LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่6-บทที่7
บทที่ 7
ตัวละครลับ
สิ้นเสียงวิวัฒน์ประกาศผลการแข่งขันพิตช์งานโฆษณา ใบหน้าของธนาพลันระรื่นขึ้นทันตา ต่างจากศักดาซึ่งพยายามฝืนยิ้มแสร้งยินดีแก่ฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดพล่านเมื่อพบว่าไม่อาจต้านทานความพ่ายแพ้ได้ นัยน์ตาพญาเหยี่ยวฉายชัดว่ารู้สึกเจ็บใจเพียงใด แต่จำต้องเก็บกลั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้ แล้วเดินไปขอบคุณวิวัฒน์กับพงษ์เทพและผู้บริหารอีกคนหน้าเวทีที่เชิญเอเจนซี่แอดดิกต์มาร่วมแข่งขันในวันนี้
อินทัชรู้ดีว่าพ่อคาดหวังกับผลการแข่งขันครั้งนี้มากเพียงใด ถึงขั้นต่อสายหาพงษ์เทพเพื่อขอนัดทานมื้อค่ำที่ห้องอาหารหรูแห่งหนึ่ง พร้อมมอบ ‘กล่องขนมเค้ก’ รสชาติหอมหวานให้เจ้าของตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์กลับไปทานต่อที่บ้าน แต่สุดท้าย…ผลการแข่งขันกลับพังไม่เป็นท่า ในใจของพ่อคงเต็มไปด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ คอยเวียนวน ยากเหลือทนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มไม่อาจควบคุมความรู้สึกแน่นหน้าอกได้เลย เขาหลับตาลงผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามไม่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน แต่กระแสความคิดของเขากลับไม่เชื่อฟัง ย้อนศรไปยังช่วงบ่ายสองโมงของวันนั้นจนได้
ในตอนนั้นเขาปลีกตัวจากผู้คนในแผนกครีเอทีฟ หลบมาอยู่ที่ห้องประชุมย่อยคนเดียวตั้งแต่ทานมื้อเที่ยงเสร็จ หมายเค้นไอเดียโฆษณารถไฟฟ้าคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ให้ได้ อินทัชใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในห้องนั้น บีบคั้นทุกอย่างที่มีอยู่ออกมาจนสารเคมีในสมองฟ้องว่าเขากำลังเหนื่อยล้า จึงตัดสินใจเก็บรวบรวมกระดาษที่เต็มไปด้วยข้อความและภาพร่างต่างๆ เตรียมออกไปจากห้อง แต่มือขวาของเขาดันปัดไปโดนกล่องเก็บอุปกรณ์วาดเขียนร่วงลงพื้น ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับความซุ่มซ่ามของตัวเอง ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มลงเก็บปากกาหลากสีที่นอนเกลื่อนใต้โต๊ะยาวรูปทรงตัวยู
ทว่าจังหวะกำลังตั้งท่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง อินทัชพลันได้ยินเสียงร้อนรนปนกังวลของคนเป็นพ่อขณะผลักบานประตูเดินเข้ามาในห้อง
นาทีนั้น…เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงนิ่งงันในท่านั่งชันเข่าข้างหนึ่งเช่นนั้น แถมยังกลั้นหายใจราวกับอยากจะหายตัวไปจากห้องนี้ อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นหน้าพ่อ และพ่อเองก็คงไม่อยากเห็นหน้าเขาเช่นกัน โชคดีเหลือเกินที่ใต้โต๊ะนั้นเป็นมุมอับ พ่อจึงไม่ทันสังเกตเห็นการมีตัวตนอยู่ของลูกชายภายในห้อง
แต่สิ่งที่อินทัชได้ยินจากบทสนทนาระหว่างพ่อกับเจ้าของเสียงคุ้นหูอย่างพี่ตระการที่เพิ่งเดินตามเข้ามา กลับเปลี่ยนเขาเป็นตะลึงค้างราวกับถูกตอกตะปูตรึงทั้งร่างไว้กับพื้น ไม่อาจย่างกรายไปไหนได้
‘ส่งกล่องขนมไปให้พงษ์เทพแล้วใช่มั้ย’
‘ครับ’
‘แล้วพงษ์เทพว่าไง’
‘คุณพงษ์เทพบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แอดดิกต์ได้งานนี้แน่นอนครับ’
‘ดี…ค่อยคุ้มกับ ‘ค่าขนม’ ที่จ่ายไปหน่อย’
‘แต่คุณศักดาครับ…ผมว่าเจ้าแทนเองก็เป็นคนมีความสามารถ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย…’
‘แต่ฉันต้องการความมั่นใจ’ น้ำเสียงแหบพร่าสวนทันควัน ‘แทนมันเป็นลูกฉัน ฉันรู้ดีว่ามันอยู่ระดับไหน’
พอได้ยินเช่นนั้นหัวใจของอินทัชพลันแหลกสลายจนอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ทำไม…ทำไมเขาต้องเกิดมาเป็นลูกคนเก่งๆ อย่างพ่อ ทำไมพ่อต้องทำให้เขาเกิดมาด้วย ในเมื่อไม่เคยคิดจะมั่นใจในตัวเขาเลยสักครั้ง
วาริศอีกคน…ทำไมหมอนั่นต้องโผล่หัวมาในเวลาแบบนี้
นิวยอร์กคือที่ของหมอนั่นไม่ใช่หรือ เขาอุตส่าห์หนีจากที่นั่น โกหกตัวเองว่าเหตุผลของการบินกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นเพราะบัญชาของคนชื่อศักดาแล้วแท้ๆ แต่วาริศก็ยังตามมา อินทัชรู้ดีว่าตัวเองขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับได้ว่าต้องการหนีให้พ้นเงาของหมอนั่นที่คอยบดบังเขาอยู่เสมอ
