ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 59-60 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 59-60

หวังเหยียนชิงทางหนึ่งรู้สึกว่าตนเองเหลวไหล ทางหนึ่งอธิบายต่อ “ระหว่างการสนทนากับอู๋ซื่อลูกสะใภ้ของผู้ใหญ่บ้าน ข้าทราบมาว่าผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาได้ลาภจำนวนไม่น้อยมาก้อนหนึ่ง แต่พวกเขาปิดบังลูกสะใภ้ ตอนที่แอบบอกหลานชายเผอิญอู๋ซื่อมาได้ยินเข้า อู๋ซื่อคิดว่าพวกเขายักยอกเงินค่าทำศพที่ราชสำนักมอบให้ครอบครัวของผู้ตาย ข้าหาโอกาสกันอู๋ซื่อออกไปและค้นหาในเรือนพวกเขาคร่าวๆ น่าเสียดายที่ไม่พบอะไร”

ลู่เหิงเลิกคิ้ว เอ่ยชมจากใจจริง “ชิงชิง วันนี้ทั้งวันเจ้าทำอะไรได้ไม่น้อยจริงๆ หากองครักษ์เสื้อแพรมีความสามารถได้สักครึ่งของเจ้า ต้าหมิงก็คงไร้เทียมทาน”

หวังเหยียนชิงส่ายหน้า เรื่องนี้นางรู้ตนเองดี “นี่เป็นเพราะข้าอาศัยฐานะของสตรี เจตนาวางแผนกับคนที่ไร้อุบายอย่างพวกนาง หากเปลี่ยนเป็นบุรุษคนหนึ่งอยู่ในบ้าน เฉียนซื่อกับอู๋ซื่อไม่มีทางออกไปจากบ้านแน่ องครักษ์เสื้อแพรภายใต้การปกครองของพี่รองต่างคนต่างมีจุดแข็งของตนเอง พวกเราไม่ว่าใครก็ทดแทนใครคนหนึ่งไม่ได้ ได้แต่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเท่านั้น”

แม้แต่ตัวลู่เหิงเองยังไม่ตระหนักว่าดวงตาเขาฉายแววรักใคร่สงสารอย่างอธิบายไม่ถูก เหตุผลที่หวังเหยียนชิงพูดมาไม่ผิด การทำคดีมิใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว การสืบหาหลักฐาน จับกุม สอบสวน เขียนสำนวน ความจริงที่เปิดเผยออกมาในแต่ละครั้งล้วนประกอบด้วยความดีความชอบของหลายๆ คน หากผู้ใต้บังคับบัญชาเขาทะนงตนเพราะคิดว่ามีผลงาน หลงลำพองว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น เขาจะโบยตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรงแน่นอน แต่สำหรับหวังเหยียนชิง เขากลับอยากให้นางเอาแต่ใจกว่านี้อีกนิด เห็นแก่ตัวกว่านี้อีกหน่อย

ลู่เหิงลูบผมนาง “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ในด้านการซักถามไม่มีผู้ใดทดแทนเจ้าได้จริงๆ”

จู่ๆ ลู่เหิงก็ชมนาง ทำให้หวังเหยียนชิงรู้สึกกระอักกระอ่วน นางก้มหน้าอย่างเขินอาย ใบหน้ากลับระบายยิ้ม “พี่รองไม่รังเกียจข้าก็ดีแล้ว ตอนบ่ายเฉียนซื่อกับอู๋ซื่อต่างหลับไป หลานชายผู้ใหญ่บ้านหลี่เจิ้งเจ๋อเล่นอยู่ใต้ชายคาคนเดียว ว่าไปแล้วก็เป็นข้าที่เอาเปรียบเด็ก ข้าใช้อุบายเล็กน้อย เด็กคนนั้นก็เลื่อมใสข้ายิ่งนัก จะกราบข้าเป็นอาจารย์ ข้าเสนอให้เขาเอาของที่มีค่ามากที่สุดมาแลกเปลี่ยน ข้าคิดว่าเขาจะไปหาทรัพย์สมบัติที่ย่าเขาซุกซ่อนไว้ออกมา เพราะอู๋ซื่อบอกว่าเฉียนซื่อแอบบอกที่ซ่อนกับหลี่เจิ้งเจ๋อแล้ว…”

ลู่เหิงพบว่าเวลาอยู่กับหวังเหยียนชิงเขายิ้มง่ายมาก เขากุมหมัดบังริมฝีปากไว้ กระแอมกระไออย่างขบขัน “ชิงชิง เรื่องพวกนี้แม้จะอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าเมือง แต่มากน้อยอย่างไรองครักษ์เสื้อแพรก็ได้ชื่อว่าตรวจตรารักษาความปลอดภัย เรื่องพวกนี้เจ้าอย่าเอามาพูดต่อหน้าข้าเลยดีกว่ากระมัง”

