ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 57-58
หวังเหยียนชิงพลันกระจ่างแจ้ง ช่วงนี้บ้านของผู้ใหญ่บ้านร่ำรวยขึ้น พอคิดจะปิดบังลูกสะใภ้ ไม่คิดว่ากลับถูกอู๋ซื่อมาแอบได้ยินเข้า หากเป็นเช่นนี้การแสดงออกของแม่สามีกับลูกสะใภ้เมื่อครู่ก็สามารถเข้าใจได้โดยสิ้นเชิง
อู๋ซื่ออึดอัดอยู่ในใจ จงใจโอ้อวดต่อหน้าผู้อื่นว่าบ้านเดิมของตนร่ำรวย แต่เฉียนซื่อรู้ว่าตอนนี้บ้านตนมีเงินเก็บอยู่เท่าไร จึงดูแคลนสมบัติของบ้านเดิมที่อู๋ซื่อภูมิใจนักหนา มุมปากของเฉียนซื่อกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เพราะนางคิดว่าตนเองมีเงินเหนือกว่าอู๋ซื่อ แต่ไม่อยากจะเปิดโปง ดังนั้นจึงลอบหัวเราะ
ตอนนี้หวังเหยียนชิงได้เบาะแสที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านได้ลาภก้อนโตที่มิอาจบอกผู้ใดได้ อีกทั้งเงินจำนวนนี้ได้มาอย่างไรไม่รู้ แต่แน่ใจได้ว่าจำนวนต้องไม่น้อยแน่ๆ อย่างน้อยก็มากกว่ารายรับของชาวบ้านทั่วไปมาก หวังเหยียนชิงครุ่นคิดและสอบถามอีกเรื่องหนึ่งอย่างช้าๆ “ข้าไม่รู้เลยว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย ผู้อาวุโสทั้งสองท่านดูไม่เหมือนคนประเภทนั้น ข้าได้ยินว่าละแวกใกล้เคียงมีคนหายสาบสูญ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าครอบครัวของคนที่หายไปไหว้วานผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยตามหาคนและมอบเงินให้เป็นค่าตอบแทน”
อู๋ซื่อแค่นเสียงอย่างไม่เห็นด้วย “คนที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียวหรือเป็นพ่อม่ายก็คืออันธพาลว่างงาน บ้านพวกเขาไม่มีคนอื่นแล้ว หายตัวไปก็ไม่มีใครคิดถึง แล้วใครจะยอมควักเงินตามหาพวกเขาเล่า”
หวังเหยียนชิงตกใจ “ล้วนเป็นคนที่อาศัยอยู่คนเดียว พ่อม่าย ผู้ชรา และคนอ่อนแอทั้งนั้นเลยหรือ ตายจริง เมื่อครู่ข้าเห็นเจิ้งเจ๋อดึงไท่ไท่ผู้เฒ่าวิ่งออกไป พวกเขาสองคนหนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์ อยู่ข้างนอกคงไม่เกิดอะไรขึ้นกระมัง”
อู๋ซื่อฟังแล้วก็เป็นกังวล นางลุกขึ้นมองออกไปข้างนอก “น่าจะไม่เป็นไรกระมัง ไม่เคยได้ยินว่าบ้านใดมีเด็กหรือสตรีหายตัวไป”
ครั้นเรื่องเกี่ยวกับบุตรชายของตนเอง อู๋ซื่อก็นั่งไม่ติด เอ่ยอย่างร้อนใจ “แม่นาง ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะออกไปตามเจิ้งเจ๋อ ขอตัวสักครู่”
หวังเหยียนชิงรีบบอกว่า “ไม่เป็นไร” แล้วเร่งให้อู๋ซื่อรีบไป
พออู๋ซื่อออกไปแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงหวังเหยียนชิงคนเดียว นางกวาดตามองไปนอกหน้าต่างสองหน ก่อนลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ แล้วรื้อดูของภายในห้อง
นางค้นหาบริเวณที่อาจซุกซ่อนสิ่งของไว้อย่างเบามือ จากนั้นก็วางกลับลงที่เดิมอย่างระวัง เนื่องจากฝึกยุทธ์มาหลายปี หูของนางจึงไวกว่าคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าสับสนลอยมาจากข้างนอก นางก็วางข้าวของกลับคืนที่เดิมทันที นั่งลงตามเดิมและหยิบพัดขึ้นมาอย่างสุขุม
เพิ่งจะโบกพัดได้สองที เสียงของอู๋ซื่อก็ดังขึ้นนอกหน้าต่าง “บอกเจ้าตั้งกี่หนแล้วว่าอย่าไปริมแม่น้ำ ในแม่น้ำมีปีศาจ ระวังเถอะ เจ้าจะถูกปีศาจลากลงไปกิน!”
