LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่10-บทที่11
บทที่10
จูบเตือนความจำ
“ครีเอทีฟนี่…เวลาเอาคืนน่ากลัวฉิบหายเลยว่ะ” เจ้าของร้านไบรเทนเอ่ยขึ้นขณะนั่งดื่มกับวาริศที่เคาน์เตอร์บาร์ในร้านย่านทองหล่อ “แกต้องเห็นสีหน้าสองคนนั้นเว้ย ซีดยังกะไก่ต้ม”
“ขอบคุณพี่วิทย์มากนะครับที่ช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี”
“ใจจริงฉันก็สงสารสองคนนั้นนะ แต่ก็รู้สึกชอบเวลาเห็นแกเล่นสงครามจิตวิทยา” แสงวิทย์สารภาพความรู้สึกย้อนแย้งภายใน “ถามจริง…ฉันช่วยแกขนาดนี้แล้ว จะบอกกันสักนิดไม่ได้รึไงว่าทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังพริมากับอินทัชนัก”
“ผมบอกไม่ได้จริงๆ” วาริศยิ้มพราย ไม่อาจเปิดเผยถึงรายละเอียดที่แท้จริงว่าเหตุใดเขาถึงขอร้องให้แสงวิทย์เข้ามารับบทเป็นมือปืนในครั้งนี้
ไม่ถึงกับต้องสังหารคร่าชีวิต แค่พิชิตเป้าหมายที่ขา แล้วยิงสกัดขวางทางความมั่นใจของอินทัชกับพริมาก็พอ
“ถ้าให้ฉันเดาเล่นๆ นะ ผู้หญิงนี่…น่าจะเคยหักอกแกมาก่อน ส่วนผู้ชาย…”
“…”
แสงวิทย์นิ่งไปชั่วอึดใจคล้ายตกในภวังค์แห่งการคาดเดา “…ยากว่ะ รู้แค่ว่าไม่น่าใช่เรื่องเกาเหลาทั่วไป น่าจะมีอะไรลึกลับซับซ้อนกว่านั้น”
เจ้าของร้านไบรเทนคาดเดาถูกต้องจนน่ากลัว โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพริมา วาริศไม่อาจทำใจยอมรับได้เลยว่าเป็นอย่างที่แสงวิทย์ว่าไว้ ทั้งที่ไม่เคยเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังให้ฟังเลยว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมาเขาต้องผจญเหตุการณ์กระทบกระเทือนทางจิตใจใดมาบ้าง ชายหนุ่มได้แต่บอกไปเพียงสั้นๆ ว่าเป็นเหตุผลที่แสงวิทย์สามารถเข้าใจและยอมรับได้อย่างแน่นอน หากแสงวิทย์มาขอให้เขาช่วยด้วยเหตุผลเร้นลับเช่นนี้ เขาก็พร้อมอ้าแขนช่วยแสงวิทย์ไม่ต่างกัน
โชคดีที่แสงวิทย์เบนความสนใจไปที่นักร้องสาวกับกีตาร์คลาสสิกเสียงหวานปนเหงาบนเวทีเสียก่อน จึงไม่ทันมองเห็นแววตาร้าวลึกยามรู้สึกถึงอดีตกัดกร่อนใจจนเจ็บปวด วาริศเคยคิดเหมือนกันว่าอยากกลายร่างเป็นคนความจำเสื่อม หรือตายไปพ้นๆ จากโลกนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอนึกทบทวนอย่างละเอียดถึงรู้ว่าเขาเกลียดขี้หน้าตัวเองเวลาทำสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่างการยอมแพ้มากแค่ไหน
“พี่วิทย์ไม่ต้องห่วงเรื่องจ่ายค่าปรับให้แอดดิกต์นะครับ” วาริศเสเปลี่ยนไปคุยประเด็นใหม่ หวังเห็นคนเป็นลูกค้าเอเจนซี่แอดดิกต์ไม่ซักไซ้เขาต่อให้เคืองรำคาญ
“ทำไม แกจะเป็นคนจ่ายให้ฉันแทนเหรอ”
วาริศพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ผมจะไปเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายแทนพี่”
“แล้วทำไมแกถึงได้มั่นใจนัก”
“เพราะผมเชื่อว่าแอดดิกต์จะยื่นข้อเสนอน่าสนใจให้พี่วิทย์แน่นอน” วาริศบอกแค่นั้น ปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่นิ่วหน้าสงสัย
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าข้อเสนอที่ว่านั้นคืออะไร แต่ที่มั่นใจคือ…มันต้องสนุกมากสำหรับแกแน่ๆ”
วาริศขยับยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเป็นต่อ ขนาดแสงวิทย์ยังรู้ทันถึงความหฤหรรษ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แล้วใจเขาล่ะจะลิงโลดปรีดาขนาดไหน
คืนนั้นวาริศกับแสงวิทย์แยกย้ายกันไปตอนห้าทุ่มกว่าๆ จนกระทั่งเวลาเที่ยงของวันถัดมา วาริศแทบทนไม่ไหวเมื่อตระหนักว่านี่คือเวลาที่แสงวิทย์นัดหมายให้พริมากับอินทัชมาพรีเซนต์งานโฆษณาร้านขายโคมไฟแบรนด์ไบรเทนอีกรอบก่อนแสงวิทย์บินไปดูงานที่ญี่ปุ่นตอนหัวค่ำ
ไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ โทรศัพท์มือถือของวาริศถึงคราวสั่นครางเรียกความสนใจเขาให้ละสายตาจากอาร์ตเวิร์กโฆษณาบนจอคอมพิวเตอร์แม็กภายในออฟฟิศแอคต์แพลเน็ต ชายหนุ่มจึงกดรับสายทันทีเมื่อเห็นชื่อคนโทรมา
แสงวิทย์เล่าให้เขาฟังเป็นฉากๆ ว่าอินทัชกับพริมาเพียรโน้มน้าวแสงวิทย์ด้วยไอเดียสดใหม่มากมายเพียงใด แต่ก็ต้องจำใจทำตามที่วาริศขอ ยืนกรานต่อหน้าสองคนนั้นว่าไม่ถูกใจเลยสักไอเดีย เมื่อผลงานไม่เข้าตา แสงวิทย์คงต้องเป็นฝ่ายผิดสัญญากับเอเจนซี่แอดดิกต์อย่างที่เคยพูดเอาไว้
และหันไปใช้บริการกับแอคต์แพลเน็ตแทน
แน่นอนว่าอินทัชกับพริมานิ่งอึ้งไปหลายอึดใจราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนจะถามซ้ำเพื่อตอกย้ำความมั่นใจว่าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม พอแสงวิทย์พยักหน้ายืนยันอีกครั้งว่าใช่ ทั้งอินทัชและพริมาต่างผนึกพลังค้านหัวชนฝา พยายามสรรหาเหตุผลต่างๆ นานามาโน้มน้าวอย่างเต็มกำลังว่าพร้อมกลับไปแก้ไขงานแล้วกลับมาพรีเซนต์ใหม่จนกว่าแสงวิทย์จะพอใจ ส่วนความคิดเรื่องการเปลี่ยนไปใช้บริการเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตแทนนั้นอยากให้แสงวิทย์ลืมไปเสีย ราวกับไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“สุดท้ายฉันเลยบอกสองคนนั้นไปว่าพวกเขาไม่มีทางเปลี่ยนใจฉันได้ เพราะฉันตัดสินใจไปแล้ว ถึงจะส่งหัวหน้าทีม หัวหน้าเออี หรือแม้แต่ประธานเอเจนซี่มาฉันก็ไม่สน นี่ฉันพูดตามที่แกเขียนสคริปต์ไว้ให้เลยนะไอ้ริศ”
“ดูเหมือนพี่วิทย์จะลืมบทพูดส่งท้ายที่ผมไฮไลต์ไว้”
“ใครบอก…ฉันท่องได้จนขึ้นใจเลยล่ะ จะให้พูดอีกรอบก็ยังได้” แสงวิทย์ตั้งท่าร่ายบทสำคัญให้ฟังอีกครั้ง “วันก่อนคุณพริมได้เจอแล้วนี่ครับที่หอศิลป์ฯ…ครีเอทีฟที่ชื่อวาริศไงครับ รายนั้นเขาเก่งนะ ผลงานเขาถูกใจผมหลายชิ้นเลยล่ะ ถ้าผมรู้ว่าวาริศกลับมาทำงานที่ไทยเร็วกว่านี้สักนิด พวกคุณคงไม่ต้องเสียเวลาขายงานผมหลายรอบแบบนี้”
“แล้วปฏิกิริยาสองคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” วาริศอยากรู้ใจแทบขาด
“เหมือนมีไฟปะทุในดวงตาอินทัช”
ถ้าให้เดา…อินทัชคงหน้าชา หันขวับไปมองพริมาราวกับไม่เคยเห็น และคงกังขาว่าทำไมก๊อปปี้ไรเตอร์สาวถึงไม่ยอมเล่าเรื่องที่เธอเจอเขาพร้อมแสงวิทย์ที่หอศิลป์ฯ ให้ฟัง
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่แกคาดไอ้ริศ พออินทัชได้ยินชื่อแกเท่านั้นแหละ ก็ประกาศลั่นห้องเลยว่ามีข้อเสนอที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้”
