ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 59-60
บทที่ 60
ท่ามกลางความมืดดวงตาของลู่เหิงกระจ่างใสเปล่งประกายเจิดจ้าจนมิอาจจ้องมองตรงๆ ได้ ไม่มีแววง่วงงุนสักกระผีก เขาลุกขึ้นนั่งทันที เดิมทีหวังเหยียนชิงมิได้หลับลึกอยู่แล้ว ตอนลู่เหิงเอนกายลงมานางสะลึมสะลือไม่มีการตอบสนอง แต่พอลู่เหิงจะจากไป นางกลับสะดุ้งตื่นฉับพลัน
หวังเหยียนชิงลืมตา ยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ก็ยื่นมือไปคว้ากริชใต้หมอน ลู่เหิงกดมือนางไว้ ส่งเสียงชู่ว์เบาๆ “ข้าเอง อย่าส่งเสียง”
หวังเหยียนชิงค่อยๆ เพ่งสายตามองดู เห็นหน้าคนตรงหน้าชัดแล้ว นางผงกศีรษะนิดๆ ลู่เหิงเห็นนางตื่นแล้วจริงๆ จึงปล่อยมือช้าๆ แล้วก้าวลงจากเตียง
สองคนนอนโดยมิได้ถอดเสื้อผ้า ยามนี้จึงไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ลู่เหิงกดดาบในมือ ค่อยๆ เดินไปตรงหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ มองผ่านรอยแยกของหน้าต่างออกไปข้างนอก
ในลานเรือนไม่มีคน ลู่เหิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ออกแรงผลักหน้าต่างออกไป หวังเหยียนชิงตามหลังเขามา เห็นการกระทำของเขาแล้วตกใจ “พี่รอง!”
เพิ่งจะพูดจบหน้าต่างก็ถูกผลักออกและกระแทกขอบไม้อย่างแรง หวังเหยียนชิงเงยหน้ามองไป รูม่านตาขยายกว้างอย่างห้ามไม่อยู่
จันทร์เสี้ยวดุจเคียวแขวนตัวอย่างเดียวดายบนผืนนภาราตรีไร้ขอบเขต บนหลังคาที่ว่าการอำเภออันมืดมิดฝั่งตรงข้าม คนกระดาษตัวหนึ่งหันหลังให้แสงจันทร์ ใบหน้าวาดสีแดงฉูดฉาด นัยน์ตาเป็นสีดำ กำลังแสยะยิ้มให้พวกเขา
แม้หวังเหยียนชิงจะเคยผ่านคดีผีหลอกมาแล้ว แต่ยามนี้ก็ยังตกใจสะดุ้งโหยงเพราะมัน คนกระดาษตัวนี้มีขนาดเท่ากับคนจริง ร่างกายทำจากกระดาษสีขาว บนนั้นใช้สีสันหลากหลายวาดเป็นเสื้อผ้าและเครื่องหน้าดูเหมือนมีชีวิตจริง มองปราดแรกคิดว่าเป็นคน
หวังเหยียนชิงนึกถึงคนกระดาษที่ใช้ในการบวงสรวงเทพเจ้าในวันเซ่อรื่อทันที หน้าตาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ลมราตรีโชยพัดมา อากาศเจือไอน้ำหนักอึ้ง ฝนน่าจะใกล้ตกเต็มทีแล้ว หวังเหยียนชิงถูกลมเย็นพัดใส่จึงสงบสติอารมณ์ลงได้ นางเดินเข้าไปใกล้ลู่เหิงเงียบๆ แล้วถาม “พี่รอง คนกระดาษนี้ใครเป็นคนเอาไปวางบนหลังคาหรือ”
ลู่เหิงจ้องไปที่หลังคา ส่ายหน้าช้าๆ “อาจจะมิได้นำขึ้นไปวาง”
หวังเหยียนชิงไม่เข้าใจ “อะไรนะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ พลันเห็นคนกระดาษบนหลังคาขยับได้ ข้อต่อของมันแข็งทื่อเหมือนเพิ่งเรียนรู้ที่จะขยับตัวกระนั้น ทำท่าทำทางอย่างเชื่องช้าและแปลกพิกล ใบหน้าแสยะยิ้มหันมาทางพวกเขาตลอดเวลา หลังการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ มันก็หันกายกะทันหันกระโดดลงจากหลังคาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
หวังเหยียนชิงสูดหายใจเบาๆ ย่นคิ้วถาม “นี่มันตัวอะไรกัน”
คนกระดาษสร้างความตื่นตระหนกให้กับเจ้าหน้าที่ข้างนอก เสียงร้องดังลั่นลอยมาตลอดทาง หลังจากนั้นก็มีคนตะโกน “จับมันไว้!”