ตลอดทางกลับเอเจนซี่แอดดิกต์ อินทัชไม่อาจสลัดความคิดเกี่ยวกับพ่อและวาริศออกไปได้เลย เขาตระหนักซึ้งถึงแรงกระเพื่อมจากทั้งสองคนที่ส่งตรงมาถึงเขา ไม่ว่าจะออกแรงเสียดทานสักเพียงใดก็ไม่อาจต้านอำนาจครอบงำจิตใจที่เต็มไปด้วยแผลช้ำในของเขาได้
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
น้ำเสียงเย็นเยียบของพ่อฉุดเขาตื่นจากภวังค์ อินทัชหันไปมองคนอื่นๆ ในทีม…พี่ตระการ วอแว และชินทรโค้งศีรษะรับคำสั่งพ่อเขาแล้วเดินออกจากล็อบบี้ของเอเจนซี่ตรงไปที่ห้องทำงานแผนกครีเอทีฟทันที รวมถึงพริมาซึ่งก้าวตามไปเป็นคนสุดท้าย
“ยกเว้นแทนกับพริม…ตามฉันมาที่ห้อง”
พ่อตวัดนัยน์ตาเหยี่ยวมาที่เขา ก่อนจะกระแทกส้นรองเท้าหนังลงบนขั้นบันไดมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานบนชั้นสองราวกับขัดใจ อินทัชกับพริมาทำได้เพียงเดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยม ในตอนนั้น…ชายหนุ่มอยากรู้เหลือเกินว่าก๊อปปี้ไรเตอร์สาวจะมีสีหน้าเช่นไรจึงค่อยๆ หันไปมอง กระทั่งพบว่าแววตาของพริมาเต็มไปด้วยความกังวล ราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาและเธอ
“เป็นไง ผิดหวังล่ะสิ…”
พ่อทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังสีดำขลับทันทีเมื่อถึงห้องทำงานคลุมโทนสีดำน่าเกรงขาม อินทัชได้แต่ยืนคอตกหน้าโต๊ะทำงาน จึงไม่รู้ว่าพริมาเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเขา
พอเห็นเขาและคู่หูไม่ยอมตอบคนเป็นทั้งนายและพ่อจึงพูดจาแดกดันต่อด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ฉันเองก็ผิดหวังเหมือนกัน…อุตส่าห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันทั้งอาทิตย์ แต่พอขายงานไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากขยะ พอจะบอกได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพวกเธอสองคนถึงพรีเซนต์ไม่ได้เรื่อง จนแอดดิกต์ต้องแพ้อย่างทุเรศแบบนี้!”
อินทัชสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกอย่างแรง เขาช้อนสายตามองพ่อ ในใจอัดแน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย พ่อเอาแต่โทษเขาได้อย่างไร นี่ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าได้ทำลายความมั่นใจของเขาจนพังยับเยิน ทั้งที่เขาสู้อุตส่าห์กู้มันกลับมาได้หลังโดนใครบางคนทำลายไปแล้วที่นิวยอร์ก
“พริมขอโทษค่ะ พริมสัญญา…ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“อย่างงั้นเหรอ” ศักดาทำเสียงขึ้นจมูกเป็นเชิงเยาะคล้ายไม่อยากเชื่อ “มันไม่ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ” น้ำเสียงข่มขวัญกับแววตาคุกรุ่นของพ่อทำเอาคู่หูสาวของเขาละล่ำละลักเสียงสั่น
“พริม…ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
ยิ่งอินทัชคิดถึงตอนพรีเซนต์บนเวทีต่อจากเอเจนซี่แอดดิกต์ เขายิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองจนไม่น่าให้อภัย ทั้งๆ ที่พยายามข่มใจไม่ให้นึกถึงเรื่องที่พ่อส่งกล่องขนมหวานไปให้พงษ์เทพแล้วแท้ๆ แต่การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของวาริศกลับทรงอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการควบคุมร่างกายและจิตใจของเขาอย่างรุนแรง นาทีนั้น…เขาพยายามข่มกลั้นความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด แต่ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายเขาต้องพ่ายให้กับคนอย่างวาริศอีกครั้ง
เดี๋ยวนะ จะว่าไป…ตอนที่เขาและพริมาขึ้นพรีเซนต์ ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่สั่นไปทั้งร่างเหมือนเจ้าเข้าอย่างที่พ่อตำหนิ
แต่ยังมีพริมา…ซึ่งเขามั่นใจมากว่าไม่น่าจะใช่เพราะความตื่นเต้นระคนประหม่าอย่างแน่นอน
หรือว่าเธอ…จะรู้จักวาริศ
“กลับไปทำงานได้แล้ว” น้ำเสียงเรียบเฉียบของพ่อขัดจังหวะความคิดของเขา “ไปทบทวนให้ดีว่าตัวเองทำอะไรผิด แล้วก็จำใส่หัวไว้ซะ!”