“และข้อเสนอที่ว่านั้นก็คือ…” วาริศกระตุกยิ้มเหนือมุมปากรอฟังด้วยใจจดจ่อ
“แอดดิกต์ยินดีทำโฆษณาให้ฟรี ได้โปรดเป็นลูกค้าเราต่อไปด้วยครับ”
“จริงเหรอพี่” วาริศแสร้งทวนถามไปอย่างนั้น ทั้งที่แทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อรับรู้ว่าอินทัชสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง ไม่นึกเลยว่ายอมช่วยแกครั้งนี้ส้มจะหล่นใส่ฉัน ไม่รู้หมอนั่นจะอธิบายเรื่องนี้ให้ออฟฟิศฟังยังไง”
“คืนนี้ไปดื่มกันอีกมั้ย ร้านเดิมแถวทองหล่อก็ได้ ผมเลี้ยงเอง ตอบแทนที่พี่ยอมช่วยผม”
“ไปได้เหรอวะ ฉันต้องไปญี่ปุ่นคืนนี้ตามที่แกเขียนบทไว้นี่”
วาริศได้ยินแล้วถึงกับหัวเราะชอบใจ แสงวิทย์ไม่ได้มีธุระด่วนบินไปญี่ปุ่นอย่างที่บอกอินทัชกับพริมาแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นเพียงการโป้ปดเพื่อช่วยเหลือเขาเอาคืนครีเอทีฟคู่นั้นอย่างแสบสัน…ก็เท่านั้นเอง
แค่ได้ยินชื่อวาริศ…จิตของอินทัชก็แตกกระเจิง
พริมามองเห็นเพลิงแห่งความไม่พอใจคุกรุ่นในดวงตาคมกริบ อินทัชนั่งกุมขมับตรงเคาน์เตอร์บาร์ มองแก้ววิสกี้ตรงหน้าอย่างคนเลื่อนลอยมาค่อนชั่วโมงแล้ว เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพ่ายแพ้จู่โจมหัวใจเขา หลังได้ยินแสงวิทย์ประกาศชัดว่าอยากได้แอคต์แพลเน็ตมาทำโฆษณาแทน เพราะเอเจนซี่แห่งนี้มีวาริศ…คนที่พริมาเพิ่งพบหน้าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่ถึงอินทัชจะเจ็บปวดมากแค่ไหน เขาก็ควรมีสติบ้าง ให้ตายเถอะ…พริมาทำได้แค่สบถในใจ อินทัชเอาสมองส่วนไหนคิด ถึงได้บุ่มบ่ามตัดสินใจยื่นข้อเสนอทำโฆษณาให้แสงวิทย์ฟรีๆ เช่นนั้น เขาน่าจะหันมาปรึกษาเธอสักนิดก็ยังดี
“หยุดดื่มได้แล้ว”
พริมายั้งมือหนาของคนนั่งข้างๆ ขณะยกแก้วกระดกวิสกี้รสเข้มกลืนความอ่อนแอลงคอ
“ทำไมหมอนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เรื่อย” น้ำเสียงห้าวลึกของอินทัชอัดแน่นด้วยความรู้สึกตัดพ้อ เขาทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้อยใจในโชคชะตาที่มักส่งวาริศมาแย่งความสำเร็จไปจากเขาอยู่เสมอ “ที่ผ่านมา…ผมพยายามมาตลอด แต่กลับต้องแพ้หมอนั่นทุกครั้ง ไม่มีสักครั้งที่ผมจะชนะมัน คุณมันซวยเองที่ต้องมาทำงานคู่ผม”
พริมาได้ยินอย่างนั้นก็ชักข้องใจว่าทำไมอินทัชต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับวาริศทุกครั้ง เหตุแห่งทุกข์ที่เขากำลังเผชิญนั้นเกิดจากการเห็นวาริศเด่นกว่าทุกกระเบียดมิใช่หรือ หากเขาปล่อยวางได้ อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น
“มีอยู่ทางเดียวที่คุณจะเอาชนะเขาได้…”
อินทัชได้ยินเช่นนั้นถึงกับนิ่งงัน เบนสายตาจากแก้ววิสกี้ตรงหน้าหันมาสบตาเธออย่างรอคอย
“เลิกสนใจวาริศซะ สนใจแต่ตัวคุณเองก็พอ อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาสร้างเงื่อนไขในชีวิตคุณอีก” น้ำเสียงของพริมาฉายแววจริงจัง ทั้งที่อีกใจหนึ่งรู้สึกเห็นต่าง
