LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่6-บทที่7
บทที่ 6
เราสองคน…ไม่เคยมีอดีตร่วมกัน
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อินทัชผู้พร่ำบ่นกับพริมาตั้งแต่วันเริ่มงานว่าอยากเปลี่ยนคู่ใจจะขาดจำต้องยอมสงบศึกกับเธอชั่วคราวเพื่อให้การผลิตไอเดียโฆษณาลุล่วงไปด้วยดี แต่ทั้งคู่ก็ไม่วายมีปากเสียงกันลั่นห้องจนเป็นที่ตกตะลึงของเพื่อนร่วมแผนกครีเอทีฟ
ประเด็นคู่หูข้าวใหม่ปลามันไม่ลงรอยกันนั้นร้อนไปถึงหูนายใหญ่ คุณศักดาจึงตัดสินใจเรียกพริมากับลูกชายของเขามาตำหนิพร้อมยื่นคำขาด หากยังทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นขอแยกทาง จะไล่ให้ไปเตะฝุ่นหน้าตึกโชว์ทุกคน ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู พริมาจึงได้แต่เหลือบมองอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มด้วยหางตา เห็นทีจำต้องยอมรับสภาพถูกคลุมถุงชน…อยู่เป็นคู่เวรคู่กรรมกับอินทัชต่อไป
กระทั่งวันแข่งขันนำเสนอแคมเปญโฆษณารถไฟฟ้าของบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์เดินทางมาถึง พริมาและอินทัชเข้ามานั่งรอในห้องประชุมได้พักใหญ่ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นตอนสิบโมง หญิงสาวสังเกตเห็นความเคร่งเครียดปรากฏบนใบหน้าอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่ม โดยเฉพาะหัวคิ้วขมวดมุ่นเหนือดวงตาคมขรึมซึ่งอัดแน่นไปด้วยความกังวลใจขณะจ้องหน้าจอแท็บเลตทบทวนเนื้อหาแคมเปญที่ตระเตรียมมาอย่างดี
จะว่าไปแล้วพริมาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างกัน เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอต้องนำเสนองานคู่กับอินทัชตามคำสั่งของคุณศักดาซึ่งกำลังยืนสนทนาด้านหน้าเวทีกับประธานเอเจนซี่ไฟน์เดย์…หนึ่งในคู่แข่งบนสังเวียนพิชิตใจลูกค้าเจ้าใหม่
หญิงสาวสูดหายใจลึกเรียกความมั่นใจ ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ เธอไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวใช่ไหมว่าเวลามันเดินเร็วผิดปกติ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า…ทุกอย่างจะเริ่มขึ้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบทสรุปของความเหนื่อยยากตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ของเธอกับอินทัชจะจบลงเช่นไร เป็นความหอมหวานที่เธอเฝ้าภาวนาหรือไม่ ใครนะจะพอบอกใบ้ล่วงหน้าได้บ้าง
ขณะที่พริมาพยายามระงับความฟุ้งซ่านในหัว เธอกลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตูบานหนักของห้องประชุม เมื่อเห็นว่าเป็นร่างสูงของผู้บริหารเอเจนซี่คุ้นตารุ่นราวคราวเดียวกับคุณศักดาเดินนำลูกทีมอีกห้าคนอย่างองอาจ พริมาสังหรณ์ใจประหลาดว่าไม่แคล้วเกิดการฟาดฟันทางวาจาชนิดเลือดสาดระหว่างเขาคนนั้นกับคุณศักดาเป็นแน่
“ว้าว นึกว่าใคร ที่แท้ก็ศาสดานี่เอง!” น้ำเสียงประชดประชันของผู้มาใหม่เปิดฉากเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องเป็นตาเดียว
“แน่ล่ะ งานน่าสนใจขนาดนี้ แอดดิกต์จะพลาดได้ยังไง ไม่ยักรู้ว่านอกจากไฟน์เดย์แล้ว จะมีแอคต์แพลเน็ตร่วมแข่งด้วย ไม่ได้ยินชื่อเอเจนซี่นี้มานานเหมือนกันแฮะ นึกว่าล้มหายตายจากไปแล้วเสียอีก” คุณศักดากระตุกยิ้มเยียบข่มอีกฝ่าย
“นานทีเดียวกว่าแอคต์แพลเน็ตจะกลับมายืนได้อีกครั้ง ความรู้สึกของการตายแล้วเกิดใหม่เป็นแบบนี้นี่เอง แอดดิกต์น่าจะลองดูบ้างนะ จะได้รู้ว่ามันยอดเยี่ยมขนาดไหน”
“กว่าจะถึงวันนั้น แอคต์แพลเน็ตอาจจะตัดหน้าเป็นฝ่ายลงหลุมก่อนอีกรอบก็ได้ ใครจะไปรู้”
