ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 59-60
บทที่ 59
หวังเหยียนชิงคลับคล้ายได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นางหันกลับไปก็เห็นขบวนผู้คนและอาชามุ่งหน้ามาตามริมฝั่งแม่น้ำ เป็นคณะของลู่เหิงที่เข้าไปตรวจดูสภาพพื้นที่ในป่าเขาก่อนหน้านี้ หญิงสาวรีบวางก้อนหินในมือ พูดกับหลี่เจิ้งเจ๋อ “คนที่ข้ารอกลับมาแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
หลี่เจิ้งเจ๋อเห็นคนกลุ่มใหญ่จึงเก็บก้อนหินด้วยความหวาดกลัวและวิ่งปรู๊ดจากไป หวังเหยียนชิงลุกขึ้น สังเกตเห็นโดยบังเอิญว่าชายกระโปรงเปื้อนดิน นางรู้สึกประดักประเดิด รีบปัดดินออกเงียบๆ
เคราะห์ดีที่คนส่วนใหญ่มิได้สนใจนาง คนของทางการห้อมล้อมเจ้าเมืองและนายอำเภอเดินผ่านเงาต้นหลิวไป ตรงเข้าไปในหมู่บ้าน มีเพียงลู่เหิงที่ออกจากขบวนเดินตรงมาหานาง
ลู่เหิงจูงม้า เดินย่ำแสงอาทิตย์เจิดจ้าในฤดูคิมหันต์มาหยุดใต้กิ่งหลิว เขากวาดตามองหวังเหยียนชิงพลางยิ้มถาม “เจ้าทำอะไรอยู่”
กระโปรงของหวังเหยียนชิงยับยุ่งเล็กน้อย เนื่องจากนั่งอยู่ข้างนอกนาน จอนผมจึงมีเหงื่อ ผิวขาวปานหิมะซับสีแดงเรื่อ หวังเหยียนชิงยกมือขึ้นรวบปอยผมตรงข้างแก้ม ตอบเขา “ไม่มีอะไร”
มือของนางกำลังจะแตะแก้ม แต่กลับถูกลู่เหิงคว้าไว้ ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา บรรจงเช็ดคราบดินบนนิ้วมือนาง “มองข้ามแม่น้ำมาก็เห็นเจ้านั่งเล่นดินอยู่ตรงนี้ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
“มิใช่เล่นดินเสียหน่อย” หวังเหยียนชิงแย้งอย่างขึงขัง “ข้ากำลังถ่ายทอดวิธีการอาศัยสิ่งเล็กคาดการณ์สิ่งใหญ่ และวิธีจัดแถวตั้งค่ายต่างหาก”
ลู่เหิงฟังแล้วกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ชิงชิงมีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ วิธีการล้ำเลิศเช่นนี้ เหตุใดไม่สอนข้า กลับเอาไปถ่ายทอดให้คนนอกก่อน”
หวังเหยียนชิงอุทานเบาๆ “ท่านอย่าหัดดีดก้อนหินเลยดีกว่า ผู้อื่นมาเห็นเข้าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ขุนนางที่น่าเกรงขามเอาได้”
ลู่เหิงหัวเราะออกมาในที่สุด แสงแดดเจิดจ้าในเดือนเจ็ดทำให้คนตาลาย เขาหัวเราะเบาๆ เรือนร่างสูงโปร่งเหยียดตรง ในดวงตามีธารดาราระยับวับวาว ร่างกายยังเจือกลิ่นเขียวชอุ่มชุ่มชื้นของป่าเขา
ตอนที่พวกเขายังไม่กลับมา หวังเหยียนชิงรู้สึกว่าหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงชันและแขวนธงไว้ทุกข์เกือบทุกครัวเรือนแห่งนี้เงียบสงัดจนน่ากลัว แต่พอพวกเขากลับมา หวังเหยียนชิงกลับรู้สึกว่าที่นี่เขาครามน้ำเขียว ทุ่งหญ้าเขียวขจี เปี่ยมด้วยความเป็นธรรมชาติและพลังชีวิต