เฉียนซื่อแผดเสียงแหลมทันใด “เจ้าก็พูดให้มันดีๆ สิ จะดุเด็กด้วยเหตุใดกัน”
หวังเหยียนชิงฟังแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้เถียงกัน แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ
หวังเหยียนชิง ‘พักผ่อน’ อยู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ใกล้เที่ยงวันแล้ว คนที่ออกไปยังไม่กลับมา หวังเหยียนชิงจึงได้แต่กินอาหารที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน เฉียนซื่อและอู๋ซื่อต้อนรับหวังเหยียนชิงอย่างกระตือรือร้น หลังกินข้าวเสร็จหวังเหยียนชิงเสนอตัวช่วยเหลือ แต่ถูกเฉียนซื่อห้ามไว้ “แม่นางเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ จะให้ท่านทำงานพวกนี้ได้อย่างไร ท่านนั่งพักอยู่ในห้องโถงก็พอ”
อู๋ซื่อพูดเช่นกัน “นั่นสิ แม่นางหวัง ท่านร่างกายไม่สบาย อย่าโดนน้ำเลย ข้าทำงานพวกนี้จนชินแล้ว ประเดี๋ยวก็เสร็จเรียบร้อย”
หวังเหยียนชิงไม่ดึงดันอีก ตอบว่า “ได้ เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”
อู๋ซื่อล้างชามเช็ดโต๊ะอยู่ข้างนอก เฉียนซื่ออุ้มหลานเข้าไปนอนในห้อง หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง พิงขอบหน้าต่างพลางโบกพัดช้าๆ นางมองแสงแดดข้างนอกที่สว่างเจิดจ้าจนแยงตา ใจอดคิดมิได้ว่าตอนนี้พวกพี่รองอยู่ที่ใดหนอ
เดินทางเหน็ดเหนื่อยอยู่ข้างนอกภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตอนเที่ยงพวกเขาจะกินอาหารกันอย่างไร
เฉียนซื่อกล่อมหลานให้นอนกลางวัน แต่เด็กห้าขวบมีพลังล้นเหลือกว่าคนสูงวัยมาก สุดท้ายเฉียนซื่อหลับไปแล้ว ดวงตาของหลี่เจิ้งเจ๋อยังคงกลอกไปมา หลี่เจิ้งเจ๋อคลานออกจากอ้อมอกของผู้เป็นย่าอย่างเบามือเบาเท้า ลงพื้นและสวมรองเท้าวิ่งเตาะแตะออกมาข้างนอก
ดูจากท่าทางเห็นชัดว่าทำเช่นนี้เป็นประจำ
อู๋ซื่อเก็บกวาดเสร็จ เห็นบุตรชายนั่งยองๆ เล่นคนเดียวอยู่มุมหนึ่งก็รีบไล่เขากลับไปนอน หวังเหยียนชิงพูด “อู๋เหนียงจื่อ ท่านรีบไปพักผ่อนเถอะ ข้านอนไม่หลับ อยู่ตรงนี้ช่วยดูเขาได้พอดี”