“แหม อดใจรอให้ถึงวันนั้นแทบไม่ไหว” ประธานแอคต์แพลเน็ตที่ชื่อธนาทำปากคว่ำเหยียดการตอกกลับของคุณศักดา “อ้อ พอดีเพิ่งนึกออก ต้องขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปงานวันเกิดแอดดิกต์ เสียดายจริงๆ ได้ยินมาว่ามีของดีของเด็ดโชว์ในงานด้วยนี่”
คุณศักดาชะงักค้าง นัยน์ตาพญาเหยี่ยวขุ่นขวางขึ้นทันที แม้จะกัดฟันเอ่ยเสียงเบาเท่ากระซิบ แต่พริมาก็พอได้ยินว่าเขาพูดอะไร “หรือว่า…คนส่งของพรรค์นั้นมาที่งานจะเป็นแก…ธนา”
เจ้าของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตระเบิดเสียงหัวเราะ ไม่ยอมตอบคำถามของอีกฝ่าย เลือกเดินเลี่ยงไปนั่งตรงกลางโซฟายาวซึ่งจัดเตรียมไว้รับรองผู้บริหารเอเจนซี่หน้าเวทีด้วยสีหน้าสบายล้ำในอารมณ์ บีบให้คุณศักดาเลือกว่าจะนั่งฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาของเขา
จนถึงตอนนี้พริมาพอจะรับรู้ได้ว่าทั้งสองไม่น่าจะผิดใจกันเหมือนลิ้นกับฟันทั่วๆ ไป
แต่จู่ๆ หญิงสาวกลับคิดเตลิดไกล บางที…อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน
ยิ่งอดีตเหล่านั้นคอยตามหลอกหลอน พริมายิ่งรู้สึกคล้ายจะวิงเวียน ไม่อาจควบคุมภาพเก่าๆ ที่เอาแต่ตีกลับสลับไปมาในหัวเหมือนม้วนวิดีโอเก่าใกล้พัง ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเรื่องราวเหล่านั้นยังคงแจ่มชัดทุกความรู้สึก เธอพยายามฝืนตัวเองไม่ให้นึกถึงใบหน้าอันเศร้าสลดของฌานนท์ แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่อเขายังคงเวียนวนก่อตัวเป็นวงกตแน่นหนามองไม่เห็นทางออก ได้แต่บอกตัวเองว่าสิ่งเดียวที่คนไร้ความสามารถอย่างเธอทำได้ดีคือการยอมแพ้… ปล่อยให้ฌานนท์รังแกด้วยการฝังตัวตน เอาคืนเธอในความทรงจำต่อไปเถิด
เพราะนี่คือหนทางเดียวที่เธอพอจะชดใช้ให้เขาได้
ยังไม่ทันที่พริมาจะสลัดความรู้สึกหดหู่ไปจากใจ บานประตูห้องประชุมใหญ่พลันถูกเปิดกว้างอีกครั้ง คนแรกที่เดินนำเข้ามานั้นพริมาจำได้ดีว่าคือวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ หลังเธอทำการบ้านเปิดเว็บไซต์ค้นหาศึกษาประวัติเขาเมื่อวาน ส่วนผู้บริหารระดับรองอีกสองคนที่เดินตามวิวัฒน์มา หนึ่งในนั้นคือพงษ์เทพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด พริมาได้ยินจากบารมีว่าเขานี่แหละที่เป็นคนเลือกทั้งสามเอเจนซี่มาร่วมแข่งขันกันในวันนี้
“มากันครบทุกฝ่ายแล้วนะครับ ทั้งผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์และเอเจนซี่ทั้งสาม หลังจากผมได้บรีฟโจทย์ให้ทุกท่านทราบไปแล้วก่อนหน้านี้ หวังว่าทุกท่านจะเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อนำเสนอแคมเปญดีๆ ให้เราพิจารณา และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขออนุญาตเริ่มการพิตชิ่งนำเสนอแผนโฆษณารถไฟฟ้านับตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ…” พงษ์เทพถือโอกาสเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ “โดยเราจะจับสลากเพื่อจัดลำดับว่าเอเจนซี่ไหนจะได้นำเสนอเป็นลำดับที่หนึ่ง สอง และก็สามนะครับ”
พนักงานสาวคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ถือโถแก้วไปให้ผู้บริหารเอเจนซี่ทั้งสามจับลูกบอลขนาดเท่าลูกเทนนิสคนละลูก แล้ววางลงบนแท่นที่เตรียมไว้เพื่อความยุติธรรม พริมารู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องชวนระทึกใจอย่างยิ่ง ราวกับมีมือกลองอาชีพกำลังใช้ไม้รัวกลองชุดข้างๆ เธอ
“และเอเจนซี่ที่จะได้พรีเซนต์เป็นทีมที่สาม คือ…”
แอดดิกต์…แอดดิกต์…แอดดิกต์…พริมาภาวนาให้เป็นชื่อนั้น
“ไฟน์เดย์!” พงษ์เทพขานชื่อนั้นออกมาก พริมาถอนหายใจ ความหวังได้นำเสนอเป็นทีมที่สองยังพอมี “และเอเจนซี่ที่จะได้พรีเซนต์เป็นลำดับที่สอง คือ…”
อาการลุ้นตัวโก่งเป็นอย่างนี้นี่เอง พริมาเข้าใจวลีนี้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“แอดดิกต์!”