ราตรีคิมหันต์เงียบสงัด เสียงตะโกนนี้กล่าวได้ว่าสร้างความแตกตื่นอย่างยิ่ง เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังขึ้นทันใด แสงสว่างวูบไหวไปทั่วทุกหนแห่ง จากนั้นประตูเรือนของพวกเขาก็ถูกทุบดังปึงปัง “ผู้บัญชาการ ดูเหมือนในที่ว่าการอำเภอจะมีคนร้าย ท่านยังปลอดภัยดีหรือไม่ขอรับ!”
ลู่เหิงเก็บดาบลงในฝัก หัวเราะสั้นๆ พลางพูด “ไปเถอะ พวกเราออกไปดูกัน”
องครักษ์เสื้อแพรเคาะประตูอยู่นานโดยไม่ได้รับการตอบรับ พวกเขาร้อนใจ ขณะกำลังจะพังประตูเข้าไป ประตูเรือนพลันเปิดออกมาจากด้านใน ใต้เท้าผู้บัญชาการสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ยืนอยู่หลังประตูอย่างสุขุมมั่นคง ข้างหลังยังมีแม่นางตามมาด้วยคนหนึ่ง ผู้ติดตามระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก รีบกุมหมัดคารวะ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนช่างโง่งม เขาเอาความมั่นใจมาจากที่ใด ถึงได้คิดว่าผู้บัญชาการจะถูกคนวางแผนร้ายเล่นงานและต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา
“ผู้บัญชาการ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเห็น…คนกระดาษที่มีที่มาไม่แน่ชัดตัวหนึ่ง ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้บัญชาการ จึงตั้งใจมาช่วยเหลือและขอคำชี้แนะจากผู้บัญชาการขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร” ลู่เหิงตอบเสียงเรียบ “ของสิ่งนั้นหายไปที่ใดแล้ว”
“หนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขอรับ”
“ตามไปล้อมมันไว้ อย่าให้มันหนีไปได้”
“รับทราบ”
ผู้ใต้บังคับบัญชากุมหมัดรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง กระจายกำลังออกไปสองฟากอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าการล้อมจับเป็นเรื่องที่พวกเขาทำจนคุ้นชินแล้ว นอกจากองครักษ์เสื้อแพร เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการอำเภอต่างสะดุ้งตื่นเช่นกันและวิ่งออกมาช่วยเหลือ เสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง เสียงตะโกนดังอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาความเงียบสงัดในค่ำคืนนี้ก็ถูกทำลายไป
ลู่เหิงเอามือไพล่หลังยืนอยู่หน้าประตูเรือน สุขุมราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองกระนั้น เขาหันกลับมาถามหวังเหยียนชิง “หนาวหรือไม่”
กระดุมบนเสื้อตัวนอกของหวังเหยียนชิงกลัดเรียบร้อยทุกเม็ด นางส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม ลู่เหิงพูด “เช่นนั้นก็ดี อาจต้องวุ่นวายอีกสักพัก เจ้าจะดูอยู่ข้างนอกหรือกลับเข้าไปพักในเรือน หากอยากกลับไปข้าจะแบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งมาเฝ้าประตูไว้ เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย”
หวังเหยียนชิงยังคงส่ายหน้า “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าอยากดูอยู่ข้างนอก”