พ่อพูดจบก็หมุนเก้าอี้มองออกไปนอกหน้าต่างทันทีราวกับไม่อยากเห็นหน้าเขากับพริมาอีกต่อไป อินทัชจึงทำได้แค่หันมาสบตาพริมา ส่งสัญญาณว่าเขาและเธอควรไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
หลังจากนั้น อินทัชและพริมาก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย ต่างคนต่างนั่งทำงานที่โต๊ะใครโต๊ะมันจนเวลาล่วงถึงช่วงแดดร่มลมตก อินทัชจึงตัดสินใจปลีกตัวตรงไปยังชั้นดาดฟ้าของอาคารสำนักงาน มองเห็นแสงตะวันย้อมสีท้องฟ้าจนเป็นส้มอ่อน ชายหนุ่มได้แต่ตัดพ้อโชคชะตาในใจที่ชักพาให้เขากลับมาพบวาริศอีกครั้ง
“คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”
อินทัชสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูเปี่ยมความรู้สึกคาใจ เขาหันไปมองพริมา เธอขึ้นมาที่ดาดฟ้าแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ก่อนนิ่วหน้าถามกลับด้วยความฉงนพิกล “คุณหมายถึงใคร”
“ฌาน…เอ่อ ฉันหมายถึง ครีเอทีฟของแอคต์แพลเน็ตที่ชื่อวาริศ”
อินทัชฉุนกึกเมื่อได้ยินชื่อหมอนั่นอีกครั้ง “อยากรู้ไปทำไม”
เธอไม่ตอบ เอาแต่ยืนเงียบอยู่อย่างนั้น เขาจึงลองหยั่งเชิงถามเธอกลับไปอีกครั้ง “รู้จักหมอนั่นเหรอ”
คราวนี้ดูเธออึ้งไปกว่าเดิม
“หรือว่า…นึกสนใจหมอนั่นขึ้นมา?”
“นี่คุณ…ถ้ารู้จักก็ช่วยบอกฉันดีๆ หน่อยได้มั้ยว่าเจอเขาครั้งแรกที่ไหน แล้วก็เมื่อไหร่”
“ผมไม่มีหน้าที่ตอบคำถามคุณ รู้แล้วนี่ว่าหมอนั่นทำงานที่ไหน อยากรู้อะไรก็ไปถามเอาเองไป”
“…”
“ที่สำคัญ…อย่าพูดชื่อนี้ให้ผมได้ยินอีก!”
พริมาย่นหัวคิ้วสงสัย ดูเหมือนเธอจะอึ้งหนักกับน้ำเสียงกระด้างจัดของเขาที่ไม่ยอมเปิดช่องให้เธอซักต่อ
ช่วยไม่ได้นี่ เธออยากเป็นฝ่ายเซ้าซี้เขาก่อนทำไมเล่า
ยิ่งเห็นปฏิกิริยาของอินทัช พริมาก็พอจะเดาออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวาริศไม่ใคร่จะสู้ดีนัก
ว่าแต่ทั้งสองไปรู้จักกันตอนไหน หรือจะเป็นตอนอินทัชทำงานโฆษณาที่นิวยอร์ก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเพียงแพรจะเคยพบกับคนที่เธอเชื่อหมดหัวใจว่าคือฌานนท์มาก่อน
เหตุผลก็คือเพียงแพรเคยเรียนที่นิวยอร์กและคบหากับอินทัชในฐานะคนรัก ส่วนกริชซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับเพียงแพรในอีกไม่กี่วันข้างหน้า…ก็เคยร่ำเรียนด้านโฆษณาที่มหานครแห่งนั้นเช่นกัน แถมท่าทีระหว่างกริชกับคนที่พยายามบอกเธอว่าชื่อวาริศนั้นยังดูสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานาน ไม่น่าใช่แค่ครีเอทีฟที่เพิ่งได้ร่วมงานกันแน่นอน เธอสังเกตเห็นตอนพวกเขานั่งคุยกันในห้องประชุมบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ขณะที่ตัวแทนจากเอเจนซี่ไฟน์เดย์กำลังนำเสนองาน
