ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 59-60
บ่าวรับใช้หญิงเช็ดมือกับชายกระโปรงพลางพูด “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ทางห้องครัวยังมีงานอยู่ บ่าวต้องไปช่วยก่อน หากท่านต้องการสิ่งใดก็เรียกหาได้ บ่าวขอตัวเจ้าค่ะ”
หวังเหยียนชิงเอ่ยขอบคุณตามจิตใต้สำนึก หลังจากบ่าวรับใช้หญิงจากไป หวังเหยียนชิงเดินอยู่ในห้องช้าๆ เรือนขนาดสามห้องไม่ใหญ่ เทียบกับจวนสกุลลู่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง ห้องทิศตะวันตกมีหีบใส่ของและม้วนเอกสารมากมายแทบจะไม่เหลือที่ให้ยืน ห้องโถงตกแต่งอย่างเคร่งขรึมเป็นระเบียบ วางอักษรภาพวาดและเก้าอี้ ห้องทิศตะวันออกจัดเป็นห้องนอนให้ลู่เหิง วางเตียงและเครื่องนอนไว้
ทุกอย่างนี้ดูปกติธรรมดาในสายตาของหวังเหยียนชิง แต่สำหรับที่ว่าการอำเภอสามารถจัดเตรียมสถานที่เช่นนี้ออกมาได้นับว่าไม่ง่ายดายแล้ว เนื่องจากเป็นที่พักชั่วคราว หวังเหยียนชิงจึงไม่ได้คาดหวังมากนัก นางเดินดูรอบหนึ่ง จู่ๆ ก็ตระหนักว่าไฉนจึงมีเตียงแค่หลังเดียว
ลู่เหิงเข้ามา พบว่าหวังเหยียนชิงเดินค้นหาบางอย่างไปทั่วเรือน จึงถาม “หาอะไรอยู่หรือ”
ความรู้สึกในใจหญิงสาวยากจะบรรยาย นางมุ่นคิ้วตอบ “เหตุใดพวกเขาจึงเตรียมห้องไว้เพียงห้องเดียว”
ใช่แค่ห้องเดียวที่ใดเล่า ยังมีเตียงแค่หลังเดียวด้วย
ลู่เหิงรับคำอย่างสุขุม ยกชายเสื้อแล้วนั่งลง อธิบายให้นางฟัง “วันนี้เจ้าจะชิงพูดให้ได้ว่าเป็นสาวใช้ของข้า สาวใช้พักอยู่ห้องเดียวกับข้า มิใช่เรื่องปกติธรรมดาหรือ”
หวังเหยียนชิงนิ่งงัน พูดไม่ออกชั่วขณะ ลู่เหิงรินน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ ปรายตามองนางอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาพูดยิ้มๆ “อย่างไรกัน จะให้พวกเขาจัดห้องใหม่หรือไร”
ลู่เหิงแค่เอ่ยปากคำเดียวเท่านั้นก็สั่งให้นายอำเภอจัดห้องใหม่อีกห้องได้แล้ว แต่หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับพวกเขาเปลี่ยนคำพูดของตนเอง กลับคำไปมาเกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นสงสัยได้ หวังเหยียนชิงกัดฟันตอบว่า “ช่างเถอะ แต่ก่อนใช่ว่าจะไม่เคย อย่ายุ่งยากเลย”
เดิมทีลู่เหิงดื่มชาอย่างสบายอารมณ์ ครั้นได้ยินคำพูดนี้แล้ว เขาก็กระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะเสียงดัง ไม่มีอารมณ์อยากจิบชาต่อแม้แต่น้อย หวังเหยียนชิงเพิ่งจะวางห่อสัมภาระของตนเองพลันได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง นางหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ “พี่รอง มีอะไรหรือ”
ลู่เหิงนั่งตัวตรง กระตุกมุมปากอย่างเย็นชายิ่ง ตอบว่า “ไม่มีอะไร”
เขาบอกไม่มีอะไร แต่น้ำเสียงนี้ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนไม่มีอะไร หวังเหยียนชิงมองเขาด้วยความฉงน เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย ไฉนเขาจึงโมโหขึ้นมากะทันหันได้
หวังเหยียนชิงวางของไว้ด้านข้างชั่วคราว นั่งลงข้างโต๊ะ นัยน์ตากระจ่างใสมองเขาอย่างเป็นห่วง “พี่รอง ท่านนึกอะไรขึ้นมาได้หรือ”
ลู่เหิงก็อยากรู้เหมือนกันว่าเหตุใดเขาต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย เขาพ่นลมหายใจ ลอบกัดฟันขณะพูด “ไม่มีอะไร แค่คิดถึงคนเคราะห์ร้ายคนหนึ่งเท่านั้น”
ฟังจากน้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะเป็นคนในกลุ่มขุนนาง หวังเหยียนชิงรับคำมาคำหนึ่งและไม่ถามต่อ นางเช็ดคราบน้ำบนโต๊ะ รินน้ำชาให้เขาใหม่ จากนั้นก็เอ่ยว่า “พี่รอง เรื่องขุ่นใจก็อย่าไปคิดถึงอีกเลย ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญที่สุด”
ลู่เหิงหรี่ตา ยิ้มอย่างคลุมเครือ “เจ้าพูดถูก เป็นข้าที่คิดมากเกินไป”
“พี่รอง วันนี้ท่านพบอะไรที่แม่น้ำบ้างหรือไม่”