เสียงกู่ร้องด้วยความดีใจดังก้องอก พริมาหันไปสบตาอินทัชแล้วยิ้มให้เขา แต่พอรู้ตัวว่าเผลอยิ้มให้คนข้างๆ มากเกินไป และดูเหมือนรอยยิ้มบนใบหน้าเขาค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน พริมาจำต้องแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนเผื่อแผ่ไปถึงวอแวกับชินทรซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเธอด้วย
“ดังนั้นเอเจนซี่แรกที่จะออกมานำเสนอคือแอคต์แพลเน็ตนั่นเองนะครับ ขอเชิญได้เลยครับ เรามีเวลาให้แต่ละเอเจนซี่ยี่สิบห้านาที กรุณาตรงต่อเวลาด้วยนะครับ” พงษ์เทพบรรยายกติกา
พริมาได้ยินเช่นนั้นจึงเหลือบมองไปที่ธนา ท่าทีของเขาดูร้อนรนนิดๆ เอาแต่จ้องหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามนาที ไม่มีลูกทีมคนไหนของแอคต์แพลเน็ตลุกจากเก้าอี้ไปนำเสนองานแม้แต่คนเดียว สร้างความฉงนแก่ทุกคนในห้องเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ทีมผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ โดยเฉพาะวิวัฒน์ที่เริ่มกอดอกแสดงอาการไม่พอใจ
“เราให้เวลายี่สิบห้านาทีก็จริง แต่ถ้าแอคต์แพลเน็ตไม่เริ่มพรีเซนต์ภายในห้านาทีแรก เราจะขอตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันนะครับ นี่คือกฎการพิตช์งานของคอนเนคต์แอนด์ลิงก์…”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ…”
บานประตูห้องประชุมถูกเปิดกว้างอีกครั้ง ร่างสูงของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องดุจฉากเปิดตัวละครเวทีโรงใหญ่ ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดดีไซน์เท่ แบกเป้เหมือนนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ชาวต่างชาติ แถมยังถือกีตาร์โปร่งกับเก้าอี้ชายหาดแบบพกพาสะดวกมาด้วย สร้างความประหลาดใจให้กับผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์และคนจากอีกสองเอเจนซี่อย่างมาก
คนพูดประโยคดึงความสนใจเมื่อครู่คือกริชไม่ผิดแน่ พริมาจำใบหน้าและเสียงเขาได้แม่น อินทัชเองก็น่าจะประจักษ์ความจริงข้อนี้เช่นกัน
“ถ้าตัดสิทธิ์พวกเราไป งานนี้คงกร่อยน่าดู…” ประโยคถัดมาหาใช่เสียงของกริช
แต่เป็นเสียงทุ้มลึกของผู้ชายอีกคนที่เพิ่งก้าวมาสมทบแล้วหยุดตรงธรณีประตู ทำเอาพริมาได้ยินแล้วถึงกับชะงักงัน นั่นเพราะเธอจำเจ้าของเสียงได้ดี แม้วันเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม
ยิ่งตอนเขาคนนั้นค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดเผยดวงตาหยามโลก ส่งข้อความทักทายถึงเธอโดยตรง ยิ่งทำให้พริมาอึ้งค้างราวกับหยุดหายใจ รู้สึกได้ถึงดวงตาเบิกกว้างทั้งสองข้างของตัวเองขณะจ้องมองผู้มาใหม่ล่าสุดอย่างเต็มตา
ไม่ได้เจอเป็นสิบปี ดูเธอมีความสุขดีนี่พริมา…
ริมฝีปากของพริมาเริ่มสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้ เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีวันตีความผิดแน่ เขาประชดประชันด้วยข้อความผ่านดวงตาคมฉาน เชือดเฉือนใจเธออย่างนิ่มนวล ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวลึกๆ ถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
“เรามาเริ่มกันเลยนะครับ” น้ำเสียงราบเรียบของเขาขณะเอ่ยกับผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์เคลือบด้วยนัยแอบแฝงจนพริมาไม่กล้าถอดความ…ว่าเขาหมายถึงจุดเริ่มต้นของสิ่งใดกันแน่
แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวรู้แน่ในตอนนี้คือเสียงสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกอย่างแรงของอินทัช พริมาหันไปมองใบหน้าคมคายที่บัดนี้เผือดสีลงทันตา เนื้อตัวของเขาสั่นเทา กรามขบแน่นราวกับพยายามควบคุมสติอย่างยากเย็น เป็นไปได้ไหมว่าอินทัชกำลังไม่พอใจหลังเห็นกริชปรากฏกาย
ทว่าเป้าสายตาของอินทัชกลับไม่ใช่ผู้ชายที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับเพียงแพร…
แต่เป็นฌานนท์…คนจ้องเขม็งมาที่เธออย่างชิงชัง!