ด้วยเหตุผลและความน่าจะเป็นทั้งหมดทั้งมวล พริมาจึงใคร่ครวญได้ว่าเพียงแพรกับวาริศน่าจะเคยเจอกันในช่วงที่ฌานนท์หายหน้าหายตาไปเป็นสิบปี แต่ที่เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลยคือถ้าเป็นอย่างสันนิษฐานจริง ทำไมเพียงแพรถึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้
พริมาไม่รอช้า เธอรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรหาเพียงแพรทันที อยากฟังความจริงจากปากเพื่อนเต็มทนว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เพียงแพรกลับไม่ว่างรับสาย ปล่อยให้เธอฟังเสียงสัญญาณรอสายซ้ำๆ ถึงสี่ห้าครั้ง
โชคดีที่พี่ตระการไม่ได้นัดประชุมลูกทีมเพิ่มในช่วงเย็นหลังเลิกงาน พริมาจึงรีบคว้ากระเป๋าเป้คู่กายออกไปจากออฟฟิศ มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งก่อนไปร้านเสื้อปา-รีของเพียงแพรในห้างสรรพสินค้า
ระหว่างทางเดินไปสถานีรถไฟฟ้า หญิงสาวค้นหาที่ตั้งของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตบนจอโทรศัพท์ กระทั่งรู้ว่าพิกัดของเจ้าถิ่นผู้เพิ่งเอาชนะการแข่งขันนำเสนองานโฆษณาเมื่อช่วงเช้าของวันอยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าเพียงห้าสถานี ไม่ถึงยี่สิบนาทีรวมระยะเวลาเดินเท้าผ่านถนนสายเล็กเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าและอาหารริมทางสำหรับพนักงานออฟฟิศย่านนั้น พริมาก็มายืนอยู่หน้าโฮมออฟฟิศของแอคต์แพลเน็ตเป็นที่เรียบร้อย
หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ อาณาบริเวณบ้านปูนเปลือยขัดมันสองชั้น พนักงานชายหญิงสามสี่คนหย่อนกายบนม้านั่งยาวตัวเก่าใต้ไม้ใหญ่ดูดบุหรี่อย่างผ่อนคลาย ดูเหมือนบรรยากาศภายในเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตยังคึกคักอยู่ทั้งที่เวลาเลิกงานล่วงผ่านไปนานเกือบชั่วโมงแล้ว ตรงห้องประชุมชั้นบนยังมีคนนั่งถกไอเดียโฆษณากันอยู่…เธอมองเห็นความเคลื่อนไหวเหล่านั้นผ่านหน้าต่างบานกว้าง ส่วนล็อบบี้ออฟฟิศตรงชั้นล่างถูกห้อมล้อมไปด้วยกระจกใสแผ่นหนา พริมาเห็นใครบางคนที่เธอกำลังมองหาได้อย่างชัดเจนแม้ยืนอยู่นอกรั้ว เขากับกริชกำลังนั่งคุยกับผู้หญิงอีกคนตรงเคาน์เตอร์บริการเครื่องดื่ม
พริมารวบรวมลมหายใจ บอกตัวเองว่าต้องเข้าไปคุยกับเจ้าของร่างสูงผู้ยืนกรานว่าเขาคือวาริศ…หาใช่ฌานนท์อย่างที่เธอยัดเยียดให้รู้เรื่อง แต่พอก้าวเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้าของพริมาพลันเปลี่ยนไปเป็นชะงัก เมื่อเห็นกริชโอบกอดและกดจมูกลงบนเส้นผมยาวสลวยของผู้หญิงคนนั้นก่อนผละจากวงสนทนา เธอผู้นั้นหันมายิ้มหวานให้กริช เผยใบหน้าสวยอันแสนคุ้นเคยเต็มสองตาพริมา
นี่มันอะไรกัน?!