ทั้งที่ตอนแรกเป็นเขาเองที่ให้นางเรียกเขาว่า ‘พี่รอง’ แต่ตอนนี้ลู่เหิงได้ยินคำว่า ‘พี่รอง’ ติดๆ กันเช่นนี้แล้วกลับรู้สึกหงุดหงิดเกินบรรยาย เขาพูด “ตอนนี้ไม่มีผู้อื่น เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘พี่รอง’ ตลอดเวลาก็ได้กระมัง”
หวังเหยียนชิงหันมามองเขา แม้ไม่พูดอะไร แต่ดวงตากระจ่างใสสะท้อนความหมายออกมาอย่างชัดเจน “ท่านพูดอะไรของท่าน”
ลู่เหิงยกคิ้วขึ้น แม้แต่ตนเองยังรู้สึกว่าคำพูดนี้ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพยายามแล้ว แต่ในชั่วเวลาสั้นๆ มิอาจคิดหาคำพูดที่ฟังขึ้นได้จึงล้มเลิกความพยายาม “ช่างเถอะ ไว้วันหลังค่อยพูดเรื่องนี้แล้วกัน พวกเขาคงคิดว่าคนที่มาจากนครหลวงล้วนเป็นเศษสวะ พาข้าไปดูหลายจุดที่เกิดน้ำป่าบ่อยครั้ง”
“จากนั้นเล่า”
“เหลวไหลสิ้นดี” ลู่เหิงว่า “การฟังคนโง่โกหกเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ข้าพอรู้สภาพภูมิประเทศโดยรอบคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นจึงรีบกลับมา”
หวังเหยียนชิงพยักหน้า ดวงตาฉายแววครุ่นคิด ลู่เหิงจิบน้ำชาอึกหนึ่ง เอ่ยถามอย่างใจเย็น “เจ้าล่ะ นักแสดงเจ้าบทบาท”
เดิมทีหวังเหยียนชิงกำลังใช้ความคิดอย่างเคร่งขรึม ได้ยินคำพูดนี้แล้วสีหน้าประดักประเดิด “ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ข้าจึงได้แต่ใช้อุบายนี้…”
“เจ้าไม่ต้องอธิบายให้ข้าฟังหรอก” ลู่เหิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องขออภัยในสิ่งที่เจ้าอยากทำ แม้จะกับข้าก็ตามที วิธีของเจ้าดีมาก ข้ายังเกือบถูกเจ้าหลอกด้วยซ้ำ เพียงแต่…”
ดวงตาของหวังเหยียนชิงฉายแววประหม่า คิดว่าตนเองเผยพิรุธอะไร ลู่เหิงจิบน้ำชาช้าๆ อีกครั้ง ดึงความสนใจจากนางได้มากพอแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เพียงแต่ฝีมือการแสดงละครแย่เกินไป”
หวังเหยียนชิงถาม “ข้าดูแสดงละครเยอะเกินไปหรือ”
ลู่เหิงพยักหน้า “ที่แท้เจ้าก็รู้ตัวนี่”
หวังเหยียนชิงจนใจเล็กน้อย แต่นางพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ นางถอนหายใจ ขอคำชี้แนะอย่างนอบน้อม “พี่รอง เช่นนั้นควรต้องแสดงท่าทางอย่างไร”
ลู่เหิงอ้าปากกำลังจะชี้แนะ พอคำพูดมาถึงริมฝีปากกลับนึกขึ้นได้ ยิ้มเอ่ย “ข้าไม่เคยศึกษาเรื่องพวกนี้เสียหน่อย ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
หวังเหยียนชิงเพิ่มพูนฝีมือของตนไม่สำเร็จก็ตัดใจอย่างไม่ยี่หระ “ช่างเถอะ อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย พี่รอง ข้าคิดว่าท่านต้องดูของสิ่งนี้”
หวังเหยียนชิงหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงผ้าใบเล็ก ลู่เหิงรับไป มองซ้ายมองขวาพลางยิ้มถาม “ได้มาอย่างไร”
พูดถึงเรื่องนี้หวังเหยียนชิงก็พลันกระตือรือร้น เล่าอย่างต่อเนื่อง “ตอนพวกท่านตรวจดูบ้านของหลิวต้าเหนียง ข้าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้ใหญ่บ้านไม่ปกติ เขาซับเหงื่อบ่อยครั้ง ถูมือโดยไม่รู้ตัว ท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย ข้าเดาว่าผู้ใหญ่บ้านน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงหาทางแฝงตัวเข้าไปในบ้านพวกเขา หลังจากเข้าไปในบ้าน ข้าพบว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้บ้านนี้ดูเหมือนจะไม่ลงรอยกัน ข้าฉวยโอกาสตอนแม่สามีออกไปข้างนอก แอบยุแยงลูกสะใภ้…”
หวังเหยียนชิงหยุดชะงัก ลู่เหิงกลั้นยิ้ม ดวงตาจ้องนางอย่างจดจ่อ พยักหน้านิดๆ “ข้าเข้าใจ หนึ่งค่ายทหารมิอาจมีสองแม่ทัพ สมัยที่ข้ากับพี่ชายอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันยังไม่ปรองดอง นับประสาอะไรกับแม่สามีลูกสะใภ้เล่า เจ้าเล่าต่อเถอะ”
หวังเหยียนชิงประหลาดใจอยู่บ้าง นางมักคิดว่าเขาเป็นคนที่ต้องการให้ภรรยากตัญญูต่อพ่อแม่สามีและคอยดูแลน้องชายน้องสาว ไม่คิดว่าลู่เหิงกลับเปิดกว้างในเรื่องนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าเหตุใดนางจึงคิดเช่นนี้เล่า เหตุใดนางจึงเข้าใจพี่รองผิดไปได้มากปานนี้