ในวังวนแห่งความหลัง วาริศคิดว่าช่างเป็นเรื่องน่าขันปนอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อเห็นนักโฆษณาสังกัดเอเจนซี่แอดดิกต์ที่เขา ‘รู้จักดี’ ถึงสามคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องประชุมนี้
คนแรกคือ ‘ศักดา’ การพบกันระหว่างเขากับเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวคราวนี้อาจไม่ตื่นเต้นเหมือนวันที่เขาเพิ่งเดินทางกลับถึงไทยเป็นวันแรก วาริศยังคงจดจำใบหน้าซีดเผือดของศักดาในวันนั้นได้ดี และรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอย่างยิ่ง…เสียใจที่น่าจะสั่งให้เมสเซนเจอร์ขนพวงหรีดไปมากกว่านั้นสักสิบเท่า เอาไว้คราวหน้าเขาจะคิดให้รอบคอบกว่านี้ก็แล้วกัน วาริศบอกตัวเองเช่นนั้น จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายภายหลังกับสิ่งที่เลยผ่านไป
ส่วนคนที่สองไม่ใช่ใครที่ไหน…เพื่อนเก่าของเขาเอง วาริศไม่ได้เจอ ‘อินทัช’ มาสักหนึ่งปีเห็นจะได้ ดูสีหน้าอินทัชตอนนี้สิ คงดีใจน่าดูที่เห็นเขาปรากฏตัวต่อหน้า ให้ตายเถอะ…นี่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกเลยหรือ
วาริศยังคงจำวันแรกที่พบอินทัชได้ดี ไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญจงใจหรือโชคชะตาลิขิตไว้ให้เด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่ฝันอยากเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์สองคนและต่างมีพ่อเป็นนักโฆษณา…นั่งเรียนวิชาออกแบบโฆษณาในห้องเดียวกันที่นิวยอร์ก
สารภาพตามตรง ในตอนนั้นวาริศไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านคนนั้นจะเป็นลูกของศักดา
จนกระทั่งวันหนึ่งวาริศเก็บกระเป๋าหนังฟอกฝาดใส่เอกสารบนสนามหญ้าเขียวชอุ่มตาภายในมหาวิทยาลัยได้ จึงถือวิสาสะเปิดค้นเอกสารระบุตัวตนก่อนนำส่งเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อประกาศหาคนเป็นเจ้าของ
ทว่าวินาทีที่ได้เห็นชื่อบนหนังสือเดินทาง…หัวใจวาริศกลับพองโตอย่างประหลาด เขาบอกตัวเองชัดว่าต้องเป็นคนคืนกระเป๋าถึงมืออินทัชให้ได้ จะได้รู้กันไปข้างว่าอินทัชเป็นญาติฝ่ายไหนของศักดากันแน่
หลังจากนั้นวาริศกับอินทัชก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาเคยเลียบๆ เคียงๆ ถามอินทัชเหมือนกันว่าที่บ้านทำอาชีพอะไร อินทัชจึงเล่าให้ฟังว่ามีพ่อเป็นสุดยอดนักโฆษณาของเมืองไทย
‘เคยได้ยินชื่อนี้มั้ย…ศักดา เจนนุรักษ์’
วาริศจึงตอบไป ‘รู้จักสิ พ่อแกเป็นไอดอลของฉันเลยนะเว้ย’
ยิ่งวาริศกับอินทัชถลำลึกสู่ห้วงบทสนทนามากเท่าไหร่ อินทัชยิ่งเปิดใจเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อให้วาริศฟังมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นเรื่องราวของพ่อผู้เอาแต่ใจ อยากเห็นลูกเด่นดังเหมือนตัวเอง โดยไม่ได้ดูศักยภาพของคนเป็นลูกเลยว่ามีความสามารถมากพอในการออกไปสู้รบกับคนอื่นหรือไม่
อินทัชไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร เขามีความสนใจงานสร้างสรรค์โฆษณาก็จริง แต่ไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนที่วาริศมี อินทัชมักจะขอให้วาริศช่วยวิจารณ์งานโฆษณาอย่างตรงไปตรงมาบ่อยครั้ง และไม่ลืมยกยอว่าวาริศเป็นนักศึกษาสาขาโฆษณาที่เก่งที่สุดในรุ่น เรื่องนี้วาริศพอจะยอมรับได้ เพราะเมื่อดูคะแนนผลงานแต่ละชิ้นแล้ว เขาทำออกมาได้ดีที่สุดในชั้นปีจริงๆ
วาริศถามพ่อในใจ…ป่านนี้พ่อคงสงสัยว่าทำไมเขาถึงยอมสนิทสนมและช่วยเหลืออินทัชโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เพราะความจริงแล้ว…นี่คือสิ่งเดียวที่วาริศพอจะทำให้อินทัชได้ ขณะรอเวลาอันเหมาะสมในการตีตัวออกห่าง ก่อนจะค่อยๆ เผยธาตุแท้ให้อินทัชเห็นว่าจริงๆ แล้วคนอย่างวาริศไม่เคยเห็นเขาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าอินทัช มันพานให้วาริศนึกถึงใบหน้าของศักดาเสมอ
ใช่ เขารู้ดีว่าอินทัชไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อินทัชก็ไม่ควรปัดความรับผิดชอบที่มีพ่อเลวๆ อย่างศักดา ที่สำคัญ…วาริศไม่ได้ขออะไรมาก ขอแค่อินทัชมีชีวิตอยู่ร่วมว่ายเวียนในวังวนความแค้นข้นของเขาต่อไป
…เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
คนสุดท้าย… ‘พริมา’
วาริศมีโอกาสรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอในวันที่ตัวเองโดนตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้ลูกขี้ขโมย!’
มีคนเคยพูดไว้ว่าหากวันใดเราเจอสถานการณ์เลวร้าย อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าใครคือคนที่พร้อมอยู่เคียงข้างเรา และใครคือคนที่พร้อมจะทิ้งเราไปได้ทุกเมื่อ
แน่นอนว่าพริมาจัดอยู่ในคนกลุ่มหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอสอนให้เขารู้ว่าอย่าได้หลงไว้ใจใครง่ายๆ ไม่เช่นนั้น…เขาอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!
เวลาเพียงน้อยนิดก่อนเริ่มนำเสนองานโฆษณาต่อหน้าผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์นั้นมากพอสำหรับการขุดหลุมความทรงจำเลวร้ายของเช้าวันหนึ่งที่ลานหน้าเสาธงโรงเรียน
ในตอนนั้นวาริศเกลียดเพื่อนร่วมชั้นเหลือทน ขณะที่ปากพร่ำท่องบทสวดมนต์ สายตาพวกมันกลับจดจ้องมาที่เขา…
พร้อมแล้วสำหรับการสวมบทเป็นผู้พิพากษา
‘ไอ้-ลูก-ฆาตกร!’
เจ้าของน้ำเสียงเยาะหยันคนเดิมโพล่งขึ้นขณะแยกย้ายขึ้นชั้นเรียน เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนครั้งที่มันเคยตราหน้าเขาว่าเป็นไอ้ลูกขี้ขโมย ยกเว้นใจความและน้ำเสียงที่รุนแรงขึ้น
ในตอนนั้นวาริศพยายามข่มความรู้สึกโกรธอย่างถึงขีดสุด ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ระบุชัดว่าพ่อตกเป็นผู้ต้องสงสัยเท่านั้น แต่พวกมันกลับสรุปกันเสร็จสรรพว่าพ่อเป็นฆาตกร และเขาซึ่งเป็นลูกของพ่อก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกฆาตกร!
‘พ่อแกนี่อำมหิตจริงๆ ว่ะ ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ’
เขาเกลียดทุกครั้งที่ปอนด์แย้มริมฝีปาก ไม่เคยมีเรื่องดีๆ หลุดออกมาจากปากมันเลยสักครั้ง
‘คนที่ตายไปเขาเป็นคนชุบเลี้ยงพ่อแกจนได้ดิบได้ดีเป็นครีเอทีฟระดับยอดฝีมือของวงการนี่ ถามจริง…พ่อแกอยากได้บริษัทเขาจนตัวสั่นเหมือนอย่างที่ข่าวเขียนไว้รึเปล่า พอเขาไม่ให้ก็ลงมือฆ่ากันเลยเหรอ แม่งน่ากลัวฉิบหาย’
เขานับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างช้าๆ แสร้งทำเป็นหูทวนลม
‘แหม ทำเป็นนิ่ง ทีคราวก่อนมันยังชกกูอยู่เลย สงสัยครั้งนี้จะยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงว่ะ’ ปอนด์หันไปเอ่ยกับพวกของมัน เสียงหัวเราะนั่นทำเขาแทบคลั่ง ได้แต่บอกตัวเองว่าในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง อย่าได้ชิงตอบโต้ใครทั้งสิ้น
‘ไอ้ฌาน มึงแม่งหนีความจริงไม่พ้นหรอกเว้ยว่าพ่อมึง…เป็นฆาตกร!’