บางทีเป้าหมายที่แท้จริงของวาริศ…อาจไม่ใช่เขา
…แต่เป็นเธอ
“ผมทำไม่ได้”
“…”
“ไม่ใช่ไม่พยายามนะ แต่ผมไม่เคยทำได้จริงๆ”
“นั่นเป็นเพราะคุณยังพยายามไม่มากพอ”
“บางทีคุณอาจจะอินกับการเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์มากไปหน่อย เลยพยายามสรรหาคำพูดสวยหรูมาปลอบขวัญผม แต่ขอโทษนะที่ต้องบอกว่ามันไม่ได้ผล ผมมันอ่อนแอกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ”
อารมณ์อินทัชดิ่งลงสู่หลุมบ่อแห่งความหดหู่ขั้นสุดจนพริมาไม่รู้จะพูดอย่างไร หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นเขายอมแพ้อะไรหลายๆ อย่างง่ายเกินไป แต่ไม่รู้ทำไม…พริมาถึงได้มีความรู้สึกร่วมกับอินทัชมากมายขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเธอเองก็มีวาริศเป็นเงื่อนไขสำคัญของชีวิต และไม่อาจสลัดเขาไปจากความคิดได้เลยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
นี่เธอกล้าสอนอินทัช ทั้งที่ตัวเองยังทำไม่ได้หรือนี่ น่าละอายชะมัด หากอินทัชรู้เรื่องในอดีตของเธอเข้า เขาคงแสยะยิ้มคล้ายเยาะหยันให้เธอ
เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีหน้ามาปลอบขวัญอินทัชต่อ พริมาจึงลุกจากเก้าอี้บาร์ปลีกตัวออกไปสูดอากาศข้างนอก ทิ้งอินทัชจมอยู่ใต้คลื่นแซกโซโฟนสำเนียงเหงาเคล้าเศร้าภายในร้านเพียงลำพัง
ทว่าพริมาเดินพ้นธรณีประตูได้ไม่ทันไร สายตาของเธอพลันประสานเข้ากับร่างสูงเจ้าของดวงตาคู่หยันโลกที่เพิ่งก้าวลงจากรถแท็กซี่พอดี
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาคนนั้นจะปรากฏตัวต่อหน้าเธอเวลานี้
“บังเอิญจัง” วาริศขยับยิ้มคล้ายชื่นชมโลกที่หมุนเขามาพบเธออีกครั้ง ผิดกับพริมาซึ่งเปลี่ยนไปเป็นชะงักงัน
เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรก…ที่เธอไม่อยากเห็นหน้าเขา
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะมาที่นี่ อย่าบอกนะว่ามาดักรอผม” คำถามนั้นเข้าข้างตัวเองอย่างรุนแรง
“เปล่า ฉันมาของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“งั้นเหรอ เห็นครั้งก่อนๆ ชอบทำแบบนั้น” ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้
“แต่ครั้งนี้ไม่ใช่”
“ว้า เสียดายจัง” สำเนียงนั้นจงใจล้อเลียน
“คุณทำไปทำไม”
“ผมทำอะไร”
“รู้อยู่แก่ใจยังจะถามอีก” คำตอบของพริมาจงใจยอกย้อน
“ด้วยความสัตย์จริง การพบกันของเราที่นี่เป็นเรื่องบังเอิญ” เขารู้อยู่เต็มอกว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร แต่กลับเสพูดถึงเรื่องอื่น
“ถ้างั้นเรื่องที่คุณแสงวิทย์บอกว่าจะให้คุณทำโฆษณาแทนแอดดิกต์ ก็คงเป็นมากกว่าเรื่องบังเอิญทั่วๆ ไป”
“คุณพูดเรื่องอะไร” สุ้มเสียงวาริศตั้งเค้าไม่พอใจ
“แต่บังเอิญว่าอินทัชใจป้ำมากพอ ยื่นข้อเสนอทำโฆษณาให้ฟรี เรื่องนี้คุณคงรู้จากปากคุณแสงวิทย์แล้วเหมือนกัน” หากมองไม่ผิด เธอเห็นมุมปากวาริศกระตุกเพียงนิด
“คุณนี่ถนัดเดาไปเรื่อย ผมล่ะนับถือจริงๆ”
“แล้วมันจริงอย่างที่ฉันเดารึเปล่า”
“ถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ”
“คุณโกหก!”