นางซื่อตรงเหมือนจอมหลอกลวงที่กำลังสารภาพขั้นตอนการกระทำความผิดอย่างไรอย่างนั้น ลู่เหิงคิดในใจ ไฉนนางจึงน่าเอ็นดูได้ถึงเพียงนี้หนอ

หวังเหยียนชิงจนปัญญา ชี้แจงแถลงไขอย่างจริงจัง “ต่อให้เขาเอาออกมาจริง ข้าก็ไม่มีทางแตะต้อง”

แย่แล้ว เหมือนจะน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเดิม ไม่ง่ายเลยกว่าลู่เหิงจะหยุดหัวเราะได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ ไม่เป็นไร ข้าจะไม่บอกผู้อื่น เจ้าพูดต่อเถอะ”

ลู่เหิงทำท่าว่า ‘ข้าจะไม่แจ้งความ’ หวังเหยียนชิงลอบค้อนปะหลับปะเหลือกแล้วเล่าต่อ “สุดท้ายเขากลับวิ่งออกจากบ้านไป ขุดก้อนหินกองหนึ่งขึ้นมาจากใต้ต้นหลิวริมแม่น้ำ แล้วมอบก้อนหินเมื่อครู่ให้กับข้า”

ลู่เหิงเข้าใจความคิดของนางโดยสมบูรณ์แล้ว “ดังนั้นเจ้าจึงเล่นดินเป็นเพื่อนเขาใต้ต้นไม้ตลอดช่วงบ่าย”

หวังเหยียนชิงแก้ไขคำพูดเขาอย่างจริงจัง “เป็นก้อนหิน”

“ได้ ก้อนหิน” ลู่เหิงยอมแก้คำพูดแต่โดยดี “เขาได้ก้อนหินเหล่านี้มาจากที่ใด”

“ในแม่น้ำ”

ลู่เหิงผงกศีรษะ จากนั้นนิ้วมือถูถ้วยชาช้าๆ ไม่พูดอะไรอีก หวังเหยียนชิงมองดูครู่หนึ่ง ถามเสียงแผ่วเบา “พี่รอง ท่านคิดได้แล้วหรือ”

ลู่เหิงทำท่าจนใจทีเดียว “เจ้ายกย่องข้าถึงเพียงนี้เชียว? ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ทว่านี่เพิ่งจะวันเดียวเท่านั้น”

หวังเหยียนชิงรับคำอย่างผิดหวังเล็กน้อย นางเห็นในห้องตะวันตกมีเอกสารอยู่มากมาย จึงลองถาม “ที่นี่มีเอกสารอยู่พอดี พวกเราไปแอบอ่านกันดีหรือไม่”

ลู่เหิงมองไปยังห้องตะวันตก ตรงนั้นไม่ได้จุดไฟ เอกสารมากมายกองอยู่ด้วยกัน เงาดำวูบไหว ดูคล้ายสัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง ลู่เหิงมองเพียงปราดเดียวก็ถอนสายตากลับมา “ช่างเถอะ เอกสารมากมายถึงเพียงนั้นอ่านถึงพรุ่งนี้ก็อ่านไม่หมด อีกอย่างยามนี้ข้ามีคนงามอยู่ข้างกาย ไยข้าต้องละทิ้งความอบอุ่นอ่อนนุ่มไปรื้อเอกสารในห้องที่เย็นยะเยียบนั่นด้วย”

หวังเหยียนชิงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ยากเอาการ นางทำเป็นไม่สนคำพูดช่วงหลังของลู่เหิง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี หมู่บ้านเหอกู่เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ตามหลักขุนนางระดับสูงในท้องถิ่นสมควรสอบสวนอย่างจริงจัง แต่นายอำเภอกลับไล่พวกนางกลับไปหลายครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าปัญหาอยู่ที่นายอำเภอเถา”

ลู่เหิงเป็นเหมือนคลังเก็บตำราแห่งหนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้ เห็นดังนั้นจึงพูด “เถาอีหมิงเป็นจวี่เหริน* ในรัชศกเจิ้งเต๋อปีที่ห้า เขาเป็นชาวเมืองชิ่งหย่วน ฐานะครอบครัวขัดสน สอบฮุ่ยซื่อไม่ผ่านหลายครั้ง ภายหลังจึงล้มเลิกการสอบเป็นจิ้นซื่อ เข้ารับตำแหน่งเป็นขุนนางท้องถิ่น แต่เขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากวงศ์ตระกูล ทั้งยังไม่มีอาจารย์คอยสนับสนุน ต่อให้อยากเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับฝักฝ่ายใด ผู้อื่นก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นดวงขุนนางของเขาจึงไม่ดีนัก เข้าสู่ราชสำนักยี่สิบปียังคงวนเวียนอยู่กับตำแหน่งนายอำเภอในอำเภอระดับล่าง พื้นที่ที่ไปรับตำแหน่งส่วนใหญ่ก็หนาวเหน็บกันดาร ไม่มีผลประโยชน์ให้รีดไถได้”