ลู่เหิงเห็นนางยืนกรานก็ไม่โน้มน้าวอีก เอ่ยเพียง “ประเดี๋ยวจะมีผู้คนมากมาย ข้าอาจดูแลเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องระวังตัว อย่าเดินไปบริเวณที่มืด”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หวังเหยียนชิงตอบ “พี่รองไปทำงานเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า ข้าอยู่คนเดียวได้”
เรือนที่เดิมทีจมสู่ห้วงแห่งการหลับใหลสว่างไสวขึ้นทีละแห่ง เจ้าเมืองเฉิงเสื้อผ้ายังไม่ทันสวมใส่ให้ดีก็วิ่งพรวดพราดออกมา ถามอย่างตื่นตระหนกไม่หาย “ใต้เท้าลู่ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ลู่เหิงสวมชุดขุนนางสีน้ำเงินยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน สายคาดเอวรัดเอวเขาจนดูโดดเด่น ขับเน้นให้เห็นไหล่ผึ่งผาย แผ่นหลังเหยียดตรง และช่วงขายาว แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่เขาก็ยังเป็นคนที่สะดุดตาที่สุด โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นอายคุกคามน่าตกใจ
สายลมเย็นชื้นพัดมาจากส่วนลึกของม่านรัตติกาล แสงไฟวูบวาบไปมา เงาแสงสาดผ่านร่างของลู่เหิงไปอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง หยั่งคาดมิได้ ใบหน้าด้านข้างของลู่เหิงอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ผิวเนียนละเอียดดุจหยก “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าได้ยินเสียงประหลาดกลางดึก ผลักหน้าต่างออกมาก็เห็นคนกระดาษหน้าตาประหลาดยืนอยู่บนหลังคา มันทำท่าอะไรสักอย่าง จากนั้นก็กระโดดลงไปในลานเรือนด้านหน้า”
เจ้าเมืองเฉิงร้องเสียงหลง “อะไรนะ! คนกระดาษ?”
องครักษ์เสื้อแพรที่ลู่เหิงพามายืนล้อมอยู่ข้างกายเขา คนหนึ่งวิ่งเร็วๆ มาจากด้านหน้า กุมหมัดเอ่ย “เรียนผู้บัญชาการ ข้าน้อยเห็นชัดเจนว่าคนกระดาษวิ่งมาทางนี้ แต่จู่ๆ มันก็หายไปขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เหิงถาม “ทางแยกข้างหน้าตรวจสอบหรือยัง”
“มีคนเฝ้าอยู่ขอรับ แต่ไม่มีใครเห็นมันผ่านมา”
เจ้าเมืองเฉิงหลบอยู่ข้างหลังลู่เหิง ได้ยินเช่นนี้แล้วตกใจจนใบหน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเครือ “ในจวนของทางการแท้ๆ กลับมีของพรรค์นี้ได้อย่างไร! หรือจะมีภูตผีอาละวาด”
ลู่เหิงหันกลับไปมองเจ้าเมืองเฉิง “เจ้าเมืองเชื่อเรื่องผีสางด้วยหรือ”
เจ้าเมืองเฉิงถูกถามจนอึกอักไปครู่หนึ่ง ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “ท่านข่งจื่อไม่พูดถึงเรื่องลี้ลับงมงาย ผู้น้อยย่อมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว…แต่ใต้เท้าลู่เห็นคนกระดาษด้วยตาตนเอง ตอนนี้ทั่วทุกหนแห่งมีแต่คนของทางการ เจ้าสิ่งประหลาดนั่นกลับหายวับไปกลางอากาศ คือว่า…ผู้น้อยเป็นขุนนางมายี่สิบปี ไม่เคยพบเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน”