LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่2-บทที่3
บทที่ 3
แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
คนเคยชื่อ ‘ฌานนท์’ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่มุมอับภายในสวนเขียวครึ้มแทบจะกลืนกับความมืดนอกตัวร้านอาหารกึ่งผับอย่างสมบูรณ์ เขายกเบียร์ดำมาดไอริชขึ้นจิบพลางทอดสายตาผ่านผนังกระจกใสบานใหญ่ จ้องเพื่อนเก่าเกือบสี่สิบคนภายในร้านด้วยความรู้สึกสมเพช
โดยเฉพาะคนประเภทพริมา ไม่น่าเชื่อเลยว่ายิ่งได้เห็นแววตาสะท้อนความรู้สึกปั่นป่วนในใจเธอยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เมื่อครู่เขาเป็นคนกระซิบบอกเด็กเสิร์ฟให้ช่วยส่งสารถึงนักร้องหนุ่มบนเวทีเองว่ามี ‘ลูกค้าคนพิเศษ’ ในร้านอยากฟังเพลง ‘Don’t Look Back in Anger’ ของวงโอเอซิส ไม่คิดเลยว่าทั้งนักร้องและนักดนตรีจะถ่ายทอดอารมณ์เพลงออกมาได้ดีขนาดนี้ ดูสิ…พริมาน่าจะชอบมากจนปฏิกิริยาแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง กลายเป็นคนบื้อใบ้ทำอะไรไม่ถูกไปเลย
ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าพริมาจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเธอได้เข้ามาพลิกนิยามของคำว่า ‘ความรัก’ ในทัศนคติของเขาไปตลอดกาล
นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาเคยเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าความรักคือการอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าจะเผชิญอุปสรรคร้ายแรงแค่ไหนก็พร้อมจะฝ่าฟันและร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน
แต่เธอกลับย่ำยีความหมายดีๆ เหล่านั้นจนหมดสิ้น
ให้ตายเถอะ…พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ไม่สามารถฝืนกล้ามเนื้อมุมปากซึ่งกำลังวาดยิ้มเยียบเยาะอดีตอันปวดร้าวได้เลย ทำได้เพียงปล่อยกระแสสำนึกไหลคืนสู่เหตุการณ์หนึ่งเมื่อสิบปีก่อน…
วันที่ปอนด์ตราหน้าเขาว่าเป็น ‘ไอ้-ลูก-ขี้-ขโมย’
ทุกคำจากปากหมอนั่นจงใจเน้นย้ำทำให้อับอาย และแทนที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ จะแยกย้ายไปโรงอาหารในช่วงพักกลางวันอย่างที่ควรจะเป็น กลับล้อมวงรอชมความขัดแย้งระหว่างเขากับปอนด์ปะทุราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
เขาจำได้ว่าโกรธมากเพียงใด…โกรธจนพูดอะไรไม่ออก บอกตัวเองว่าอย่าสนใจคำพูดของคนปากพล่อย แต่ปอนด์กับพรรคพวกกลับไม่ยอมหยุด เห็นความทุกข์คนอื่นเป็นเรื่องสนุก เอาแต่ประสานเสียงหัวเราะอันน่าขยะแขยง
‘ไอ้ฌาน…มึงนี่ก็แปลก พ่อมึงจะโดนฟ้องอยู่รอมร่อ ยังมีหน้ามาโรงเรียนอีก โอ๊ย!!!’
เขาตัดสินใจปล่อยหมัดออกไปเต็มแรงจนปอนด์เซล้มไปกองกับพื้นในที่สุด หมอนี่…หมอนี่มีสิทธิ์อะไรมาว่าพ่อเขา เขาอดทนกับสายตาที่คอยหยามเหยียดมาตั้งแต่เช้าแล้ว หลังมันกับเพื่อนคนอื่นรู้ข่าวเรื่องพ่อเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขโมยความลับสินค้าตัวใหม่ของลูกค้าไปขายให้กับบริษัทอื่น
เขาทนไม่ไหว ตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อปอนด์ที่ยังนอนบนพื้น ‘ถ้ามึงไม่หยุดพล่าม กูจะฆ่ามึง!’
‘ดูมัน…ดูมันขู่กู’
คนล้มชี้หน้ามาที่เขาพลางหันไปเรียกร้องความสนใจจากคนมุงนับครึ่งร้อย ทว่าเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เตรียมกำนัลหมัดใส่หน้าปอนด์เพิ่ม แต่มือนุ่มของใครคนหนึ่งเข้ามาคว้ากำปั้นเขาไว้ได้ทัน เขาหันไปมองเจ้าของมือนั้นด้วยความรู้สึกฉุนเฉียว อีกเพียงนิดเดียว…หมัดหนักของเขาก็จะพุ่งใส่หน้าปอนด์ ไม่เข้าใจ…ทำไมต้องเข้ามาห้ามด้วย
‘ใจเย็นฌาน อย่าไปแลกกับมัน’ เพียงแพรจ้องเขาด้วยแววตาขอร้อง
‘แพรจะให้เราใจเย็นได้ไง ไอ้เวรนี่มันว่าพ่อเรา!’ เขาหมดสิ้นซึ่งความอดกลั้น นอกจากปอนด์แล้ว สายตาของเพื่อนร่วมห้องยังดูคล้ายรังเกียจและเหยียดหยันเขาเต็มกำลัง เพียงแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้นว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
‘การใช้กำลัง…ไม่ทำให้แกเอาชนะไอ้ปอนด์ได้หรอก’ เพียงแพรพยายามพูดโน้มน้าวเขาให้กลับมามีสติ ไม่ว่าจะวันนี้หรือเวลาไหน…เธอเปรียบดั่งมิตรแท้ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
แม้เพียงแพรจะยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าคนคนเดียวที่เขาเฝ้ามองหา ณ ห้วงเวลานั้นคือพริมา…
พริมาหายไปไหน ทำไมไม่โผล่มาปกป้องเขาเหมือนที่เพียงแพรกำลังทำ เขากวาดสายตาไปทั่วด้วยใจอันร้อนรน กระทั่งเห็นเธอยืนจ้องเขาจากอีกฟากฝั่งของระเบียงห้องเรียน เขาเพียรวิงวอนพริมาผ่านสายตา พยายามย้ำความจริงอย่างหนักแน่นกับเธอว่าเขาไม่ใช่ไอ้ลูกขี้ขโมย…พ่อของเขาไม่มีวันทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นแน่นอน เธอก็น่าจะรู้
แต่แววตาของพริมากลับสะท้อนจัด มองเขาเหมือนคนไม่เคยรู้จัก เจ็บเสียยิ่งกว่ามีดปักลงกลางใจ
อย่าไป…อย่าไปจากเขา… ความเศร้าแผดเผากลางอก แต่พริมากลับไม่สะทกสะท้านต่อคำร้องขอผ่านดวงตาของเขาเลย
เขารีบผละจากวงล้อมเพื่อนนักเรียน วิ่งเข้าไปคว้ามือเรียวทั้งสองของเธอมากุมแน่น แต่พริมากลับสะบัดทิ้งคล้ายรังเกียจ ไม่สนใจฟังรายละเอียดจากปากเขาเลยสักนิด ก่อนจะเดินจากไปราวกับไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกแล้ว ปล่อยให้เขาจมดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความรู้สึกสูญสิ้นพร้อมหัวใจที่แหลกสลาย น้ำตาพานเอ่อรื้นอย่างไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้
ยิ่งหันไปมองรอบๆ กาย สายตาหลากคู่ยังคงพุ่งตรงมาที่เขาเป็นทางเดียว สมัครสมานกลมเกลียวเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
พร้อมใจลงทัณฑ์ว่าเขาและพ่อนั้นเป็นคนเลว!
พริมาไม่อาจหยั่งลึกถึงก้นเหวที่ฌานนท์พลัดตกลงไปได้
ความจริงอันโหดร้ายคอยหลอกหลอน บั่นทอนสำนึกเธอมาตลอดนับตั้งแต่วันแรกที่เขาหายตัวไป ฌานนท์ลาออกจากโรงเรียนทั้งที่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมหกด้วยซ้ำ และนับตั้งแต่วันนั้นพริมาก็เอาแต่พร่ำโทษว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือเธอ…
เธอเป็นคนผลักไสเขาอย่างเห็นแก่ตัว
พริมาเงยหน้ามองภาพถ่ายสุดท้ายฉายชัดบนจอโปรเจ็กเตอร์ภายในร้าน เป็นภาพถ่ายที่ถูกบันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในช่วงชีวิตวัยรุ่นของเธอจะเกิดขึ้น
วันนั้นเป็นวันเปิดภาคเรียนแรกของชั้นมัธยมหก ความยินดีมากมายมาพร้อมกับความรู้สึกใจหาย เหลือเพียงปีเดียวเท่านั้น สมาชิกของห้องต้องถึงคราวแยกย้ายกันไปตามฝันในรั้วมหาวิทยาลัย ก้องภพเป็นต้นคิดอยากถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จึงนัดแนะทุกคนในห้องให้อยู่กันพร้อมหน้าที่สนามหญ้าหน้าเสาธงก่อนเข้าเรียนคาบแรก
ปกติแล้วฌานนท์เป็นคนไม่ค่อยยิ้มเท่าไร แต่วันนั้นเขายิ้มเพราะเธอขอไว้
“ฉัน…ไม่น่าพูดอย่างนั้นกับไอ้ฌานเลย”
น้ำเสียงของปอนด์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด สะกิดแผลเป็นของพริมา ไม่อยากเชื่อเลยว่าสิบปีที่ผ่านมา…เธอยังจำคำพูดของปอนด์ที่กล่าวหาฌานนท์ว่าเป็นไอ้ลูกขี้ขโมยได้ดีจนถึงทุกวันนี้
“ตอนนั้นพวกเรายังเด็กเกินไป ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกไอ้ฌานเลย” ก้องภพทอดถอนใจ มือขวาซึ่งกำไมโครโฟนค่อยๆ ตกลงข้างลำตัว ขณะยืนจ้องจอโปรเจ็กเตอร์บนเวที
อีกสิ่งหนึ่งที่พริมายังจำได้ขึ้นใจ ไม่ว่าสายตาของคนทั้งห้องจะมองฌานนท์อย่างไร เพียงแพรกลับเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดเคียงข้างเขา
ยิ่งเพียงแพรเอาแต่ยืนนิ่งถอนหายใจไม่พูดไม่จายิ่งทำให้พริมารู้สึกเหมือนตัวเองถูกเพื่อนรักตบหน้ากลางงานจนชาไปหมดทั้งร่าง วินาทีนั้น…เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเพียงแพร
“ไอ้ก้องนี่ไร้ประโยชน์จริงๆ เสียแรงที่เป็นถึงพิธีกรงานโรงเรียน”
เพียงแพรตำหนิก้องภพด้วยสุ้มเสียงเหนื่อยหน่าย คล้ายทนเห็นบรรยากาศงานเลี้ยงอันควรจะรื่นเริงแปรเปลี่ยนเป็นงานเศร้าสลดไม่ไหว หลังความเงียบขับไสเสียงหัวเราะไปหมดสิ้น พริมาได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของเพื่อนรักดังชัดในโสตสัมผัสขณะก้าวขึ้นบนเวที พอเธอเงยหน้าอีกทีก็เห็นว่าเพียงแพรยึดไมโครโฟนไปจากก้องภพแล้ว
“กลับเข้าสู่บรรยากาศแห่งความครึกครื้นอีกครั้ง ไหนๆ วันนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เป็นโอกาสดีที่ฉันจะประกาศข่าวดีให้ทุกคนทราบ”
เพียงแพรเท้าสะเอวเรียกความมั่นใจ ไม่ว่าจะยืนท่าไหนก็น่ามองไปหมดสำหรับพริมา ริมฝีปากอวบอิ่มเผยยิ้มกริ่มซ่อนความนัย ราวกับอยากเปิดเผยให้ใครต่อใครทราบข่าวดีที่ว่านั้นเต็มทน
“ฉัน-ขาย-ออก-แล้ว”
“ขายออก?” ก้องภพถึงกับพูดไม่ออก “อย่าบอกนะว่า…”
“ใช่ เข้าใจถูกแล้ว ฉัน…กำลังจะแต่งงาน”
การแก้ไขสถานการณ์ของเพียงแพรได้ผล อดีตสมาชิกห้อง ม.6/2 ต่างตกตะลึง หันมาสนใจคนที่เพิ่งประกาศออกไปว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นเจ้าสาว
ในฐานะที่คบหากันมานานพริมาประหลาดใจอย่างมาก เหตุใดเพียงแพรไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ล่วงหน้า แม้จะรู้ดีว่าเพียงแพรกำลังคบหากับใคร แต่อีกใจเธอกลับคิดว่าดีไซเนอร์สาวตั้งใจพูดเล่นเพื่อดึงบรรยากาศงานเลี้ยงรุ่นกลับคืนสู่ปกติมากกว่า
“พูดเป็นเล่นน่า” ก้องภพพูดแทนใจพริมา หัวเราะร่าเหมือนไม่อยากเชื่อ “ใครจะเอาแกวะไอ้แพร”
แต่เพียงแพรกลับหันขวับจ้องก้องภพราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ไอ้นี่ มีก็แล้วกันน่า”
“มีตัวตนจริงรึเปล่าเนี่ย” ก้องภพเย้าต่อ “ไม่ควงมาโชว์เพื่อนโชว์ฝูงหน่อยวะ”
ก้องภพสบประมาทได้ไม่ทันไร เพียงแพรก็เชิดหน้าใส่คล้ายเป็นผู้กำชัยชนะ พยักพเยิดไปที่ประตูร้าน ส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมห้องหันไปมองใครบางคน
พริมาฉงนว่าเพียงแพรจะมาไม้ไหน แต่พอหันไปมองกลับพบว่าร่างสูงคุ้นตากำลังยืนท้าทายสายตาคนครึ่งร้อย
“กริช” พริมาพึมพำชื่อเขาออกมา
ว่าที่เจ้าบ่าวของเพียงแพร…คือผู้ชายคนนี้ไม่ผิดแน่
แม้จะน้อยใจเพียงแพรนิดๆ ที่ไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้เป็นคนแรก แต่สุดท้ายพริมาก็อดยินดีกับเพื่อนรักไม่ได้ ในที่สุดเพียงแพรก็ได้มีความสุขกับคนที่เธอรักและรักเธออย่างหมดหัวใจเสียที จะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้ ‘ผู้ชายบางคน’ ที่เห็นเธอเป็นของไร้ค่าอีกต่อไป
“จะไม่มีงานแต่งบ้าบออะไรทั้งนั้น!”
เสียงห้าวลึกของใครอีกคนดังขึ้น เรียกความสนใจจากทุกสายตารวมถึงพริมา
ใครกันอีกล่ะคราวนี้ หญิงสาวสับสนมึนงงไปหมด ตกลงแขกรับเชิญของเพียงแพร…ไม่ได้มีแค่ว่าที่เจ้าบ่าวเพียงคนเดียวหรอกหรือ
“เราไม่มีทางให้แพรแต่งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น!” ร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าคมคายเดินเข้ามาใกล้เวที
สุ้มเสียงถือดีของผู้มาใหม่ก่ออคติในใจพริมา เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือ…
“แทน…”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของเขาจากปากเพียงแพร พริมาก็ถึงบางอ้อ ผู้ชายคนนี้คือคนรักเก่าของเพียงแพรไม่ผิดแน่…คนที่เห็นเพียงแพรเป็นแค่ของตาย
ชื่อจริงของเขาคืออินทัช เธอจำได้แม่นทีเดียว
พริมาได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขามากพอสมควร เมื่อสี่ปีก่อน…เพียงแพรไปเรียนต่อสาขาแฟชั่นดีไซน์ไกลถึงนิวยอร์ก และได้พบกับอินทัชซึ่งทำงานในวงการออกแบบเช่นกัน แต่เป็นวงการใดนั้นพริมาไม่ได้ใส่ใจจำนัก ทันทีที่เพียงแพรและอินทัชต่างรู้ว่ามีใจให้กัน ทั้งสองจึงขยับความสัมพันธ์จากคนรู้จักมาเป็นคนรู้ใจภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน
ความรักของทั้งคู่ดูราบรื่นดี ทันทีที่เรียนจบ…เพียงแพรปฏิเสธคำชวนของผู้อำนวยการแฟชั่นแบรนด์ดังในอเมริกาให้ไปร่วมงานในฐานะดีไซเนอร์ ตัดสินใจบินกลับมาเปิดร้านสร้างแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นตามความฝันของตัวเองที่กรุงเทพฯ
แน่นอนว่าอินทัชคัดค้านความคิดของเพียงแพรอย่างหนัก และอยากให้อยู่ด้วยกันที่นิวยอร์ก เพียงแพรเล่าให้พริมาฟังอย่างนั้น จนพริมาอดชังคนรักของเพื่อนสนิทไม่ได้ ผู้ชายอะไร…ขัดขวางความฝันของคนรัก ทุกครั้งที่ได้ยินชื่ออินทัช พริมามักรู้สึกได้ว่ามีกำแพงหนากั้นกลางระหว่างเธอกับเขา ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน
ทว่าระยะทางอันห่างไกลทำให้ความสัมพันธ์ของเพียงแพรและอินทัชอยู่ในภาวะลุ่มๆ ดอนๆ กระทั่งเพียงแพรปั้นแบรนด์ปา-รีจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เธอตัดสินใจบินไปเซอร์ไพรส์อินทัชกลางงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จเรื่องงานที่อพาร์ตเมนต์ของเขาในนิวยอร์กเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่กลับเป็นเพียงแพรเสียเองที่โดนเซอร์ไพรส์ ถูกอินทัชสวมเขาให้ไม่รู้ตัว
เพียงแพรกลับมาเล่าให้พริมาฟังทั้งน้ำตา เพราะภาพบาดตาที่เพียงแพรเห็นนั้น…คือภาพอินทัชกำลังกอดจูบกับผู้หญิงคนอื่นอย่างดูดดื่มบนเตียงในห้องนอน!
“แพร…เรากลับมาคบกันได้ไหม”
พริมาไม่เข้าใจ ทำไมอินทัชถึงพูดจาเว้าวอนด้วยน้ำเสียงเห็นแก่ได้แบบนี้ เพียงแพรต้องทนเจ็บช้ำน้ำใจเพราะความไม่รู้จักพอของเขามากแค่ไหน เขาลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าทำอะไรกับเพื่อนสนิทเธอไว้บ้าง
กำปั้นของกริชว่องไวได้ดั่งใจพริมา เขาเหวี่ยงหมัดหนักไปที่ปลายคางอินทัชจนล้มลงไปกองกับพื้น พริมาไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงได้สะใจเล็กๆ เมื่อเห็นกริชฉุนขาด ขณะเข้าไปกระชากคอเสื้ออินทัชอย่างไม่พอใจ
“ไอ้แทน…แกมันเห็นแก่ตัว!”
พริมาเห็นด้วยกับทุกคำที่กริชเปล่งออกมา ถึงน้ำเสียงของอินทัชจะฟังดูหนักแน่นและจริงจังแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น เพราะคนที่เพียงแพรกำลังจะแต่งงานด้วยคือกริช…ไม่ใช่เขา!
อินทัชขบกรามแน่น จ้องกริชด้วยสายตาขุ่นขวาง แกะมือหนาที่กำคอเสื้อเขาแน่นออกอย่างเหลืออดแล้วผลักไปให้พ้นตัว ก่อนยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น
“เรื่องของฉันกับแพร แกอย่ามายุ่งไอ้กริช”
“คุณต่างหากที่อย่าเข้ามายุ่ง!” ถึงคราวที่พริมาต้องออกโรงปกป้องเพียงแพรกับกริชบ้าง หลังจากทนมองอินทัชมาได้สักพัก หญิงสาวเห็นเจ้าของดวงตาคมกริบหันมาจ้องเธออย่างคาดโทษ ประกายตากรุ่นโกรธอัดแน่นไปด้วยคำถามมากมาย
“คุณเป็นใคร” น้ำเสียงของอินทัชราบเรียบแต่เอาเรื่อง
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเป็นใคร” พริมาตอกกลับพลางเอาตัวเข้าไปขวางเพียงแพร ไม่ให้อินทัชเข้าใกล้ “กลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคุณ”
“หลีกไป”
พริมาถอนหายใจ “ดูเหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้กับเพื่อนฉันบ้าง เลิกกันแล้วจะมายุ่งกันอีกทำไม จำไว้ซะ…คนที่แพรรักคือกริช ไม่ใช่คุณ!”
ดูเหมือนอินทัชจะไม่สนใจคำพูดของพริมาเลยแม้แต่นิด เขาผลักเธอจนเซแล้วเข้าไปคว้าข้อมือเพียงแพร แต่เพียงแพรขืนข้อมือไว้ ไม่ยอมให้เขาแตะต้อง แถมยังมองตอบอินทัชด้วยสายตารังเกียจ ไม่กี่อึดใจ…กริชปราดเข้ามาประคองร่างว่าที่เจ้าสาวไว้แน่น แสดงความเป็นเจ้าของให้อินทัชเห็นเต็มสองตา
“แทน…ฟังนะ เรากับกริชกำลังจะแต่งงานกันจริงๆ และกริชคือคนที่เราจะรักตลอดไป เพราะเราเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ เหมือนอย่างที่แทนเคยทำกับเรา”
อินทัชจ้องเพียงแพรราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน พริมาเห็นริมฝีปากหยักลึกของเขาสั่นระริก เฝ้าพึมพำคำเดิมซ้ำๆ
“ไม่จริง…ไม่จริง…ไม่จริง…”
หลังจากเหตุการณ์อินทัชบุกร้านอาหารกึ่งผับหมายชิงตัวเพียงแพรคืนจากกริชเมื่อสัปดาห์ก่อน พริมาไม่คิดเลยว่าเธอจะได้กลับมานั่งที่ร้านนี้อีกครั้ง เพื่อรับฟังเรื่องจริงชวนประหลาดใจจากปากอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หู
“โทษทีนะพริม” หนุ่มยิ้มแห้งให้เธอ “พอดีพี่ต้องไปเรียนต่อกราฟิกดีไซน์ที่แคลิฟอร์เนียน่ะ”
พักหลังพริมาชักจะเกลียดเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะทำให้เธอไม่มีโอกาสได้ตั้งหลักรับมือกับมันล่วงหน้า คราวก่อนเพียงแพรเพิ่งประกาศว่าจะแต่งงานกับกริชไปแท้ๆ แล้วนี่อะไร…อาร์ตไดเร็กเตอร์คู่ใจกำลังจะจากเธอไปอีกคนหรือนี่
“หมายความว่าพี่หนุ่มจะอยู่ทำงานกับเราไม่ถึงสองสัปดาห์งั้นเหรอ” วอแวนั่งนับนิ้วคำนวณเวลา ก่อนจะตระหนักรู้ว่าการลาออกของหนุ่มมีผลในสิ้นเดือนนี้ “อะไรกันพี่ คิดจะไปก็ไป ไม่ถงไม่ถามเรื่องสุขภาพซ้ากคำ”
“ขอโทษจริงๆ ว่ะ” หนุ่มยิ้มอย่างรู้สึกผิดอีกครั้งที่เพิ่งบอกข่าวนี้ให้คนในทีมรู้
ภูมิคุ้มกันเรื่องการลาจากอย่างกะทันหันของพริมานั้นบกพร่องมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะเข้าใจดีว่าโลกเรานี้มีพบก็ย่อมมีจาก แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้ “ขอโทษทำไมพี่หนุ่ม โรงเรียนออกแบบโฆษณาที่แคลิฟอร์เนียคือความฝันของพี่เลยนะ”
“สงสัยกลับมาอีกที…ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าครีเอทีฟเหมือนพี่ตระการแน่” ชินทรยอจนหนุ่มกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว ยกมือไหว้บอกสาธุ ขอให้เป็นอย่างที่ครีเอทีฟรุ่นน้องว่าด้วยเถิด
“แล้วงานนี้ใครจะมาเป็นอาร์ตไดฯ คู่ไอ้พริมแทนพี่หนุ่มฮะ” คำถามของวอแวสุดแสนจะตรงใจพริมา พนันได้เลยว่าไม่มีใครอยากรู้เรื่องนี้ไปมากกว่าเธออีกแล้ว
พี่ตระการยิ้มราวกับรู้แจ้งแก่ใจ แต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ กลืนความลับลงคอไปพร้อมกับเบียร์รสนุ่ม พริมาจึงหันไปสบตาขอคำตอบจากหนุ่มแทน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้จริงๆ
หญิงสาวจึงได้แต่ถอนหายใจ จินตนาการไม่ออกว่าอาร์ตไดเร็กเตอร์ใหม่ที่จะเข้ามาเป็น ‘คู่ชีวิต’ เรื่องงานนั้นเป็นคนแบบไหน จะทำงานเข้าขากับเธอได้ดีหรือไม่ เธอขอรู้ล่วงหน้าสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ
“โทษที พี่แค่อยากเซอร์ไพรส์พวกเรานิดหน่อย”
เซอร์ไพรส์? เซอร์ไพรส์อีกแล้ว พริมาไม่ชอบคำพูดนี้ของคนเป็นหัวหน้าทีมเลย
“แต่วางใจเรื่องฝีมืออาร์ตไดฯ คนใหม่ได้เลย งานนี้ไม่มีคำว่าผิดหวังแน่นอน” พี่ตระการรับรอง
“พูดให้อยากแล้วจากไปอีกแล้ว” ท่าทีวอแวดูอยากรู้อยากเห็นไม่ต่างจากเธอ “เดี๋ยวผมจัดการมอมพี่ตระการเองคืนนี้ แล้วความลับ…จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป”
ชินทรร้องถุยสรรเสริญน้ำใจของวอแว “แหม กล้าพูดนะไอ้แว แกเนี่ยนะจะมอมพี่ตระการ? ไอ้บ้า ดื่มให้ถึงห้าแก้วก่อนเหอะ แล้วค่อยมาพูดกัน”
พริมาพึมพำ “มีหวังชาตินี้ไม่ได้รู้กันพอดี” เธอรู้ดีว่าก๊อปปี้ไรเตอร์หนุ่มรายนี้ครองตำแหน่งคออ่อนไร้ผู้ท้าชิงมาหลายสมัยแล้ว วอแวทำเสียงจุปาก ส่งสายตามาที่พริมาอย่างขัดใจ สื่อความนัยว่าไม่เห็นต้องซ้ำเติมกันเลย
และแล้วครีเอทีฟทั้งห้าก็เริ่มขุดเรื่องชวนหัวในวันเก่าๆ ขึ้นมาเล่าอย่างออกรส โดยเฉพาะความเอาแต่ใจของ ‘ลูกค้าผู้น่ารัก’ จนต่างคนต่างต้องงัดกลยุทธ์ออกมารับมือสารพัด ชั่วโมงนั้น…เสียงร้องพ่นไฟของนักร้องหญิงเสียงดีบนเวทีแทบไร้ความหมาย ไม่มีใครสนใจฟังด้วยซ้ำ มัวแต่นั่งขำเหมือนคนบ้า พริมายกมือขึ้นกรีดน้ำตา เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมทีม…หญิงสาวรู้สึกได้ว่าช่างมีค่ายิ่งกว่าทอง เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เธอหัวเราะอย่างคนมีความสุข ปล่อยให้เรื่องทุกข์ใจหลับใหลไปชั่วขณะ
เบียร์สดรสนุ่มพร่องไปสามทาวเวอร์แล้ว พี่ตระการชวนชินทรกับหนุ่มออกไปรับลมเย็นดูดบุหรี่สักมวนสองมวนตรงสวนนอกร้าน ทิ้งวอแวให้ฟุบหลับไปกับโต๊ะหลังดื่มเบียร์หมดไปเพียงสามแก้ว
พริมาได้แต่มองวอแวอย่างอ่อนใจก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ คืนนี้เธอดื่มไปเยอะเหมือนกัน หนุ่มเล่นรินเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าส่งให้ไม่ยั้ง เพราะรู้ดีว่าเธอนั้นเป็นหญิงแกร่ง คอแข็งไม่เป็นสองรองใคร
เป็นไปได้ไหมว่าเธอเริ่มมึนนิดๆ แล้ว พริมาพยายามพาตัวเองเดินไปห้องน้ำหลังร้าน ทว่าเดินพ้นโต๊ะไปได้ไม่กี่สิบก้าว หญิงสาวกลับรู้สึกได้ถึงแรงปะทะของใครคนหนึ่งจากด้านหลัง…ใครคนนั้นทิ้งน้ำหนักทั้งตัวมาที่เธอราวกับหมดแรง จนพริมาเซล้มลงไปกองกับพื้น
อย่างแรกที่พริมารู้ในตอนนี้คือ…เจ้าของร่างหนักน่าจะเป็นผู้ชาย เขานอนคว่ำหน้าเหมือนคนหมดสติทับแขนซ้ายของเธอ กลิ่นเหล้าและบุหรี่แรงจัดจนอยากจะอาเจียน พริมาใช้มือขวาดันร่างอันหนักอึ้งออกจากแขนอย่างยากลำบาก แล้วยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น หันไปเรียกเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะ แต่ลืมไปเสียสนิทว่าวอแวกำลังหลับลึกขั้นสุด ใช้วิธีปลุกด้วยการผลักจนล้มจากเก้าอี้เพื่อให้แรงโน้มถ่วงทำงานแบบในภาพยนตร์เรื่อง ‘Inception’ ก็ไม่น่าจะตื่น ยังดีที่เด็กเสิร์ฟสองคนรีบวางขวดเบียร์และจานกับแกล้มบนโต๊ะใกล้ๆ ตรงเข้ามาช่วยเธออย่างรวดเร็ว ผิดกับลูกค้าคนอื่นๆ ซึ่งหันมามองเธอด้วยประกายตาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้ล้มตึงลงไปจูบพื้น
เด็กเสิร์ฟทั้งสองช่วยกันประคองร่างสูงโปร่งไร้สติจนคอพับไปยังโต๊ะที่เขาน่าจะนั่งอยู่ การจัดแสงไฟของร้านชนิดที่เรียกว่าอีกนิดเดียวก็เข้าขั้นมืดทำให้พริมาไม่ใส่ใจพินิจใบหน้าคนเมาอย่างละเอียดนัก ไม่มีทางใช่คนรู้จักแน่นอน…เธอคิดอย่างนั้น กระนั้นพริมาก็ไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงยังเดินตามเขามาที่โต๊ะ แทนที่จะไปเข้าห้องน้ำตามความตั้งใจแรก อาจเพราะเธอห่วงเด็กเสิร์ฟทั้งสอง เนื่องจากคนเรา…เวลาเมาจนขาดสติน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจนกลายเป็นภาระของคนช่วยประคองได้
“ไม่จริง…ไม่จริง…”
พริมามองแผ่นหลังของร่างสูงซึ่งกำลังถูกหิ้วปีกทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เสียงละเมอของเขาเจือรอยร้าวเหมือนคนผจญเรื่องเศร้าเคล้ายากเย็นเข็ญใจ เขาไปเจอเรื่องอะไรมาถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้ วิสกี้ขวดใหญ่บนโต๊ะเหลือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าเขาดื่มส่วนที่หายไปทั้งหมดนั้นเพียงคนเดียว
“ไม่เอา…แพร…อย่าไป…”
พริมาประหลาดใจเข้าไปอีกขั้น มีคนตั้งมากมายใช้ ‘แพร’ เป็นชื่อเล่น เขาคงไม่ได้หมายถึงเพียงแพรเพื่อนของเธอใช่ไหม แล้ววลีขอร้องว่า ‘อย่าไป’ เล่า…หมายความว่าอย่างไร
เป็นไปได้ไหมว่าความบังเอิญจะเล่นตลกร้ายกับเธอเข้าแล้ว
เด็กเสิร์ฟทั้งสองค่อยๆ วางร่างสูงของคนเมาบนโซฟาหนังตัวยาวแล้วเดินพ้นไป ทันทีที่เห็นใบหน้าเขาเต็มตาพริมาถึงกับขนลุกไปทั่วร่าง ก่อนจะสบถในใจว่านี่มันวันซวยอะไรของเธอ ถึงได้มาเจอเขาอีกครั้งที่นี่!
เปลือกตาอินทัชค่อยๆ ขยับเปิด เผยดวงตาคมอมทุกข์ พริมาบอกตัวเองให้รีบหมุนตัวออกไปจากตรงนี้ทันที ก่อนที่เขาจะเห็นเธอ
“แพรเหรอ”
ไม่ทันแล้ว เขาเห็นเธอเป็นเพียงแพรเข้าแล้ว ยังไม่ทันที่พริมาจะหนี หญิงสาวพลันรู้สึกได้ถึงมือหนาของอินทัช เขาคว้ามือเธอไว้ แล้วกระชากเต็มแรงจนเธอเซลงไปนั่งบนโซฟาข้างกาย กลิ่นเหล้าซัดเต็มจมูกเธอจนแทบทนไม่ไหว
“แพรจริงๆ ด้วย”
“ฉันไม่ใช่แพร!”
อาจเป็นเพราะพริมาตอบเขาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด อินทัชจึงหรี่ตาพิจารณาดวงหน้าของเธอเป็นพิเศษ กระทั่งตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เพียงแพรอย่างที่บอก ใบหน้าคมคายที่สัปดาห์ก่อนยังดูหล่อสะอาดตากว่าวันนี้จึงสลดลง ความหม่นหมองคืบคลานทุกพิกัดบนนัยน์ตาสีน้ำตาล
“แพรล่ะ…แพรอยู่ไหน” สุดท้ายเขาก็ไม่วายถามถึงเพื่อนเธอ
“ไม่ได้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
“แพร…ต้องส่งคุณ…มาง้อผมแน่ๆ”
ไปกันใหญ่แล้ว พริมาลอบกลอกตา ชักระอาเสียงพูดคางยานนั่น “เพ้อเจ้อ ฉันแค่บังเอิญมาเจอคุณที่นี่ อีกอย่าง…แพรเขาไม่สนหรอกว่าคุณจะทำอะไร หรืออยู่ที่ไหนกับใคร”
“ไม่จริง แพรยังรักผมอยู่”
“นี่…รู้ตัวหรือเปล่าว่าเมาหนักขนาดไหน?!”
อินทัชนิ่งไปราวกับเริ่มประเมินตัวเองอย่างที่พริมาถาม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ฉุดความสามารถในการตอบคำถามของเขาให้ช้าลงต่างหาก คงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าพริมาถามอะไร แถมยังมีหน้ามาถามต่ออีกว่า
“แล้วนี่คุณ…ตามผมมาทำไม”
พริมาไม่สนใจอธิบาย เธอพยายามขืนข้อมือตัวเองจากมือหนาของเขา แต่อินทัชกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ
“นี่ ปล่อยนะ!”
“ไม่ปล่อย จนกว่าคุณจะยอมรับว่าแพรส่งคุณมา”
พริมาชักโมโห เธอรวบรวมพลังกายทั้งหมดสลัดข้อมือจนหลุดจากการเกาะกุม แล้วลุกพรวดจากโซฟาทันที จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร เพราะตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น เพียงแพรไม่พูดชื่อเขาให้เธอได้ยินเลยสักครั้ง สิ่งที่พริมารับรู้เกี่ยวกับเพื่อนรักมีแต่เรื่องการจัดเตรียมงานแต่งงานซึ่งจะมีขึ้นภายในเร็ววันนี้ ช่วยกริชออกแบบการ์ดเชิญแขกมาร่วมงาน ขณะที่ชุดเจ้าสาวและเจ้าบ่าว…เพียงแพรหมายมั่นปั้นมือลงแรงออกแบบและตัดเย็บด้วยตัวเอง
“ผม…ไม่มีวันยอมแพ้เรื่องแพรง่ายๆ แน่” อินทัชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนพริมาชะงักทั้งที่ยังไม่ทันก้าวออกจากตรงนั้นด้วยซ้ำ
“แพรไม่มีวันกลับมาหาคุณแน่นอน คืนนั้นคุณก็เห็น…ว่าแพรกับกริชเขารักกันมากแค่ไหน”
พริมาสัมผัสได้ว่าแววตาอินทัชฉายชัดถึงความปวดร้าวเพียงใด บางทีเขาอาจจะเสียใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต และอาจจะรักเพียงแพรมากกว่าที่เธอคิดก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าพริมาจะพยายามคิดเข้าข้างเขาเพียงใด…หญิงสาวกลับสงสารเขาไม่ลง เพราะสิ่งที่เขาเคยทำกับเพียงแพรนั้น มันโหดร้ายเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหว
“คุณเลิกหวังในตัวแพรเถอะ”
“…”
“ฉันรู้ว่ามันยาก แต่ก็พยายามหน่อยละกัน”
“ผมก็แค่…อยากได้โอกาส”
พริมานิ่งงัน เพราะสิ่งที่อินทัชต้องการนั้นคือสิ่งเดียวที่เธอต้องการจากฌานนท์เช่นกัน
ในตอนนั้นพริมาได้แต่หวังว่าสักวัน…อินทัชจะเจอผู้หญิงคนใหม่ที่เขารักจริง
เพราะนี่อาจเป็นความห่วงใยเดียวที่เธอพอจะมอบให้เขาได้