อู๋ซื่อลังเลเล็กน้อย หวังเหยียนชิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยสำทับว่า “พอดีข้าเองก็ชอบเด็กมาก อยากรับไอมงคลเสียหน่อย”
ชาวบ้านมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง สตรีที่ยังไม่มีบุตรหากได้อุ้มเด็กชายบ่อยๆ วันข้างหน้าจะสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ อู๋ซื่อคาดเดาฐานะของหวังเหยียนชิงได้ตั้งแต่แรกแล้ว ฟังแล้วจึงไม่กังขาแต่อย่างใด เพียงกลับห้องไปนอนกลางวัน
นางกับหวังเหยียนชิงไม่เหมือนกัน นางตื่นแต่เช้าขึ้นมาเก็บกวาดบ้านเรือน ปรนนิบัติพ่อแม่สามี เมื่อครู่ทั้งต้องทำกับข้าวและทำความสะอาดครัว กว่าช่วงเช้าจะผ่านพ้นไปร่างกายก็เหนื่อยล้า
หลี่เจิ้งเจ๋อนั่งยองๆ เล่นก้อนหินอยู่ใต้ชายคา หวังเหยียนชิงพิงหน้าต่าง ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พูด “เจ้าทำเช่นนี้ยิงไม่โดนหรอก”
หลี่เจิ้งเจ๋อปรายตามองหวังเหยียนชิงแวบหนึ่ง แต่ไม่สนใจนาง
หวังเหยียนชิงหยิบเมล็ดถั่วดำจากบนโต๊ะดีดออกไปเบาๆ กระแทกถูกก้อนหินของหลี่เจิ้งเจ๋ออย่างแม่นยำ
หลี่เจิ้งเจ๋อหันกลับไปมองนางอีกครั้ง ทำแก้มป่องพูด “แค่นี้มีอะไรร้ายกาจเล่า ข้าก็ทำได้”
หวังเหยียนชิงพยักหน้า “ดี เช่นนั้นพวกเรามาประลองกันว่าใครดีดแม่นกว่า”
หวังเหยียนชิงเท้าคางด้วยมือข้างเดียว รังแกเด็กน้อยอย่างสบายใจ ผลลัพธ์ไม่เหนือความคาดหมายสักนิด หลี่เจิ้งเจ๋อเอาชนะนางไม่ได้โดยสิ้นเชิง ไม่นานเขาก็เลื่อมใสหวังเหยียนชิงอย่างสุดจิตสุดใจ ขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ พลางถาม “ท่านทำได้อย่างไรกัน”
หวังเหยียนชิงถามอย่างใจเย็น “อยากหัดหรือไม่”
หลี่เจิ้งเจ๋อออกแรงพยักหน้า หวังเหยียนชิงพูด “อยากหัดก็ได้ แต่เจ้าต้องจ่ายค่าวิชาก่อน”
“ค่าวิชา?”
“ก็คือเงินที่ใช้คารวะอาจารย์” หวังเหยียนชิงว่า “ข้าสอนวิชาให้เจ้า เจ้าก็ต้องมอบสิ่งที่สำคัญที่สุดของตนเองให้กับข้า”
หลี่เจิ้งเจ๋อในวัยเพียงห้าขวบได้รู้จักความคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนเป็นครั้งแรก เขาขบคิดอย่างยุ่งยากใจก่อนพูด “ท่านรอประเดี๋ยว ข้าจะไปเอาถั่วเคลือบน้ำตาลของข้ามาให้ ท่านห้ามสอนผู้อื่นนะ!”