พริมาไม่อยากเชื่อเลยว่าสมมติฐานของเธอจะเป็นจริง หญิงสาวพาตัวเองไปหลบที่มุมหนึ่งหน้ารั้วโฮมออฟฟิศทันที ความสงสัยต่างๆ นานาประเดประดังเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์พัดเธอจมหายไปกับวังวนความสับสน
เพียงแพร…เพียงแพรติดต่อกับฌานนท์มาตลอด แต่ไม่ยอมบอกให้เธอรู้อย่างนั้นหรือ
เมื่อนึกได้ว่าไม่ควรยืนนิ่งเหมือนก้อนหินแข็งทื่อ พริมาจึงเรียกสติบอกตัวเองว่าควรทำอะไรสักอย่าง เธอจัดการโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งในห้องกระจกนั้น นานทีเดียวกว่าคนคนนั้นจะรับสาย
“อืม ว่าไงพริม”
“แก…ทำอะไรอยู่”
“ฉันยุ่งอยู่น่ะ ที่ร้านลูกค้าเยอะมากเลย”
“ฉันกำลังไปหาแกที่ร้านนะ อีกสิบนาทีน่าจะถึง”
“ว่าไงนะ?!” พริมามองเห็นเพียงแพรสะดุ้ง เหยียดกายนั่งตัวตรง ตกใจกับประโยคบอกเล่าของเธอ “แกจะมาทำไม มีอะไรด่วนรึเปล่า คุยกันทางโทรศัพท์ก็ได้นี่”
“อยากคุยแบบเจอหน้ามากกว่า” พริมาบอกความต้องการอันชัดเจน ถ้าฟังไม่ผิด เธอได้ยินเสียงเพียงแพรถอนหายใจคล้ายกลัดกลุ้ม
“เอางี้ ถ้าแกไปถึงร้านแล้วไม่เจอฉันก็นั่งรอก่อนละกัน เพราะตอนนี้ฉันติดธุระต้องออกไปคุยกับสไตลิสต์นิตยสารแฟชั่นก่อน”
“อืม ฉันรอได้” พริมาปั้นเสียงอย่างยากเย็น เพราะทุกอย่างที่เห็นล้วนขัดแย้งกับวาจาของเพื่อนรัก ผู้ชายคนนั่งตรงข้ามเพียงแพรน่ะหรือ…คือสไตลิสต์นิตยสารแฟชั่นที่เธออ้าง “โอเค ไว้เจอกัน”
พริมากดวางสาย ชะโงกหน้าออกจากมุมอับหน้ารั้ว จากที่เห็น…สีหน้าของเพียงแพรดูตื่นตระหนกปนกังวลนิดๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยบางอย่างกับวาริศพลางยื่นซองสีชมพูให้ เขารับซองนั้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เพียงแพรส่ายหน้าเป็นนัยว่าไม่เป็นไร ตามด้วยยิ้มเปี่ยมไมตรีจิตเหมือนมีให้กันมานานกว่าสิบๆ ปี
ยิ่งเพียงแพรมาพบวาริศถึงที่นี่ ยิ่งทำให้พริมามั่นใจว่าผู้ชายคนนี้คือฌานนท์ไม่ผิดแน่
ทั้งสองคุยกันต่อไม่ถึงสองนาที เพียงแพรก็ลุกจากเก้าอี้แล้วหยิบกระเป๋าสะพายบนเคาน์เตอร์เดินออกมาจากล็อบบี้ มีวาริศตามมาส่งถึงรถสปอร์ตสีแดงตรงลานกว้างหน้าอาคาร พริมาพยายามเงี่ยหูฟัง เผื่อเพียงแพรจะพลั้งปากเรียกเขาว่าฌานนท์สักครั้ง แต่เพียงแพรกลับไม่หลุดชื่อนั้นออกมาเลยสักคำ
เมื่อเห็นว่าเพียงแพรติดเครื่องยนต์ พริมาจึงรีบก้าวยาวไปหลบตรงมุมหนึ่งของรั้วบ้านหลังข้างๆ เธอรอจนกระทั่งรถยนต์พาเพียงแพรเคลื่อนหายไปจากสายตา ถึงได้จังหวะก้าวออกมาจากมุมลับตา ทว่าร่างสูงของวาริศกลับยืนกอดอกราวกับรอคอยการปรากฏตัวของเธออยู่แล้ว
“คุณ…มาทำอะไรที่นี่” นัยน์ตาคมฉานฉายแววประหลาดใจ
“ฉัน…คือฉัน…”
“มาดักรอผมเหรอ ถ้าอยากเจอทำไมไม่ไปนั่งรอที่ล็อบบี้ล่ะ หรือว่าชอบที่ลับตาคนแบบนี้” แววตาหยันโลกของเขาเริ่มคุกคามเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่ใช่อย่างงั้นสักหน่อย”
“งั้นมาทำอะไรกันแน่ อ๋อ หรือว่าเจ้านายคุณสั่งให้มาสืบราชการลับ ด้วยการเข้ามาตีสนิทผม ทำเป็นรู้จักผม ทั้งๆ ที่เราสองคนไม่เคยเจอกันมาก่อน เอ…หรือว่าเปลี่ยนใจอยากจะมาทำงานที่แอคต์แพลเน็ต ทำไมล่ะ แอดดิกต์เลี้ยงดูปูเสื่อคุณไม่ดีหรือไง”
“ฉันก็แค่…อยากมาถามคุณให้แน่ใจ”
“ถ้าเป็นเรื่องที่คุณหาว่าผมเป็นคนคนเดียวกับที่ชื่อฌานอะไรนั่นล่ะก็ กลับไปได้เลย ผมจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้าย ผมกับเขาไม่มีทางเป็นคนคนเดียวกัน!”
