่ผู้เฒ่าก็เป็นคนตรงไปตรงมา จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ลับหลังท่านได้อย่างไร”
“พวกเขาเสแสร้งเก่งนัก” อู๋ซื่อเห็นหวังเหยียนชิงไม่เชื่อ ร้อนใจอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง คำพูดนินทาพ่อแม่สามีจึงพรั่งพรูออกมาประหนึ่งเทเมล็ดถั่ว “แม่นางหวัง เรื่องนี้ข้าเล่าให้ท่านฟังคนเดียวเท่านั้น ท่านอย่าเห็นว่าพ่อแม่สามีข้าภายนอกทำตัวเหมือนพระโพธิสัตว์ แต่ความจริงเงินค่าทำศพที่ทางอำเภอแจกจ่ายให้ชาวบ้านถูกพวกเขายักยอกไปก้อนโตเชียวล่ะ”
หวังเหยียนชิงปิดปากอย่างตื่นตระหนก ทางหนึ่งคิดว่านางแสดงละครมากเกินไปหรือไม่ ทางหนึ่งถามต่อด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ”
“มีจริงๆ” อู๋ซื่อว่า “แม่สามีข้าตระหนี่ถี่เหนียวถึงเพียงนั้น หมู่นี้จู่ๆ กลับยอมควักเงินซื้อเนื้อมาทำกับข้าว ข้าไม่ระวังทำชามแตก นางกลับไม่ได้อาละวาด บอกว่าแตกก็เปลี่ยนชุดใหม่เสีย สองวันก่อนข้ายังเห็นนางแอบบอกเจิ้งเจ๋อว่าต่อไปเงินทองในบ้านล้วนเป็นของเขา กำชับเจิ้งเจ๋อซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามบอกข้า”
อู๋ซื่อเล่าพลางเหลือกตาขาว แค่นเสียงพูด “หากมิใช่ว่าได้ลาภลอย ยังจะเป็นอะไรได้อีก”
ขอเพียงอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต่อให้ระมัดระวังเพียงใดก็เลี่ยงมิได้ที่จะเผยพิรุธ อีกอย่างเรื่องของการมีเงินนี้ ต่อให้ปากไม่พูด ความจริงก็สะท้อนออกมาผ่านการกระทำและท่าทีอยู่แล้ว
อู๋ซื่อพบว่าหมู่นี้พ่อแม่สามีดูเหมือนจะมีเงินเพิ่มขึ้นก้อนโต แต่บ้านพวกเขาไม่ได้มีรายรับอะไร สิ่งเดียวที่เป็นเรื่องคาดไม่ถึงก็คือเร็วๆ นี้คนในหมู่บ้านตายไปจำนวนมาก หากมิใช่ทุจริตยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ตาย ยังจะเป็นอะไรได้อีก