หลี่เจิ้งเจ๋อพูดพลางวิ่งออกไปข้างนอก หวังเหยียนชิงคิดในใจ ถั่วเคลือบน้ำตาลไฉนจึงต้องออกไปเอาข้างนอกด้วย นางเกรงว่าเขาเป็นเด็กคนเดียวออกไปข้างนอกจะเกิดเรื่องอะไรจึงรีบตามไป
หลี่เจิ้งเจ๋อวิ่งไปจนถึงริมแม่น้ำ เขานั่งยองๆ ข้างต้นหลิวต้นหนึ่งและออกแรงขุดเนินดิน หวังเหยียนชิงหยุดยืนข้างหลังเขาอย่างใจเย็น เฝ้ามองการกระทำของเด็กน้อยอย่างอดทน
หลี่เจิ้งเจ๋อขุดหลุมหลายหลุม ในที่สุดก็หา ‘ขุมสมบัติ’ ของตนพบ เขาขุดก้อนหินหลายก้อนออกมาจากในดิน เลือกก้อนใหญ่ที่สุดยื่นให้หวังเหยียนชิง “นี่คือของล้ำค่าที่สุดของข้า ข้าหาในแม่น้ำตั้งนานกว่าจะพบ ข้าจะมอบของสิ่งนี้ให้ท่าน แต่ท่านต้องสอนข้าดีดก้อนหินนะ”
หวังเหยียนชิงรับก้อนหินที่เปียกชื้นอย่างเห็นได้ชัดมาพิจารณาดู อมยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้”
จิตใจของเด็กบริสุทธิ์และจริงใจ นางบอกว่าต้องการค่าวิชา เขาก็ขุดของที่สำคัญที่สุดของเขาออกมามอบให้หวังเหยียนชิง หวังเหยียนชิงจึงทำตามสัญญา สอนวิธีการดีดก้อนหินให้เขา
หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวริมแม่น้ำโดยไม่สนใจดินบนพื้น แข่งกับหลี่เจิ้งเจ๋อว่าก้อนหินของใครจะดีดได้แม่นกว่ากัน ลู่เหิงเดินทางกลับมาตามแนวชายฝั่ง ภาพแรกที่เห็นก็คือภาพนี้
เจ้าเมืองเฉิงเหน็ดเหนื่อยจนลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้า เขาเห็นรางๆ ว่าใต้เงาต้นหลิวข้างหน้ามีคนอยู่จึงถาม “นั่นใครน่ะ”
ผู้ติดตามหรี่ตามอง “ดูเหมือนจะเป็นสตรีนางหนึ่งกับเด็กน้อยคนหนึ่งขอรับ กำลังเล่นก้อนหินกัน”
เจ้าเมืองเฉิงฟังแล้วประหลาดใจทีเดียว “อากาศร้อนมากถึงเพียงนี้ เด็กไม่รู้เรื่องก็แล้วไปเถอะ ผู้ใหญ่กลับพลอยเล่นไปกับเขาด้วย”
ผู้ติดตามเผยสีหน้ายากจะบรรยายและมิอาจชี้แจงให้กระจ่าง เพียงปรายตามองลู่เหิงอย่างคลุมเครือ “นั่นดูเหมือนจะเป็นสตรีที่ใต้เท้าลู่พามาขอรับ”
เจ้าเมืองเฉิงชะงัก นิ่งงันชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ “ฮ่าๆๆ ลู่ฮูหยินช่างสดใสไร้เดียงสา มีจิตใจบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยโดยแท้”
เจ้าเมืองเฉิงกลัวลู่เหิงจะโมโหจึงจงใจพูดถึงฐานะของหวังเหยียนชิงอย่างเกินจริง สตรีผู้นี้บอกว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่ลู่เหิงออกมาทำคดีก็ยังไม่ลืมพานางมาด้วย เห็นได้ว่าเป็นที่รักใคร่อย่างมาก เจ้าเมืองเฉิงให้เกียรติลู่เหิง จึงเรียกนางอย่างยกย่องว่า ‘ฮูหยิน’ ได้แต่หวังว่าใต้เท้าลู่จะเห็นแก่ที่เขาเชิดชูสตรีผู้นี้ อย่าได้ถือสาหาความเขา
ลู่เหิงมองภูเขาสีครามกับต้นหลิวสีเขียวเบื้องหน้า แม่น้ำสีเงินระยิบระยับ ตลอดจนหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงยาวสีอ่อนแต่กลับนั่งลงบนพื้นโดยไม่กลัวสกปรกผู้นั้นคล้ายไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้าเมืองเฉิง เขายิ้มเอ่ย “บริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยจริงๆ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.