พรรคพวกที่ยืนอยู่ข้างๆ ใช้นิ้วสะกิดปอนด์ให้รู้ตัวทันทีที่เขาหันขวับจ้องมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
สนุกนักหรือ การได้ป่าวประกาศว่าพ่อคนอื่นเป็นฆาตกรเป็นเรื่องสนุกนักหรือ หากตอนนั้นเขามีมีดในมือ คงวิ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ปลายมีดปักเข้าที่อกซ้าย แล้วค่อยๆ กรีดจากอกจนถึงท้องอย่างช้าๆ ให้เลือดคนปากพล่อยไหลหลากจนหมดตัว เขาเลือดเย็นกว่าที่พวกมันคิดไว้เยอะ ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่ไม่มีมีดในมือ
‘มองกูแบบนี้ ในใจมึงคงกำลังฆ่ากูให้ตายคามือเหมือนอย่างที่พ่อมึงฆ่าคนอื่นอยู่สิท่า น่ากลัวจังเลย จริงมั้ยวะพริม’ ปอนด์หันไปถามพริมาที่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นเผือดสีทันควัน ริมฝีปากสั่น ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น
ตั้งแต่วันที่เรื่องของพ่อเขาตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับและโทรทัศน์ช่องหลัก เขากับพริมาก็ไม่ได้คุยกันเป็นเดือน เพราะพ่อของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย พริมาหลุบตามองพื้นทันทีเมื่อเห็นสายตากระด้างของเขา ปอนด์ก้าวเข้าไปหาพริมา เท้าแขนบนไหล่บางของร่างระหง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวังดีระคนเยาะหยัน
‘พริม แกต้องระวังให้ดีนะเว้ย วันดีคืนดี ไอ้ฌานมันอาจจะฆ่าแก เหมือนอย่างที่พ่อมันฆ่าคนในข่าวก็ได้ แถมเรื่องนี้พ่อแกยังมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไอ้ฌานมันไม่ปล่อยแกไว้แน่’
พริมาค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองเขาอีกครั้ง แววตาของเธอนั้นหลากหลายจนเขาไม่แน่ใจนักว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่
สับสน…กลัว…
หรือว่าเกลียดชัง!
ในตอนนั้นเพียงแพรเป็นคนเดียวที่ปรารถนาดีต่อเขาไม่เสื่อมคลาย เธอพยายามดึงเขาออกมาจากจุดนั้น แต่เขาขืนข้อมือไว้ แล้วจ้องกลับทุกสายตาที่ยังคงยืนล้อมวงมองเขาเหมือนสัตว์ประหลาด
ใครทำอะไรไว้ จำไว้ให้ดีก็แล้วกัน
เพราะเขาจะกลับมาเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ตั้งตาดูไว้ได้เลย!
“สงสัยใช่มั้ยครับว่าเราสองคนเอากระเป๋าเดินทางกับเก้าอี้ชายหาดมาด้วยทำไม แล้วมันเกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ยังไง…”
ร่างสูงหันไปนำเสนองานโฆษณากับทีมผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ทันทีที่กริชพยักหน้ายืนยันความพร้อม รอยยิ้มอ่อนน้อมของเขาพานกระตุกหัวใจพริมาหล่นวูบ เมื่อสัมผัสได้ว่าเขาให้สัญญาณนกหวีดเริ่มเกมลับลวงพรางอะไรบางอย่างที่เธอไม่อาจคาดเดากติการวมถึงผลแพ้ชนะได้
“คำตอบก็คือ…กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการดึงมาใช้บริการมากที่สุดคือกลุ่มนักท่องเที่ยวนั่นเองครับ ดังนั้นรถไฟฟ้าที่ทำหน้าที่แค่ย่นระยะเวลาการเดินทางสู่กลางใจเมืองก็เป็นได้แค่รถไฟฟ้าเท่านั้น…” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มลึกวาดลีลาโน้มน้าวทีมผู้บริหารให้เชื่อในความคิดของเขาอย่างเต็มที่ “แต่ถ้ารถไฟฟ้าหรือสถานีรถไฟฟ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาล่ะ แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยครับ ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าภายในสถานีเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ คอนเสิร์ต เดี่ยวไมโครโฟน มุมถ่ายภาพเจ๋งๆ หรือแม้แต่มุมนั่งพักผ่อนสุดชิลแบบนี้…”
กริชซึ่งกำลังนั่งชิลบนเก้าอี้ชายหาดเริ่มบรรเลงท่อนอินโทรทำนองเพลงคุ้นหูด้วยกีตาร์โปร่งเสียงใสกังวาน มีเขาคนนั้นคอยสอดประสานเสียงร้องเพลงเที่ยวละไมของวงเฉลียง ขับกล่อมอารมณ์ผู้บริหารคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ให้เคลิบเคลิ้ม
“เที่ยวไปตามตะวัน บุกบั่นไปตามลม สนุกสุขสม หัวใจหงายคว่ำ ชีพที่ยาวนาน หรือสั้นแต่เพียงคำ เอาตูดแช่น้ำแล้วเดินต่อไป เพื่อเสาะหานภาคลุมครอบ สายลมคงรอบไว้ สายใจไหลลู่สู่สวรรค์…”
“พอจะมองเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับว่าบรรยากาศแบบนี้จะช่วยให้สถานีรถไฟฟ้าของคอนเนคต์แอนด์ลิงก์น่าเที่ยวมากขนาดไหน แค่นี้ก็สามารถดึงดูดทั้งคนไทยและต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการได้มากขึ้นแล้วครับ ดังนั้นไอเดียของแอคต์แพลเน็ตก็คือ อยากจะเสนอให้มีการปรับโฉมสถานีรถไฟฟ้าอย่างน้อยสองสถานี โดยเฉพาะสถานีต้นทางกับสถานีปลายทาง ยกระดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ให้สมกับที่กรุงเทพฯ…เป็นสวรรค์แห่งการท่องเที่ยวระดับโลก”
ไม่ถึงห้านาทีที่เขาเริ่มนำเสนอรายละเอียดแผนงานโฆษณาด้วยซ้ำ พริมารู้สึกได้ถึงความอื้ออึงภายในหูทั้งสองข้าง ความเครียดแผ่ซ่านไปทั่วร่างชนิดไม่อาจควบคุมไหว สิ่งเดียวที่พริมาสัมผัสได้คือท่วงท่าการนำเสนอที่เป็นธรรมชาติราวกับทุกคำพูดของเขานั้นพรั่งพรูออกมาเองโดยไม่ต้องอาศัยการเตรียมการหรือซักซ้อมแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือสิบปีก่อน เธอมักอิจฉาพรสวรรค์ด้านการเล่าเรื่องรวมถึงความสามารถในการโน้มน้าวใจคนของเขาเสมอ
พริมาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเห็นวิวัฒน์…กรรมการผู้จัดการคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ลุกขึ้นปรบมือให้กับการนำเสนอแผนงานโฆษณาของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตด้วยสีหน้าและแววตาพออกพอใจอย่างยิ่ง ก่อนจะเริ่มยิงคำถามด้วยท่าทีสนอกสนใจไม่ยั้ง แน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นใช้ปัญญาและลีลาการตอบคำถามน่าฟังหว่านล้อมด้วยความน่าจะเป็นมากมายจนวิวัฒน์และลูกทีมไม่รู้จะถามสิ่งใดต่อ
พริมาหันไปมองอินทัช งานหนักตกมาอยู่ที่เธอและเขาซึ่งต้องออกไปนำเสนอแผนงานโฆษณาต่อจากแอคต์แพลเน็ตที่ทำไว้ดีมาก หญิงสาวเห็นชัดว่าใบหน้าของอินทัชซีดเผือดเหมือนตกตะลึงไม่หาย คล้ายเฝ้าถามตัวเองว่าชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของวาทศิลป์แยบคายนั้นเป็นใคร
และมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
กระทั่งเวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมง การนำเสนอแผนโฆษณาของทั้งสามเอเจนซี่ก็สิ้นสุดลง วิวัฒน์บอกกับทุกคนในห้องว่าขอเวลาประชุมกับผู้บริหารอีกสองคนเพื่อหาข้อสรุปว่าเอเจนซี่ไหนจะคว้างานนี้ไปครอง
พริมาเห็นร่างสูงของผู้ชายคนนั้นกำลังเดินนำกริชและเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ออกไปจากห้อง หลังธนาบอกให้ลูกทีมไปนั่งรอที่ห้องรับรองของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ต เธอจึงรีบก้าวฉับเข้าไปใกล้ร่างสูงทันที ส่งสายตาเผยคำถามต่างๆ นานา หวังให้เขารับรู้ว่าเธอทั้งตกตะลึงและประหลาดใจเพียงใดเมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าเธอนาทีนี้ แต่แววตาของเขากลับว่างเปล่า ก่อนจะเดินผ่านเธอไปราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จนพริมาต้องค่อยๆ กลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากเย็นเมื่อเห็นปฏิกิริยาเมินเฉยของคนเคยมีอดีตร่วมกัน
“ไอ้พริม ไปกันเว้ย”
พริมาได้ยินเสียงของวอแวเรียกให้ไปที่ไหนสักแห่ง ทว่าผ่านไปหลายอึดใจทีเดียวกว่าเธอจะถามกลับว่า “ไปไหน” เหมือนคนสติหลุดลอย
“นี่ก็อีกคน…แกกับไอ้แทนเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมจู่ๆ ถึงดูอึ้งๆ เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
ข้อสังเกตของชินทรฉุดความสนใจของพริมาไปที่ใบหน้าอินทัชอีกครั้ง เธอเห็นเขาค่อยๆ หลับตา เลียริมฝีปากแห้งผาก สูดหายใจและผ่อนออกแรงแล้วลุกพรวดออกไปจากห้องประชุมทันที ส่วนจะไปหลบที่ใดนั้น พริมาไม่อาจหยั่งรู้ได้
