Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 6
บทที่ 6
วันวานในฤดูร้อนล่วงคล้อย ชั่วพริบตาแปรเปลี่ยนเป็นใบไม้ร่วง
ทุกวันที่เธอไปทำงานก็จะเห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนบานหน้าต่าง จากการโคจรรอบตัวเองของโลกและความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล แสงค่อยๆ เบี่ยงไปทางทิศใต้และทอดเงายาวขึ้นทางทิศเหนือ
ใบไม้สีเขียวแก่นอกหน้าต่างแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วร่วงโรยสู่พื้น
เวลาพลบค่ำมาเยือนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เธอมักจะรู้ตัวตอนอยู่ในห้องหนังสือว่าเป็นเวลากลางคืนแล้ว
ในวันนี้ทุกอย่างยังเป็นดังเดิม
นาฬิกาปลุกในแท็บเลตสั่นขึ้นเบาๆ กว่าเธอจะรู้สึกตัวมันก็สั่นมาได้สามสิบนาทีแล้ว
เสี่ยวหม่านไต่จากบันไดชั้นหนังสือลงมาปิดนาฬิกา แล้วก็เข็นกองหนังสือ เอกสาร และแท็บเลตในรถเข็นกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง
แม้ว่าห้องหนังสือของพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลที่เธอทำงานอยู่จะมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น แต่หนังสือเก่าแก่พวกนี้ก็ยังคงมีกลิ่นเชื้อรา
พอถึงห้องทำงานก่อนอื่นเธอก็เอาหนังสือเก่าแก่เหล่านั้นเก็บไว้ในตู้กันความชื้นที่มีเครื่องวัดค่าอยู่ แล้วค่อยถอดถุงมือออก
ที่เธอใส่ถุงมือเนื่องจากหนังสือโบราณเหล่านี้ล้ำค่ามาก หากเอามือสัมผัสโดยตรงจะทำให้เหงื่อและความชื้นบนมือสร้างความเสียหายให้กับหนังสือได้
ตู้กันความชื้นในห้องทำงานเธอมีไว้เพื่อเก็บรักษาหนังสือที่เอาออกมาจากห้องหนังสือ จะได้รักษาสภาพหนังสือให้ดีพร้อม ไม่ให้ติดเชื้อราจากอากาศที่อับชื้น
เวลาที่เธอต้องการค้นคว้าวิจัยถึงค่อยนำหนังสือออกมาอ่าน
หนังสือเหล่านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับศิลปะป้องกันตัวในวัฒนธรรมของยุโรปยุคกลาง เป็นข้อมูลที่ช่วงไม่กี่วันมานี้เธอกำลังเรียบเรียง
แม้เธอจะคิดว่าการสอนนักศึกษาเป็นเรื่องน่าสนใจ แต่ว่าเธอก็ชอบที่จะอ่านหนังสือโบราณ เอกสารทางประวัติศาสตร์ นำมาเรียบเรียง แบ่งประเภท จดบันทึกด้วยตัวเอง
พิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลที่ว่าจ้างเธอมีหนังสือโบราณเกี่ยวกับวรรณคดีและประวัติศาสตร์อันล้ำค่าจำนวนมหาศาล ใช้ปกและกระดาษสารพัดชนิด บันทึกเรื่องราวชีวิตของผู้คนในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่ชนชั้นใต้ปกครองถึงชนชั้นสูง ตั้งแต่หนังสือภาพศิลปะถึงแนวคิดทางปรัชญา ทั้งของชาติตะวันตกและชาติตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นบันทึกไม้ไผ่ของจีน ภาพวาดบนผืนผ้าของอินเดีย หรือจะเป็นคัมภีร์อัลกุรอานเขียนด้วยสีทองของตุรกี กระทั่งต้นฉบับบันทึกลายมือของนักปรัชญาชาวกรีก มีทั้งดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ หนังสือที่ข้างนอกหายากทั้งหมดล้วนรวมไว้ในที่นี้
ตอนที่เธอได้รับเชิญให้มาสัมภาษณ์ที่นี่ ได้เห็นเอกสารโบราณมากมายขนาดนี้ก็ตื่นตะลึงปากอ้าตาค้างจนคางแทบจะร่วงมาอยู่บนพื้น
หลังจากนั้นพอผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์เชิญเธอมาทำงาน เธอก็ตอบรับทันทีทั้งที่ยังไม่ทันได้ฟังค่าจ้างด้วยซ้ำ เธอรู้ดีว่าการได้สัมผัสเอกสารโบราณเหล่านี้ด้วยตัวเองช่างเป็นโอกาสที่เลอค่าเพียงใด
เธอปิดตู้กันความชื้นอย่างระมัดระวัง เก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วคว้ากระเป๋ากับเสื้อนอกเดินออกไป
บนทางเดินยาวยังมีห้องทำงานบางห้องเปิดไฟสว่างอยู่ เธอมองเห็นคนที่กำลังค้นคว้าอย่างขะมักเขม้นได้จากหน้าต่างห้องซึ่งได้แก่บุคลากรของพิพิธภัณฑ์ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ประเภทหลังจะเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้นั่งประจำที่ แต่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในปีหนึ่งไปกับการออกภาคสนามตามโบราณสถานต่างๆ ของโลก
เพื่อนร่วมงานของเธอต่างก็เป็นคนที่โดดเด่นในสายงานของตัวเอง
ว่าง่ายๆ ก็คือทุกคนต่างก็เป็นคนที่ชอบทำงานอยู่กับตัวเองและมักจะทำงานจนลืมเวลาอยู่บ่อยๆ
เธอก็เช่นกัน แต่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในแท็บเลตไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองลืมเวลากินข้าว
เมื่อเดินผ่านป้อมยาม เจ้าหน้าที่ก็ผงกศีรษะทักทายเธอ เธอวางกระเป๋าบนเครื่องสแกนและยื่นบัตรพนักงานให้เขา
แม้พิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลแห่งนี้จะไม่เปิดเป็นที่สาธารณะ แต่ว่าหนังสือที่นี่ล้ำค่าหากยากจริงๆ ถึงจะเป็นนักวิจัยทว่าก็ไม่สามารถนำหนังสือออกไปได้ การตรวจสอบที่เข้มงวดนี้จึงมีขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดเหตุ
พอตรวจเสร็จเธอก็กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาอย่างสุภาพ ค่อยเดินออกประตูใหญ่ของพิพิธภัณฑ์
ด้านนอก ลมแรงปะทะใบหน้า เธอห่อตัวด้วยความหนาวก่อนจะรีบหยิบเสื้อนอกขึ้นมาสวม
ภาพถนนในฤดูใบไม้ร่วงดูแล้วช่างหม่นหมอง ใบไม้ปลิวตามแรงลมแล้วก็ร่วงลงบนพื้นอีกครั้ง ปกคลุมทั่วทั้งท้องถนน
เธอย่ำผ่านใบไม้ไปยังลานจอดรถ กดปุ่มบนกุญแจรถแล้วเสียงรถก็ดังขึ้น ไฟกะพริบ เธอเดินเข้าไปนั่งในรถ สตาร์ตเครื่อง เปิดเครื่องทำความร้อน แล้วขับออกจากลานจอดรถ
บ้านที่เธออาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ตอนแรกอีกฝ่ายเสนอคฤหาสน์ในเมืองให้เธออยู่ แต่เธอชอบอยู่ชานเมืองมากกว่า อากาศก็ดีกว่า ทัศนียภาพกว้างไกลกว่า แม้จะต้องเสียเวลาเดินทาง แต่เธอก็คิดว่ามันคุ้มค่า
เธอชอบบ้านเก่าที่ทำจากหินหลังนี้ ทั้งน่ารักและเงียบสงบ เวลาเธอหยุดอยู่บ้านยังสามารถทำกิจกรรมยืดเส้นยืดสายอย่างจัดสวนได้
ในเวลาไม่นานเธอก็ขับออกจากเส้นทางสายหลัก อ้อมวงเวียนเล็กมาไม่กี่นาทีก็จะมองเห็นตัวบ้าน
เธอเห็นไฟเปิดอยู่ ทีแรกก็คิดว่าตัวเองตาฝาดมองเห็นไฟถนนหรือไฟของเพื่อนบ้าน
แต่ไม่ใช่เลย นั่นเป็นไฟจากบ้านเธอ
เธอชะงัก สงสัยว่าตัวเองจะลืมปิดไฟ
หรือว่าจะเป็นขโมย?
เสี่ยวหม่านจอดรถข้างทาง ถือกระเป๋าลงมาแล้วอ้อมไปหยิบไม้กอล์ฟออกจากหลังรถ ผ่านพุ่มไม้ทะลุไปยังสวนหลังบ้าน แอบมองลอดหน้าต่างครัว
เธอมองไม่เห็นใคร แต่ว่าบนเตามีหม้อเหล็กสีแดงที่กำลังมีควันกรุ่นตั้งอยู่
ขโมยใช้หม้อของเธอต้มอะไรบางอย่างงั้นหรือ
เธอชะงัก ใจเต้นขึ้นมา
หรือว่าจะเป็น…
เป็น…เป็นไปไม่ได้
เธอระงับความแตกตื่น กุมไม้กอล์ฟแน่นมุ่งไปยังประตูหลัง แล้วก็เห็นว่าประตูหลังกำลังแง้มอยู่
เธอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง เธอตกใจหันไปมอง ออกแรงฟาดไม้กอล์ฟในมือใส่เงาดำนั้น
“เฮ้ย!” ผู้มาเยือนหลบหลีกการโจมตีของเธอได้อย่างว่องไว ชูมือขึ้นเอ่ยยิ้มๆ “นี่ผมเอง!”
เธอมองเขาอย่างเหลือเชื่อ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“จริงๆ นะ สัตว์ประหลาดน้อย ถ้าหากคุณเจอคนบุกรุกอย่างผิดกฎหมาย คุณควรจะแจ้งตำรวจ ไม่ใช่ถือไม้กอล์ฟมาทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตูหลัง”
เมื่อเห็นเธอไม่ได้แกว่งไม้อีกเป็นรอบที่สองเขาก็ลดมือลง คลี่ยิ้มมองเธอ
“ไฮ ไม่เจอกันตั้งนาน”
“ไม่เจอกันตั้งนาน? ไม่เจอกันตั้งนาน!” เธอตวาดใส่คนบ้าตรงหน้าด้วยความตระหนกและโกรธเคือง “คุณเกือบทำให้ฉันกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคน คุณกลับพูดแค่ไม่เจอกันตั้งนาน? คุณเป็นบ้ารึเปล่า ฉันอาจฟาดถูกคุณนะ!”
เกิ่งเนี่ยนถังก้มหน้ามองดูผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟยิ้มพลางกล่าว “ที่จริงแล้วผมเป็นห่วงว่าคุณจะออกแรงเหวี่ยงไม้กอล์ฟมากไปจนทำให้ตัวเองหงายหลังแล้วทำให้ไม้กอล์ฟหันมาฟาดใส่ตัวเอง เพราะงั้นเพื่อผม เพื่อตัวคุณและเพื่อความสงบสุขของทุกคน คุณช่วยวางไม้ลงก่อนได้มั้ย ผมขอเถอะ ผมชอบแว่นกรอบดำของคุณนะ ใส่แล้วน่ารักดี คุณสายตาสั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คุณอย่ามาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง! ฉันจะสายตาสั้นตั้งแต่เมื่อไหร่มันก็เรื่องของฉัน!” เธอเดือดจนอยากเอาไม้กอล์ฟเขวี้ยงใส่เขา แต่ที่เขาพูดก็มีความเป็นไปได้อยู่ เธอจึงโยนไม้กอล์ฟลงบนพื้น เข้าบ้านไปด้วยความเดือดจัด
“คุณจะมาหาฉันแบบไม่ให้ตั้งตัวอย่างนี้ทุกทีไม่ได้นะ”
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เธอนิ่งอึ้งไปก่อนจะหันมาหา ถามเขาว่า “บ้าจริง คุณบาดเจ็บมาอีกแล้วหรือ”
“เปล่า” พอเขาได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น “ผมเปล่าบาดเจ็บ”
เธอถอนใจโล่งอก ก่อนความโกรธจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งและเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”
เพราะกำลังโกรธและสติแตกกระเจิง เธอหันมาโวยวายใส่เขาขณะเดิน
“มองทางข้างหน้าสิ” เขาไม่ตอบคำถามเธอ เพียงยิ้มแล้วเดินตามก้นที่ส่ายอาดๆ ของเธอเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลัง
คำเตือนนี้ทำให้เธอหยุดเดินด้วยความโมโห หันไปผลักหน้าอกเขา พูดอย่างเคืองๆ ว่า “สามเดือน! ครั้งก่อนที่คุณมาแบบปุบปับคือเมื่อสามเดือนก่อน! ภายในสามเดือนนี้ฉันอาจจะมีแฟนแล้วก็ได้! เขาอาจเป็นตำรวจ! แล้วถ้าเขามีปืน เขาอาจจะยิงคุณตาย!”
แววตาเขาเครียดขึ้ง แต่มุมปากยังประดับยิ้มอยู่ ก้มมองหญิงสาวที่สวมแว่นตากรอบดำตรงหน้า
“คุณมีแล้ว?”
เธอมองเขา เม้มปากนิ่ง
“คุณมีแล้วหรือ” สายตาเขาตึงเครียด สบตาเธอตรงๆ รุกถาม “แฟนน่ะ”
“ไม่มี” เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ พูดต่ออย่างโกรธเคือง “ฉันไม่มี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณ…คุณจะทำอะไร”
อยู่ๆ เขาก็เข้ามาใกล้จนเธอตกใจถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง แต่เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนหลังเธอชิดผนัง
นัยน์ตาไหวระริกของเขามองมา ทำให้ใจเธอเต้นรัว รู้สึกร้อนซ่านไปทั่ว เธอเอามือยันอกเขาไว้แต่ไม่มีแรงที่จะผลักออก ทำได้แค่มองเขาด้วยความเขินอาย หน้าแดงจรดใบหู
“เกิ่งเนี่ยนถังคุณจะทำอะไร”
เขาคลี่ยิ้มมองเธอ แล้วก็ค่อยๆ พาดมือข้างหนึ่งขึ้นข้างหัวเธอ เสี่ยวหม่านเบิกตาโพลง หายใจถี่รัว ชั่วขณะหนึ่งเสี่ยวหม่านคิดว่าเธอควรหลบ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่เขาจับจ้องอยู่อย่างนี้ เธอไม่สามารถขยับตัวได้เลยและแทบจะหยุดหายใจ เหลือเพียงหัวใจที่เต้นรัวแรง
“ตกลงคุณยังไม่มีแฟนใช่มั้ย”
เธอเงยหน้ามองชายที่โน้มเข้ามาใกล้เธอ ริมฝีปากสีชมพูสั่นระริก
“…”
บ้าจริง เธอพูดไม่ออก เขาไม่ได้ปิดทางหนีเธอ แล้วก็ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเธอด้วยซ้ำ
เธอควรจะผลักเขาออก
แต่ในเวลานี้ร่างกายเธอเสียการควบคุม สติสัมปชัญญะทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ทั่วทุกตารางนิ้วล้วนสัมผัสถึงการมีอยู่ของคนตรงหน้า
เขาจ้องเธอ ค่อยๆ ก้มหัวลงช้าๆ ทีละนิดๆ ริมฝีปากแนบข้างหูเธอแล้วเอ่ยปากกระซิบเบาๆ
“เสี่ยวหม่าน…”
ความรู้สึกอ่อนแรงแผ่ซ่านมาจากใบหูขวา ทำให้ใจและร่างที่อ่อนปวกเปียกสั่นสะท้าน เธอหันหน้าหนี อยากจะถอยไปให้ไกลจากลมหายใจและเสียงของเขา แต่เธอกลับยังปรารถนาให้เขาเข้าใกล้
“คุณอยากคบกับผมมั้ย”