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขา
หวังเหยียนชิงมองชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้มของเขา เฟยอวี๋บนนั้นถลึงตาปานระฆังทองแดง กางเล็บแยกเขี้ยวจ้องมองนาง หวังเหยียนชิงพูด “พี่รอง อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ไฉนท่านยังสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้มอยู่อีก”
ลู่เหิงเช็ดเศษดินตรงปลายนิ้วนางอย่างละเอียดลออพลางตอบ “หากสวมสีแดงหรือสีม่วงไปเดินในป่าก็ออกจะโง่เขลาเกินไปหน่อย”
เวลาลู่เหิงประชุมขุนนางหรือตามเสด็จจะสวมชุดสีแดง แต่เวลาปฏิบัติภารกิจข้างนอกส่วนใหญ่จะสวมชุดลำลอง ในบางโอกาสน้อยครั้งที่สามารถเปิดเผยฐานะได้เขาจะสวมชุดขุนนางสีน้ำเงินหรือสีดำ เสื้อผ้าขององครักษ์เสื้อแพรเด่นสะดุดตาเกินไป เว้นแต่จำเป็น…หาไม่แล้วเขาก็ไม่อยากเปิดเผยฐานะ
อย่างน้อยเรื่องโง่เขลาอย่างการสวมเสื้อผ้าสีแดงในป่า เขาก็ไม่คิดที่จะทำ
อาชาของลู่เหิงถูกฝึกเลี้ยงดูมาอย่างมีระเบียบ ต่อให้ไม่ได้ผูกเชือกไว้ก็ไม่วิ่งเพ่นพ่าน เพียงกินหญ้าอยู่ใต้ต้นไม้เงียบๆ พอลู่เหิงผิวปาก มันก็เดินเข้ามาหาเอง ลู่เหิงเก็บผ้าให้เรียบร้อย กุมมือหวังเหยียนชิง มืออีกข้างจูงเชือกบังเหียนเดินไปยังหมู่บ้าน ตอนเดินผ่านต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาเหลือบมองไปข้างหลัง
หลังต้นไม้เด็กชายคนหนึ่งหดศีรษะกลับไปอย่างว่องไวเผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาดำขลับคู่หนึ่ง มองดูพวกเขาอย่างสนใจใคร่รู้ระคนหวาดหวั่น
ลู่เหิงจำได้ว่านี่คือเด็กน้อยที่พูดคุยกับหวังเหยียนชิงเมื่อครู่นี้ เขาถาม “นี่ใครกัน”
“หลานชายของผู้ใหญ่บ้าน ชื่อหลี่เจิ้งเจ๋อ”
“ ‘เจิ้งเจ๋อ’ คือความเถรตรงมีระเบียบ เป็นชื่อที่ดี”
สองคนพูดคุยเพียงผิวเผินเท่านั้น ที่นี่ไม่เหมาะจะสนทนาจึงไม่ได้คุยอะไรลึกซึ้งกว่านี้ กว่าพวกเขาจะกลับถึงหมู่บ้านก็เป็นยามเว่ยแล้ว ทุกคนดื่มน้ำกินอาหาร พักผ่อนเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอ
คนตั้งมากมายถึงเพียงนี้พักอยู่ในหมู่บ้านเหอกู่ไม่สะดวก ลู่เหิงตรวจดูสภาพพื้นที่โดยรอบแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไป มิสู้ไปที่ว่าการอำเภอที่สะดวกกว่า สำหรับเรื่องที่อยู่และอาหารการกิน ลู่เหิงไม่เคยปล่อยให้ตนเองลำบาก
หัวค่ำวันเดียวกัน ลู่เหิงและคณะของเจ้าเมืองเฉิงก็เดินทางมาถึงอำเภอฉีและเข้าพักในที่ว่าการอำเภอ นายอำเภอเถาอีหมิงเชื้อเชิญใต้เท้าเจ้าเมืองและผู้บัญชาการไปกินอาหารในหอสุราที่ดีที่สุดในเมือง ขณะเดียวกันก็สั่งให้คนรีบกลับไปยังที่ว่าการจัดเตรียมห้องหับ