หวังเหยียนชิงเข้าใจ นี่คือบุคคลที่อาศัยการอ่านหนังสือเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แต่กลับมิอาจเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ นางขบคิดถึงประวัติของเถาอีหมิงโดยละเอียด พลันตระหนักถึงความผิดปกติ “พี่รอง เถาอีหมิงเป็นเพียงนายอำเภอตำแหน่งลำดับรองขั้นเจ็ดคนหนึ่ง ไฉนท่านจึงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขาดีถึงเพียงนี้”

ต่อให้องครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่รวบรวมข่าวกรอง แต่นครหลวงมีขุนนางระดับสูงมากมายถึงเพียงนั้น แค่ขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งพวกเขาก็จับตาดูไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ไฉนลู่เหิงจึงบังเอิญไปเห็นประวัติของเถาอีหมิงได้

ลู่เหิงคิดในใจ ยังไม่นับว่าโง่นัก เขาดื่มน้ำชาจนหมดก่อนพูด “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักเขา แม้แต่เฉิงโยวไห่ข้ายังไม่รู้จักด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่ล้วงมาได้บนโต๊ะสุราเมื่อครู่นี้”

หวังเหยียนชิงส่งเสียงอ้อเบาๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดลู่เหิงจึงรับปากไปกินอาหารกับพวกเขา ถึงอย่างนั้นหวังเหยียนชิงยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ เลิกคิ้วถาม “บนโต๊ะอาหารมีคนตั้งมากมาย เถาอีหมิงหาใช่คนโง่งม คงไม่ถึงขั้นเปิดเผยประวัติของตนเองออกมาจนหมดกระมัง ท่านซักถามเรื่องพวกนี้มาได้อย่างไร”

เรื่องนี้สำหรับลู่เหิงง่ายดายยิ่งนัก เขาพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดออกมาเสมอไป ดูจากการพูดคุย การแต่งกาย และท่าทีของเขาย่อมคาดเดาพื้นฐานครอบครัวและสิ่งที่เขาประสบพบเจอมาได้ไม่ยาก คนคนหนึ่งขอเพียงปรากฏตัว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นช่องโหว่”

หวังเหยียนชิงเลื่อมใสจนพูดไม่ออก ลู่เหิงไร้เทียมทานในเรื่องการสังเกตคน

หวังเหยียนชิงถามอย่างจริงจัง “เช่นนั้นต่อจากนี้ควรทำอย่างไร”

ลู่เหิงอมยิ้มมองนาง ตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างยิ่ง “นอน”

หวังเหยียนชิงหางคิ้วกระตุก นางคิดว่าตนเองฟังผิดไป ทว่าหลังจากประสานสายตากับเขา นางก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าเขาพูดความจริง

หวังเหยียนชิงเงียบงัน เดาไม่ถูกว่าลู่เหิงคิดจะทำอะไรอีก ลู่เหิงปรายตามองนาง พูดอย่างเข้าใจ “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ครั้งนี้เป็นความจริง ตกลงเจ้าไม่อยากนอนเพราะกลัวว่าการสืบคดีจะล่าช้า หรือเป็นเพราะไม่ไว้ใจข้ากันแน่”

หวังเหยียนชิงไม่รู้ว่าตนเองถูกเปิดโปงความคิดหรือถูกปรักปรำกันแน่ เอ่ยแย้งเสียงขุ่น “ข้าเปล่าคิด”

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ลู่เหิงพยักพเยิดคางไปยังที่นอน “ดึกแล้ว เจ้าควรนอนได้แล้ว”

ลู่เหิงสุขุมเยือกเย็น เขาเห็นกับตาว่าใบหน้าของนางแดงเรื่ออย่างช้าๆ สุดท้ายก็ไม่อาจแข็งใจกลั่นแกล้งนางได้ จึงชิงพูดขึ้นก่อนที่นางจะเอ่ยปาก “ออกมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้บ้าง คืนนี้อย่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย กลางคืนอย่าได้หลับลึกเกินไป ตื่นตัวไว้หน่อย”

หวังเหยียนชิงพรูลมหายใจยาวเหยียด เมื่อครู่นางก็อยากพูดคำนี้เหมือนกัน แต่กลัวพี่รองจะเข้าใจผิด โชคดีที่พี่รองก็คิดเช่นนี้