คุณศักดามองตามแผ่นหลังลูกชายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเบนสายตาพญาเหยี่ยวมาที่พริมาอย่างผิดหวัง เขาคงอยากถามเธอและอินทัชเต็มทนว่าเป็นอะไรไป ทำไมตอนนำเสนองานโฆษณา…มือไม้และปากของเธอกับอินทัชถึงได้สั่นราวกับเจ้าเข้าขนาดนั้น ทุกอย่างที่ทั้งทีมสู้อุตส่าห์อดหลับอดนอนตระเตรียมช่วยกันมา กลับถูกอินทัชและพริมาทำพังต่อหน้าต่อตา เมื่อคิดได้เช่นนั้น ขาทั้งสองข้างของพริมาพานไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ ความรู้สึกเหมือนล้มทั้งยืนเป็นอย่างนี้นี่เอง ดีที่เธอยังเกาะขอบพนักเก้าอี้ไว้แน่น นานทีเดียวกว่าหญิงสาวจะก้าวพ้นห้องประชุมสำเร็จ ผิดกับคนอื่นๆ ที่เดินลับตาไปแล้ว
ทว่าทันทีที่เสียงประตูห้องรับรองห้องใกล้ที่สุดถูกเปิด ตามด้วยเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่ง…จังหวะก้าวอันแสนเนิบช้ากระตุกความสนใจของพริมาจนต้องเงยหน้ามองร่างสูงเจ้าของแว่นกันแดดบนกรอบหน้าชวนมองอย่างเต็มตา เขาจงใจเดินผ่านเธอไป ไร้ซึ่งคำทักทาย สะกิดต่อมความรู้สึกผิดระลอกใหญ่ในใจเธอ
“ฌาน!”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ชำเลืองมองเธอด้วยหางตาคล้ายไม่แยแสแล้วเดินหน้าต่อ พอเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะหยุด พริมาจึงฮึดก้าวยาวเข้าไปคว้าข้อมือหนาของเขาไว้ เรียกชื่อเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฌาน…ฌานใช่มั้ย”
“คุณเรียกผมว่าไงนะ”
“ฌาน…ฉันเรียกคุณว่าฌาน” ริมฝีปากเล็กสั่นสะท้าน
“คุณจำผิดคนแล้วล่ะ” เขาดึงข้อมือตัวเองกลับเต็มแรงจนพริมาเซ น้ำเสียงเย็นเยียบปนราบเรียบของเขาทำเอาพริมาชาวาบไปทั่วร่าง อึ้งจนพูดไม่ออก ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด นี่เขาจะปฏิเสธตัวตนไปเพื่ออะไรกัน
หรือเป็นเพราะเขายังโกรธเธออยู่
“ฌาน…ฟังเราก่อน เราแค่อยากจะขอโทษเรื่อง…”
“นี่ ฟังนะ…”
พริมานิ่งไปเมื่อเห็นเขาถอดแว่นกันแดด นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได้เห็นนัยน์ตาคมฉานระยะประชิดเช่นนี้ เธอจะลืมดวงตาคู่ตรงหน้าลงได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่เธอคิดถึงมาตลอดสิบปี
ทว่าน้ำเสียงราบเรียบที่ดูไม่ยี่หระต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกกลับดังก้องในโสตสัมผัส “…อย่างแรก ผมไม่ได้ชื่อฌานอะไรนั่น และอย่างที่สอง ผมกับคุณ…เราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“…”
“เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
ไม่เข้าใจ…ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น หญิงสาวงุนงงจนพูดอะไรไม่ออก นี่เขากำลังล้อเธอเล่นใช่ไหม
ทว่าร่างสูงไม่สนใจอธิบายคำใดเพิ่ม เขาผละจากพริมาที่ยืนตัวชาจนก้าวขาไม่ออก หญิงสาวทำได้แค่ค่อยๆ หันไปมองแผ่นหลังของเขาขณะไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วเอ่ยความรู้สึกอัดอั้นมานานออกไป หวังให้เสียงและความในใจเหล่านั้นดังไปถึงเขา
“สิบปี…สิบปีมาแล้วที่ฉันไม่ได้เจอเพื่อนคนนั้น ถ้าฉันได้เจอเขาอีกสักครั้ง ฉันอยากจะบอกเขาว่าฉันขอโทษ ขอโทษกับทุกๆ เรื่อง ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับเขาไว้มาก…มากจนให้อภัยตัวเองไม่ได้”
ฝีเท้าของเขาชะงักกึกในทันใด ก่อนจะค่อยๆ หันมามองเธออีกครั้ง ทว่าสายตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนไป…จากเรียบเฉยกลับกลายเป็นแข็งกระด้าง
“ขอโทษนะ ผมไม่ได้มีเวลามาฟังคุณคร่ำครวญถึงอดีตของคุณกับคนที่ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ ผมว่าผมบอกคุณชัดแล้วนะว่าคุณกำลังเข้าใจผิด ผมไม่ใช่เพื่อนคนนั้นของคุณ เพราะฉะนั้น…หยุดพล่ามเสียที”
“ฉันไม่มีทางจำผิดแน่!” พริมายืนยัน แต่เขากลับถอนหายใจยาวยืด
“ในเมื่อคุณยืนกรานขนาดนี้ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง”
“คุณคือฌาน…ฌานนท์ ศิริธาดา ฉันจำแววตาคุณได้ ถึงเวลาจะผ่านไปกี่สิบปี ถึงคุณจะพยายามปกปิดมันแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันลืมคุณได้…”
“ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ชื่อของผมคือวาริศ อิสรา ไม่ใช่ฌานนท์อะไรนั่นที่คุณกำลังยัดเยียดให้ผมเป็น อ้อ…แล้วก็จำไว้อีกอย่างด้วยนะว่าผมกับคุณเจอกันที่นี่เป็นครั้งแรก”
“…”
“เราสองคน…ไม่เคยมีอดีตร่วมกัน”