เขาปล่อยให้เธอพูดแค่นั้น พลันฉวยข้อมือเธอลากไปยังมุมอับข้างร้านไร้ผู้คนทันที
“นี่ ปล่อยฉันนะ คุณจะทำอะไร” ใจของพริมาเริ่มหวาดหวั่นเมื่อเขาดันร่างเธอชิดผนังร้าน
“รู้ไว้ซะ ว่าผมกำลังโกรธคุณ”
“…”
“และก็โกรธมากๆ ด้วย”
วาริศโน้มใบหน้าคมสันทาบริมฝีปากบางเฉียบอุ่นจัดครอบครองเรียวปากไหวระริกของพริมาอย่างอุกอาจ หญิงสาวพยายามขืนใบหน้าหนีการคุกคามของเขาอย่างสุดความสามารถ ยันอกกว้างด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างแต่ไม่เป็นผล นาทีนั้น…หญิงสาวพบว่ายิ่งออกแรงดันเท่าไร วาริศยิ่งเบียดกายแกร่งแนบชิดจนเธอรู้สึกถึงเขาทุกอณู ริมฝีปากคู่นั้นทาบทับบดเบียดรุนแรงไม่ยอมหยุด มือหนาของเขาเคลื่อนขึ้นมาสอดใต้เรือนผมเส้นเล็กนุ่มลื่น ประคองท้ายทอยไม่ยอมให้เธอเบือนหน้าหนี ก่อนจะส่งปลายลิ้นหมายเกี่ยวกระหวัดดูดดื่มกลืนความหวานจากเธอให้หนำใจ จนหัวใจของพริมากระตุกรัวแทบระเบิดเป็นจุณ จูบของเขาแสนร้ายกาจ…อัดแน่นไปด้วยความหิวกระหายเกินกว่าจะต้านทานไหว
วาริศไม่อาจยอมรับได้เลยว่าส่วนลึกของจิตใจโหยหาพริมามากเพียงใด
เขาติดใจความหวานล้ำของเรียวปากคู่นี้นับตั้งแต่จุมพิตเธอครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน จนอยากครอบครองสัมผัสอุ่นละมุนของพริมาไปตลอดกาล ทว่าชายหนุ่มปล่อยให้ความหวั่นไหวก่อตัวได้ไม่นาน สำนึกด้านดิบพลันแล่นปราดเข้ามาขวาง ย้ำเตือนตัวเองว่าต้องเกลียดเธอสิถึงจะถูก ตอบแทนเธอที่เป็นฝ่ายทิ้งเขาไป จะดีแค่ไหนหากเธอได้รับรู้รสชาติของการถูกทอดทิ้งเหมือนเช่นที่เขาเคยรู้สึก อย่าเผลอหลงลืมความเจ็บปวดร้าวลึกนั้นไปอีกเชียว
วาริศตัดใจถอนริมฝีปากก่อนความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของเรียวปากเล็กเรื่อจะบานปลาย ชายหนุ่มเป็นฝ่ายหยักยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อพริมาหายใจหอบ เขาเห็นหยาดน้ำอุ่นเอ่อรื้นขอบตาคู่สวยหม่น แต่จำต้องฝืนทน ห้ามมือทั้งสองข้างเอาไว้ทั้งที่อยากยื่นออกไปประคองแก้มนวล ปล่อยให้พริมาใช้นิ้วเรียวกรีดน้ำในตาออกด้วยตัวเอง
วูบนั้นวาริศอยากดึงพริมาเข้ามากอดไว้ราวกับไม่ต้องการให้เธอหนีหายไปไหนเหลือเกิน แต่พอตระหนักได้ว่าช่างเป็นความคิดแสนตื้นเขิน จึงตะโกนบอกตัวเองในใจให้รีบแปรเปลี่ยนแววตาเป็นหมางเมินเสีย แค่เผลอใจดึงเธอมาจูบ พริมาก็รู้แน่แก่ใจว่าเขามีอีกหนึ่งตัวตนซ่อนภายใต้ร่างวาริศ ไม่จำเป็นต้องซักไซ้ให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้ว
ทว่าเวลาผ่านไปร่วมนาที ร่างระหงในอ้อมแขนของเขายังคงตัวแข็งทื่อ ริมฝีปากเธอสั่นระริกราวกับไม่อยากเชื่อว่าวาริศจะมอบจูบรื้อฟื้นความทรงจำทั้งดีปนร้ายของเขาและเธอให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พริมาคงประเมินศักยภาพตัวเองแล้วว่าไม่สามารถรับมือการเผชิญหน้าเขาในมุมอับแห่งนี้ได้ จึงผละจากเขากลับเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะปรายตามองมาอีกเลย
ร่างสูงยืนเฉยเช่นนั้นนานนับห้านาที กว่าจะรู้ตัวว่าควรโทรหาแสงวิทย์เพื่อขอเปลี่ยนไปนัดเจอกันที่ร้านอื่นแทน ไม่เช่นนั้นความอาจแตกได้ พอเจ้าของร้านไบรเทนเข้าใจสถานการณ์จึงบอกชื่อร้านอาหารกึ่งผับมีชื่ออีกแห่งในย่านทองหล่อสำหรับเป็นจุดนัดพบใหม่ สักครึ่งชั่วโมงค่อยไปเจอกันก็ได้ ราวกับรู้ดีว่าวาริศมีเรื่องอยากสนทนากับพริมาต่อ
ไม่รอช้า วาริศก้าวยาวเข้าไปข้างในบาร์นาม ‘รีดีม’ บรรยากาศภายในดูอบอุ่นด้วยเหล่าผู้รักสันโดษกระหายการร่ำสุราอย่างโดดเดี่ยว เขาเพิ่งรู้จักบาร์แสนสงบแห่งนี้จากการนัดหมายเจอแสงวิทย์เมื่อสองครั้งก่อนหลังกลับมาถึงเมืองไทย ครั้งแรก…เขามาเพื่อขอร้องให้หนุ่มรุ่นพี่ช่วยกลั่นแกล้งสองครีเอทีฟจากเอเจนซี่ของศักดา ครั้งที่สอง…เขามาเพื่อติดตามความคืบหน้าว่าปฏิกิริยาของอินทัชกับพริมาเป็นอย่างไร หลังถูกสั่งให้ไปทำโฆษณามานำเสนอใหม่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเหมือนที่วาริศกำกับไว้ตั้งแต่แรก
มือแซกโซโฟนยังคงขับกล่อมลูกค้าด้วยเพลงเหงาทำนองหดหู่ วาริศสอดส่ายสายตาไปทั่วร้าน ท่ามกลางผู้คนทั้งพนักงานออฟฟิศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมมานั่งดื่มคนเดียว เขาเห็นอินทัชกับพริมานั่งเคียงข้างกันตรงเคาน์เตอร์บาร์ วาริศจึงก้าวยาวเข้าไปประชิดทั้งสอง แล้วถือวิสาสะนั่งเก้าอี้บาร์ข้างเจ้าของริมฝีปากเล็กเรื่อที่เขาเพิ่งครอบครองเมื่อครู่ พริมาหันมามอง ดวงตาของเธอเปลี่ยนไปเป็นเบิกค้าง จ้องนานราวกับเห็นผี แต่เขาทำทีไม่สนใจ หันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มแทน
“เตกีล่าชอตนึงครับ”
อินทัชคงรู้ตัวแล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ถึงได้ชะงักไปเช่นนั้น ก่อนจะตวัดนัยน์ตาคมปลาบมองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญอย่างเขาด้วยประกายขุ่นขวาง
“แก…”
“ใช่ ฉันเอง” เขาตอบกลับด้วยปฏิกิริยาอื่นไม่ได้ นอกจากขยับยิ้มอย่างเป็นต่อให้ ‘อดีตเพื่อนรัก’ ผู้ถูกเขาหักเหลี่ยมคมอยู่ร่ำไป
“แกมาที่นี่ทำไม” สำเนียงคนขี้แพ้ซ่อนโทสะคุกรุ่นไว้ไม่มิด
“แกก็รู้ว่างานพวกเรามันเครียดแค่ไหน ว่างเมื่อไหร่ก็ต้องออกมาระบายบ้าง”
บาร์เทนเดอร์เสิร์ฟแก้วชอตเตกีล่าตรงหน้า วาริศเลียผิวนิ้วหัวแม่มือแล้วแตะลงบนเกลือในถ้วยเล็กที่เสิร์ฟพร้อมมะนาวหนึ่งซีก ก่อนโรยลงบนหลังมืออย่างคนรู้ลึกถึงวิธีดื่มเมรัยสัญชาติเม็กซิกันสไตล์คนอเมริกัน จะว่าไปแล้วก็อดนึกถึงตอนไปนั่งดื่มกับอินทัชที่บาร์แห่งหนึ่งในนิวยอร์กไม่ได้ ในตอนนั้น…เขากับอินทัชยังเป็น ‘เพื่อนที่ดี’ ต่อกันอยู่เลย
“แก…รู้จักคุณแสงวิทย์?”