หวังเหยียนชิงประหนึ่งได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง เข้าไปในห้องเตรียมตัวนอน ลู่เหิงนั่งอยู่ในห้องโถงตามลำพัง มองถ้วยกระเบื้องในมือ เนิ่นนานผ่านไปจึงถอนหายใจเบาๆ

นอกหน้าต่างมีสายลมราตรีพัดมาอ่อนๆ แสงจันทร์ประหนึ่งสายน้ำ เสียงนี้แผ่วเบาคล้ายดั่งมายา

หวังเหยียนชิงล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ปล่อยผมและเอนกายลงบนเตียงโดยไม่ถอดเสื้อผ้า นางกลัวจะกระอักกระอ่วนใจ ก่อนขึ้นเตียงจึงเป่าตะเกียงในห้องให้ดับ เหลือไว้เพียงโคมผนังดวงหนึ่ง

นางหลับตาลง ท่ามกลางความมืดเวลาคล้ายจะเปลี่ยนรูป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เสียงฝีเท้าเลือนรางดังขึ้นข้างกาย ตามมาด้วยลมหายใจอันคุ้นเคย ความง่วงงุนอันพร่าเลือนของหวังเหยียนชิงหายวับไปทันใด นางอ้าปากร้องเรียกอย่างไม่แน่ใจ “พี่รอง?”

ลู่เหิงได้ยินคำเรียกขานนี้แล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น เขารับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา จับอารมณ์ใดๆ ไม่ได้

หวังเหยียนชิงเห็นว่าเป็นเขาก็หลับตาลงอย่างวางใจอีกครั้ง ลู่เหิงพบว่าหญิงสาวทำท่าจะนอนต่อ ชั่วขณะหนึ่งที่ความรู้สึกในใจเขาแปลกประหลาดยิ่งนัก

เขาไม่รู้แล้วว่าควรขอบคุณนางที่เชื่อใจเขา หรือควรริษยาความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างนางกับพี่รองตัวจริงของนางดี

ชายหนุ่มเป่าโคมไฟดวงสุดท้ายให้ดับลง เมื่อครู่เขายังลังเลว่าจะเข้ามานอนหรือไปอยู่ในห้องตะวันออกทั้งคืนดี แต่พอได้ยินคำพูดนาง เขาก็พลันเปลี่ยนใจแล้ว

นางคล้ายละเมอเรียกพี่รองออกมา จากนั้นก็สามารถหลับไปอย่างสบายใจได้ หากเขายังจะถอยอีก ไยมิใช่สมองเป็นโพรงหรือไรกัน

ลู่เหิงนอนทั้งชุดเดิม คืนนี้เขาไม่คิดที่จะหลับ มีคนอีกคนนอนอยู่ในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ ในตำแหน่งที่สามารถลอบโจมตีเขาได้ทุกเมื่อ เขาจะหลับตาลงได้อย่างไร ดังนั้นว่ากันตามเหตุผลแล้ว เขาขึ้นมาเอนกายบนเตียงกับไปห้องตะวันออกเพื่ออ่านเอกสาร ผลลัพธ์ล้วนไม่ต่างกัน

แต่พอได้เอนกายลงจริงๆ ฟังเสียงลมหายใจยาวและแผ่วเบาของนาง ลู่เหิงก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขามิได้รู้สึกต่อต้านถึงเพียงนั้น ในปีที่ลู่เหิงอายุยี่สิบสามนี้เอง ในราตรีคิมหันต์ที่แสนจะธรรมดาคืนหนึ่ง เขาเอนกายลงบนเตียงที่ไม่สบายตัวในเรือนซึ่งไม่คุ้นเคยหลังหนึ่ง ในชั่วเวลานั้นเขารู้สึกสั่นคลอนกับความคิดที่เขาปักใจเชื่อมาตลอดในอดีต

เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าตนเองไม่อาจไว้ใจผู้อื่นได้ ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางนอนหลับข้างกายคนอีกคนได้อย่างสบายใจ การแต่งภรรยาเป็นเพียงการเปลี่ยนสถานที่แสดงละครเท่านั้น เขาไม่ต้องการ ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงการแต่งภรรยาสร้างครอบครัวมาโดยตลอด เขาคิดตามหลักเหตุผลไปเช่นนี้ แต่ความจริงเขากลับยังไม่เคยลองดูสักครั้ง

การด่วนสรุปเช่นนี้ออกจะอคติเกินไปหน่อย

ลู่เหิงกำลังขบคิดถึงแผนการในชีวิตของตนเอง ฉับพลันเขาได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นนอกหน้าต่าง แทบจะในเวลาเดียวกันลู่เหิงลืมตาทันใด

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com