คาดว่าที่ว่าการอำเภอฉีคงจะไม่เคยครึกครื้นเช่นนี้มาก่อน ต้องต้อนรับใต้เท้าถึงสองท่านในคราวเดียวกัน อีกทั้งใต้เท้าแต่ละท่านยังพาผู้ติดตามมาด้วยมากมาย การจัดห้องพัก เตรียมกำลังคน ตัดหญ้ามาเลี้ยงม้า ล้วนเป็นงานที่มีความยุ่งยาก ระหว่างนั้นนายอำเภอเถาอีหมิงเสนอจะยกเรือนหลักซึ่งก็คือที่พักของตัวเขาเองให้ลู่เหิง แต่ถูกลู่เหิงปฏิเสธ
ในด้านนี้ลู่เหิงมีนิสัยรักสะอาด เขาไม่ชอบแตะต้องข้าวของของผู้อื่น และไม่ชอบให้ผู้อื่นมาแตะต้องข้าวของของเขา เขายินดีไปอยู่ในห้องว่างที่เล็กแต่สะอาดยังดีเสียกว่า
หอสุรารู้ว่าคนใหญ่คนโตจะมาเยือนจึงจัดเตรียมสถานที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว ลู่เหิง เจ้าเมืองเฉิง เถาอีหมิง และขุนนางในเมืองคนอื่นๆ กินอาหารบนชั้นสอง หวังเหยียนชิงนั่งกินอาหารในห้องพิเศษตามลำพัง พูดตามตรงหวังเหยียนชิงพอใจกับการจัดการเช่นนี้มาก นางไม่ต้องคอยคาดเดาสีหน้าผู้อื่น ทั้งไม่ต้องห่วงเรื่องหน้าตา สามารถกินอาหารมื้อนี้อย่างอิสระได้
การสังสรรค์ของเหล่าขุนนางส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ กินอาหารสามส่วน ดื่มสุราเจ็ดส่วน เดิมทีหวังเหยียนชิงคิดว่าพวกเขาคงจะใช้เวลานานมาก คิดไม่ถึงว่านางรอเพียงไม่นานพวกเขาก็กินอาหารเสร็จแล้ว
เสี่ยวเอ้อร์ของหอสุราเข้ามาเชิญหวังเหยียนชิงลงไปข้างล่างอย่างพินอบพิเทา หวังเหยียนชิงออกจากประตูและขึ้นเกี้ยว ไม่นานคนหามเกี้ยวก็ยกเกี้ยวขึ้นมา เดินกลับไปยังที่ว่าการอำเภอ
หวังเหยียนชิงเป็นสตรี มิได้ลงจากเกี้ยวบริเวณเดียวกับที่เหล่าบุรุษลงจากม้า ต้องพ้นกำแพงเรือนไปแล้วจึงจะลงมาได้ พอนางออกมาก็มีบ่าวรับใช้หญิงก้าวเข้ามาทันที เดินนำนางไปยังสถานที่พักผ่อนในค่ำคืนนี้
ที่ว่าการอำเภอเล็กๆ ยามนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่บริเวณที่หวังเหยียนชิงมุ่งหน้าไปยังคงเงียบสงบ เรือนหลังนี้เพิ่งจัดเก็บทำความสะอาด สถานที่ไม่กว้างขวาง แต่สงบเงียบทีเดียว ด้านหน้าเป็นห้องสามห้อง สองข้างเป็นกำแพง เชื่อมต่อกับเรือนหลังอื่นๆ ด้วยประตูไม้อูมู่ ในลานเรือนปลูกไผ่ไว้หลายกอ คล้ายช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนกระดานหมาก
ในลานเรือนใช้ก้อนหินปูทางเป็นรูปอักษรสิบบนนั้นยังหลงเหลือคราบน้ำจากการทำความสะอาด บ่าวรับใช้หญิงเดินนำหวังเหยียนชิงมาถึงหน้าประตูและผลักประตูให้ “แม่นาง เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่เก็บเอกสารตำรา นายอำเภอรู้ว่าใต้เท้าลู่ชอบความสงบจึงสั่งให้พวกเราเก็บกวาดที่นี่ทันที น้ำร้อนน้ำชาต้มไว้เรียบร้อยแล้ว แม่นางลองดูว่ายังขาดเหลือสิ่งใดอีกหรือไม่”
หวังเหยียนชิงยกชายกระโปรงก้าวข้ามธรณีประตู ได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า “ไม่มีแล้วล่ะ รบกวนแล้ว”