“ฉันต้องทำยังไง คุณถึงจะยอมรับว่าคุณคือฌานนท์”
ร่างสูงเบนสายตามองไปทางอื่น เม้มริมฝีปากแล้วคลี่รอยยิ้มอ่านยาก
“ผมไม่มีเวลามากพอให้คุณเล่นสนุกสวมหมวกตัวละครลับบนหัวผมหรอกนะ กลับไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มโน้มใบหน้าคมสันเข้าใกล้ ลมหายใจอุ่นจัดของเขารดผิวแก้มเธอจนเกร็งไปทั่วร่าง กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา
“ถ้าไม่อย่างนั้น ผมจะคิดว่าคุณหลงเสน่ห์ผมจนแทบทนไม่ไหว ผมไม่อยากตกเป็นขี้ปากคนในออฟฟิศเท่าไหร่ว่าล่อลวงครีเอทีฟสาวต่างค่ายมาหาถึงที่นี่”
พริมามองเขาด้วยประกายตาขุ่นขวาง เขาใช้วาจาคุกคามปนดูถูกจนเธอแทบทนไม่ไหว หญิงสาวได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ข่มอารมณ์โกรธระคนน้อยใจไว้ภายใน
“ฉันต้องทำยังไง คุณถึงจะยอมรับว่าคุณคือฌานนท์”
วาริศถอนหายใจเมื่อเห็นเธอพึมพำประโยคเดิมซ้ำๆ “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะผมกับเขา…ไม่มีวันเป็นคนคนเดียวกัน”
“…”
“ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจะสำคัญสำหรับคุณมาก ถึงได้ลงทุนมาอ้อนวอนผมถึงที่นี่ แต่น่าเสียดายจริงๆ คุณจำผิดคนแล้วล่ะ”
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคุณปิดบังฉันทำไม”
“จะบอกอะไรให้นะ ผมไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนพูดถึงผู้ชายอื่นต่อหน้าเท่าไร น่าเสียดาย…ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะติดใจผมจริงๆ เสียอีก” วาริศกระตุกยิ้มเยียบที่มุมปาก “กลับไปซะ แล้วอย่ามาวุ่นวายกับผมอีก”
เขาหันหลังให้ทันที ไม่มีแม้กระทั่งคำลา ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นปราดจับหัวใจพริมา ถึงจะอึ้งกับคำพูดเขามากเพียงใด หญิงสาวได้แต่บอกตัวเองว่าไม่มีวันกลับไปมือเปล่าแน่นอน เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกเต็มแรง ก่อนเชิดคางอย่างท้าทาย
“ถ้าอย่างงั้น ช่วยบอกฉันทีได้มั้ยว่าคุณรู้จักผู้หญิงที่ชื่อเพียงแพรได้ยังไง”
ร่างสูงชะงักค้าง ก่อนจะหันมาจ้องพริมาด้วยแววตาค้นหา เผยรอยยิ้มเปี่ยมเลศนัย
“รู้อะไรมั้ย ถ้าคุณเป็นโฆษณา…ถือว่าเปิดตัวได้น่าสนใจมาก”
“…”
“ผมชักจะสนใจคุณขึ้นมาซะแล้วสิ”
นอกเหนือจากคุณอาธนากับป้าแหวนแล้ว เพียงแพรถือเป็นอีกคนที่ช่วยวาริศปกปิดอีกหนึ่งตัวตนของเขาเป็นอย่างดี แม้เพื่อนคนนี้จะกังขากับการกระทำของเขามากเพียงใดก็ตาม
เมื่อแน่ใจว่าพริมากลับไปแล้ว วาริศจึงรีบต่อสายถึงเพียงแพรทันทีว่าพริมาตามมาพบเขาถึงออฟฟิศ แล้วดันเห็นเขากับเธอสนทนากันพอดี
ดูเหมือนเพียงแพรจะตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเธอกับพริมาไม่เคยมีความลับต่อกัน ยกเว้นก็แต่เรื่องนี้…เรื่องที่เขาตั้งใจขุดหลุมฝังตัวตนนามฌานนท์อย่างเลือดเย็น นาทีนั้น…ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าค่อนข้างเป็นห่วงพอสมควร เขาจินตนาการไม่ถูกจริงๆ ว่าเพียงแพรจะงัดคำลวงใดมารับมือความสงสัยของพริมา แต่ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นว่าเพียงแพรจะผ่านทุกคำถามของผู้หญิงคนนั้นได้…ไม่ยากเย็น
เพียงแพรปล่อยให้วาริศนั่งจมในหลุมบ่อแห่งความกังวลไม่ถึงชั่วโมงก็โทรศัพท์กลับมาหาเขา บอกเล่าว่าพริมาโผล่ไปหาเธอที่ร้านเสื้อในห้างสรรพสินค้าจริงๆ พร้อมคาดคั้นถามถึงเรื่องเขาไม่หยุด
‘เราก็เลยเล่าให้พริมฟังว่าตอนไปเรียนต่อแฟชั่นดีไซน์ที่นิวยอร์ก ได้เจอแกครั้งแรกก็อึ้งเหมือนกับที่พริมมันรู้สึก และเราก็พยายามเซ้าซี้ถามแกอยู่เป็นเดือนๆ จนรู้ว่าแกกับฌานนท์ก็แค่คนหน้าเหมือนกันเท่านั้น’
‘ไม่รู้จะขอบคุณแกยังไงจริงๆ แพร’ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยคำโป้ปดของเพียงแพรก็ดูสมเหตุสมผลอยู่บ้าง อีกทั้งเพียงแพรยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเล่นละครปิดบังพริมาว่าเธอเองก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดรอดไปจากความสงสัยง่ายๆ เช่นกัน
‘แล้วนี่ใจคอจะไม่บอกความจริงให้พริมรู้จริงๆ เหรอ พริมมันไม่ใช่คนโง่นะเว้ย วาริศกับฌานนท์หน้าเหมือนกันยังกะแกะขนาดนี้ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว’
วาริศนิ่งงัน เขาเองก็คิดอย่างนั้น เพียงแต่… ‘มันยังไม่ถึงเวลา’
‘แล้วเวลาที่ว่ามันคือตอนไหน’
วาริศเงียบไป เรื่องนั้น…เขาบอกเพียงแพรไม่ได้จริงๆ
‘ไม่ใช่อะไร เราแค่กลัวว่าเรื่องระหว่างแกกับพริมมันจะสายเกินแก้’
‘เราไม่ได้อยากกลับไปญาติดีกับผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย’
ชายหนุ่มได้ยินชัดถึงเสียงระบายลมหายใจของปลายสายคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ‘เรากับแกเป็นเพื่อนกันมาสิบยี่สิบปี แกรู้สึกยังไง ทำไมเราจะไม่รู้’
วาริศรู้สึกจุกที่หน้าอกอย่างรุนแรง เพียงแพรรู้ใจเขาทุกอณูจนน่ากลัว จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นประเด็นอื่นพลางมองซองการ์ดสีชมพูในมือที่เธอเพิ่งยื่นให้เขาเมื่อชั่วโมงก่อน ‘งานแต่งแกกับไอ้กริชเดือนหน้า เราคงไปไม่ได้ แกรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร’
‘อืม เราเข้าใจ’ เพียงแพรไม่รบเร้าให้มากความ นั่นเป็นเพราะเธอรู้ดีว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าอดีตเพื่อนร่วมห้องชั้นมัธยมหกที่อาจยกโขยงมาร่วมแสดงความยินดีที่งานเลี้ยง ‘ที่เราไปหาวันนี้ เพราะอยากเจอแกมากกว่า ไม่ได้เจอกันตั้ง…ปีนึงได้แล้วมั้งเนี่ย’
ในห้วงคำนึงนั้น วาริศไม่แน่ใจนักว่าเพียงแพรจะคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อนที่นิวยอร์กเหมือนอย่างที่เขาคิดหรือเปล่า
ช่างเถอะ ในเมื่อเขายืนยันเหตุผลกับตัวเองไปแล้วว่าทำไปเพราะต้องการปกป้องเพียงแพรจากอินทัช แม้จะทำให้เพื่อนที่เขารักและไว้ใจมากที่สุดเจ็บปวดจากความรักมากก็ตาม แต่ทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี เพียงแพรกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับกริช…คนที่เขาเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าจะรักและดูแลเธอได้ดี
…ดีกว่าลูกชายของศักดาแน่นอน
“ขอนั่งด้วยคนนะคะ”
เสียงหวานนุ่มของผู้มาเยือนปลุกอินทัชตื่นจากภวังค์ความคิดขณะนั่งเอนกายบนโซฟาเดี่ยวจิบกาแฟรสเข้ม เขาจำต้องละสายตาจากภาพพนักงานออฟฟิศทยอยเดินออกจากประตูลิฟต์อาคารสำนักงานแห่งนี้ในช่วงเลิกงาน หันมามองร่างบางในชุดเดรสสีเทาเข้มเรียบหรู ฉับนั้นดวงตาคู่คมพลันเบิกกว้างอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผี
ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอ ‘เธอคนนี้’ อีกครั้งที่นี่
“เจน…”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แทนสบายดีนะ”
ใบหน้าเรียวสวยกับรอยยิ้มหวานบาดตาของคนตรงหน้าพลันกระตุกความทรงจำก้อนเก่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่นิวยอร์กเมื่อหนึ่งปีก่อน…เหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียเพียงแพรไป ไร้หนทางได้เธอคืน อินทัชทำได้เพียงลอบกลืนความรู้สึกฝืดเคืองลงคออย่างยากเย็น เมื่อเห็นเจนปรากฏตัวต่อหน้าชนิดไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัว
เธอต้องการอะไรจากเขากันแน่
“เจนเพิ่งกลับจากนิวยอร์กเมื่อเดือนก่อน ทำงานฝ่ายการตลาดที่บริษัทแถวสาทร วันนี้มีประชุมกับบริษัทคู่ค้า ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอแทนอีกครั้งที่นี่”
“ต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้วนี่ จะเข้ามาทักให้เสียอารมณ์ทำไม” น้ำเสียงอินทัชกระด้างจัด บอกชัดถึงความรู้สึกไม่สบอารมณ์ หากมองไม่พลาด สีหน้าของเจนเปลี่ยนไปเป็นขื่นขมเหมือนคนสำนึกผิด
“แทน…ยังโกรธเจนอยู่ใช่มั้ย”
เขามองร่างบางราวกับไม่เคยเห็น เธอพูดออกมาเช่นนั้นได้อย่างไร ลืมไปแล้วหรือไรว่าเป็นส่วนสำคัญทำให้เขากับเพียงแพรต้องเลิกกัน
“ถ้าเราตอบว่าใช่ล่ะ”
เจนหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ถือโทษโกรธเขาเลยสักนิด ราวกับยอมรับว่าเธอสมควรได้รับการตอบโต้ด้วยวาจารุนแรงจากเขา
“อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก” อินทัชยื่นคำขาด ทุกคำที่เปล่งออกมาสะท้อนจากใจจริง นั่นเพราะที่ผ่านมา…เขาเลือกทิ้งเจนไว้ข้างหลัง และพยายามแก้ปัญหาด้วยการขอคืนดีเพียงแพรด้วยตัวเอง แต่การมาเยือนของเจนในวันนี้ทำให้เขาตัดสินใจโยนความผิดทั้งหมดลงที่เธอ ทั้งที่เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบอีกครึ่งหนึ่งเช่นกัน
“แทน ที่ผ่านมา…เจนขอโทษจริงๆ เจนไม่ได้ตั้งใจ” ริมฝีปากอิ่มของเจนเม้มแน่นราวกับสะกดความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ก่อนจะรั้งมือเขาไว้ด้วยมือเรียวทั้งสองข้าง “เจนอยากไถ่บาปที่เคยก่อ”
“ไม่ต้อง” น้ำเสียงของอินทัชราบเรียบทว่าเฉียบขาด เขาขืนข้อมือจากการเกาะกุม แต่เจนไม่ละความพยายาม
“แทน…ได้โปรด ให้เจนช่วยแทนเถอะนะ ที่แทนต้องเลิกกับแพร ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเจน เจนจะช่วยให้แพรกลับมารักแทนอีกครั้งนะ ได้ยินมาว่าแพรกำลังจะแต่งงานกับกริชนี่ อยากให้เจนช่วยมั้ย”
อินทัชชะงักกึกในทันใดเมื่อได้ยินข้อเสนอของเธอ ความคิดในหัวพลันตีกันยุ่งเหยิง ความรู้สึกเห็นแก่ตัวคืบคลานเข้ามาอย่างไม่อาจห้ามได้ จริงอย่างที่เจนว่า…ถ้าเจนไม่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาในคืนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพียงแพรคงไม่มีทางแตกสลายเฉกเช่นวันนี้
“รีบตัดสินใจนะ เจนอยากช่วยแทนจริงๆ” เธอก้มหน้าหาสิ่งของบางอย่างในกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังแล้ววางบนมือเขา สิ่งนั้นคือนามบัตรบอกชื่อ นามสกุล และหน้าที่การงานปัจจุบันของเธอ อินทัชไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงจ้องเบอร์โทรศัพท์มือถือและอีเมลของเจนนานขนาดนั้น ทั้งที่เพิ่งบอกไปแท้ๆ ว่าไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว
เจนส่งยิ้มบางให้ เธอไม่รอให้อินทัชเป็นฝ่ายไล่ ตัดสินใจเดินไปจากเขาทันทีที่เข้ามาบอกเจตนาของตัวเองเสร็จ ทว่าหญิงสาวก้าวไปได้เพียงสี่ห้าก้าวเท่านั้น ก็เป็นอันต้องถอยกลับมายืนตรงหน้าอินทัชอีกครั้งราวกับภารกิจของเธอยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี
“เจนลืมบอกอีกเรื่อง…”
อินทัชหรี่ตามองเธออย่างรอคอย “อะไร”
“เรื่องคืนนั้น…จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ความคิดเจนหรอกนะ”
“…”
“แต่เป็นแผนของวาริศต่างหาก”
อินทัชไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังรู้สึกกับคำบอกเล่าใหม่นั้นอย่างไร ตกตะลึง…อึ้งค้าง…หรือชาไปทั่วร่าง “วะ…ว่าไงนะ?!”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก เรื่องคืนนั้นเป็นแผนของวาริศ…เพื่อนที่แทนไว้ใจมากที่สุดยังไงล่ะ”
ความรู้สึกหนักอึ้งทับถมท่วมอกจนยากจะรับมือ เจนรู้ตัวหรือเปล่าว่าได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางใจเขาแล้ว
“เจนไม่เข้าใจ ทำไมวาริศถึงได้เลือดเย็นทำกับแทนขนาดนี้ แต่ก็พูดลำบาก…ตอนนั้นเจนเองก็หูหนวกตาบอดเพราะรักแทนมาก เลยยอมทำทุกอย่างตามที่วาริศบอก”
“แล้วแพร…รู้เรื่องนี้รึเปล่า”
“คิดว่าไม่” น้ำเสียงของเธอหนักแน่นพอๆ กับสายตา
วาริศมีเหตุผลกลใดถึงทำกับเขาขนาดนี้ เขาเคยทำให้วาริศไม่พอใจเรื่องอะไร
ยิ่งคิดมากเท่าไรอินทัชก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น