ในที่สุดอินทัชก็เอ่ยคำถามค้างคาใจผ่านหน้าพริมาส่งตรงมาถึงเขา วาริศจัดการลิ้มเกลือบนหลังมือแล้วยกชอตเตกีล่ากลิ่นหอมฉุนขึ้นซดจนหมดภายในอึกเดียว ความร้อนแรงของเหล้ารสเฝื่อนแผ่ซ่านบาดทั่วคอจนต้องกัดมะนาวตาม
“แสงวิทย์…ที่เป็นเจ้าของร้านไบรเทนน่ะเหรอ” เขาพูดขึ้นเมื่อควบคุมความร้อนในลำคอได้ สายตาจ้องตอบอินทัชอย่างคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“แกทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันทำอะไร” คนถูกถามตอบหน้าเฉย
“จงใจ…แย่งลูกค้าฉัน”
คำกล่าวหาของอินทัชไม่ได้ทำให้วาริศสะทกสะท้านนัก เขาแสร้งนิ่งทำไขสือราวกับไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคู่หูครีเอทีฟสุดอ่อนแอเลยสักนิด ทว่าวาริศชักไม่แน่ใจว่าเขาเผลอยกมุมปากยิ้มหยันอย่างเป็นต่อหรือเปล่า ความอดกลั้นของอินทัชถึงได้ลดวูบจนเหลือศูนย์ ลุกจากเก้าอี้เข้ามาคว้าคอเสื้อเขาฉับพลัน กำหมัดแน่นเงื้อค้างพร้อมเล็งเป้ามาที่ใบหน้าของเขาอย่างเหลืออดจนวาริศรู้สึกได้ถึงสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านที่ต่างหันมามองภาพของหนึ่งหญิงสองชายเป็นทางเดียว
“ทำไม…ฉันไปทำอะไรให้แกนักหนา แกถึงได้จองล้างจองผลาญฉันไม่เลิกแบบนี้!” อินทัชขบกรามแน่นข่มโทสะอันพลุ่งพล่าน ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะดื่มไปมาก แต่เชื่อเถอะว่าสติของหมอนี่จะแจ่มชัดทุกครั้งที่เห็นเขาปรากฏตัว เหมือนเช่นตอนนี้
“อยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ” วาริศสวนกลับด้วยน้ำเสียงกระด้าง วูบนั้นเขาเกิดอยากเล่าทุกอย่างให้อินทัชรู้ขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจ ยั้งปากเก็บความลับทั้งหมดไว้ในลิ้นชักตามเดิม
ฉับพลันนั้นหมัดของอินทัชที่กำแน่นค้างรออยู่แล้วก็ลอยมาตามคาด โชคดีที่วาริศหลบทัน แรงเหวี่ยงหมัดพลาดผนึกกับฤทธิ์วิสกี้หลายแก้วถ่วงตัวอินทัชเซไปกองกับเคาน์เตอร์บาร์จนแก้วเตกีล่าของวาริศหล่นแตกบนพื้น
“แทน หยุด!” ดูเหมือนพริมาจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก วาริศเห็นเธอรีบเข้ามาขวางก่อนที่เหตุวิวาทจะบานปลายไปมากกว่านี้
“คุณอย่ามายุ่ง นี่มันปัญหาของผมกับมัน!” อินทัชชี้หน้าเขา ดวงตาจ้องเขม็งไม่ลดละ
“แทน คุณฟังฉันนะ…”
พริมาก้าวประชิดร่างสูงของอินทัช ประคองใบหน้าของหมอนั่นแล้วโน้มเข้าใกล้พลันกระซิบกระซาบข้อความบางอย่างข้างหู
วาริศจ้องภาพนั้นตาค้าง เขาไม่ได้ยินสิ่งที่พริมาเอ่ยกับอินทัชเพราะเสียงแซกโซโฟนเศร้าสลดบนเวทีดังกลบ แต่พอเห็นท่าทีของอินทัชอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด วาริศพลันรู้สึกถึงความหึงหวงปะทุร้อนรุนแรงในอกเสียยิ่งกว่าฤทธิ์เตกีล่าเป็นไหนๆ เมื่อตระหนักว่าอินทัชกับพริมามีความลับที่รู้กันแค่สองคนบนโลก ส่วนเขาถูกถีบกระเด็นออกมาจากทั้งคู่ราวกับเป็นส่วนเกิน!
“เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย”
น้ำเสียงของพริมากลับมาดังในระดับปกติอีกครั้ง อินทัชค่อยๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะหลับตาถอนหายใจยาวยืดอย่างช่วยไม่ได้
“ดี งั้นเรากลับกันเถอะ”
หญิงสาวโบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์คิดค่าเครื่องดื่ม แล้วเดินจูงมืออินทัชออกไปจากร้าน
ไม่คิดชายตามองกลับมาที่วาริศอีกเลย
‘ลืมที่ฉันบอกไปแล้วเหรอ…อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาสร้างเงื่อนไขในชีวิตคุณอีก’
‘…’
‘เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย’
ในตอนนั้นอินทัชไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพยักหน้ารับคำไปเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่จดจำได้อย่างแม่นยำคือประกายดาวในดวงตาของพริมา กับสัมผัสจากมือนุ่มทั้งสองข้างที่คอยประคองใบหน้าเขาเพื่อเรียกสติกลับคืน พร้อมย้ำประโยคอัศจรรย์ว่าอย่าปล่อยให้คนอย่างวาริศเข้ามาสร้างเงื่อนไขและมีอิทธิพลเหนือจิตใจเขาอีก
อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มไม่แน่ใจนักว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่วันนี้เขาเอาแต่คิดถึงห้วงเวลาไม่กี่วินาทีของคืนวาน นับเป็นห้วงเวลาที่ทำให้อินทัชคิดว่ามีเพียงเขาและพริมาแค่สองคนบนจักรวาล และเป็นห้วงเวลาที่วาริศหลุดไปจากวงโคจรระหว่างเขากับพริมาอย่างสมบูรณ์
เหมือนเช่นตอนนี้…ทั้งที่ห้องทำงานของแผนกเต็มไปด้วยครีเอทีฟจากหลากหลายทีม แต่อินทัชกลับไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียเลย เหตุใดสายตาของเขาถึงเอาแต่จับจ้องไปที่พริมาซึ่งกำลังวุ่นวายกับการอ่านข้อมูลออนไลน์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนเผลอปล่อยให้ฟองนมคาปูชิโนร้อนเลอะเหนือริมฝีปากเล็กอิ่มคู่นั้น หญิงสาวจะรู้ตัวบ้างไหมว่าฉุดเขาตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง จนนึกอยากจะจับเก้าอี้หมุนเธอมามองให้เต็มตา และเอื้อมมือไปเช็ดร่องรอยของฟองนมให้อย่างทะนุถนอม
ทว่าจังหวะนั้นพริมากลับหันมาทางเขาพอดี เธอคงไม่คิดว่าเขาเฝ้ามองเธอมาตลอดจึงมองตอบด้วยแววตาแปลกใจนิดๆ “มีอะไรติดอยู่บนหน้าฉันเหรอ”
อินทัชกะพริบตาปริบๆ ทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นนิ่งใบ้ไปเสียดื้อๆ ก่อนจะรวบรวมสติกลับไปสนใจภาพร่างโฆษณาบนจอคอมพิวเตอร์ต่อ ทิ้งพริมาไว้กับความงุนงงปนสงสัยในอาการแปลกๆ ของเขา ทว่าไม่กี่อึดใจ อินทัชก็ค่อยๆ หันมาเอ่ยกับพริมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฟองนม…”
“ฮึ?”
อินทัชถอนหายใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะขืนพูดดังไปกว่านี้อาจเป็นการเรียกความสนใจจากครีเอทีฟรอบข้าง เขาไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาใครเท่าไหร่ จึงตัดสินใจคว้ากระดาษทิชชูจากกล่องบนโต๊ะทำงานพริมาแล้วเลื่อนล้อเก้าอี้เข้าไปเช็ดฟองนมเจ้าปัญหาจากเรียวปากเล็กอย่างอ่อนโยน
ดูเหมือนพริมาจะตกตะลึงกับการกระทำของเขาราวกับโดนไฟช็อต หญิงสาวนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นไปหลายวินาที สายตาของเธออัดแน่นไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อเจือตำหนิอยู่กลายๆ โชคดีที่มีแค่เขาและเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้วงเวลาอันแสนสั้น พริมาหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ราวกับสำรวจให้ทั่วว่ามีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่หรือไม่ โดยเฉพาะวอแวกับชินทร…บุคคลผู้ไม่น่าไว้วางใจที่สุด กระทั่งสายตาสะดุดที่คู่หูจอมเพี้ยนซึ่งยังคงง่วนกับการถกเถียงกันเรื่องสตอรี่บอร์ดงานภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของจักรยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นภายใต้แนวคิดบอร์นทูบีฟรี พริมาก็ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกระซิบกระซาบกับเขาด้วยประโยคกึ่งถามกึ่งต่อว่า
“ทำอะไรของคุณ?!”
“เอ่อ…” เขาต่อจิ๊กซอว์คำตอบแบบข้างๆ คูๆ “ก็แค่เช็ดให้ ทำไมเหรอ”
อินทัชเห็นคิ้วเรียงสวยของพริมาขมวดเข้าหากัน ในใจเธอคงคิดว่าเขาจงใจกวนประสาทเป็นแน่ ให้ตอบคำถามแท้ๆ ดันมาถามกลับเสียอย่างนั้น
“แทน…”
น้ำเสียงคุ้นหูของพี่ตระการดังขึ้นพร้อมจังหวะก้าวฉับจากประตูบานหนาตรงมาหาเขา ดุจกรรมการห้ามมวยปราดเข้ามาให้สัญญาณหมดยก
“คุณศักดามีเรื่องจะคุยด้วย”
ได้ยินเพียงแค่นั้นอินทัชพลันตระหนักดีว่าคือเรื่องอะไร อันที่จริงเขาพอจะเตรียมใจมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นับตั้งแต่ตกปากรับคำกับแสงวิทย์ว่าจะทำโฆษณาให้ฟรี ขอเพียงอย่างเดียวคือแสงวิทย์ไม่เปลี่ยนใจไปเลือกใช้บริการเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตเป็นพอ ชายหนุ่มลอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม พยายามรวบรวมความกล้าสู่การเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินตามพี่ตระการออกไปจากห้อง
อินทัชก้าวพ้นขอบประตูได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังไล่หลัง ยังไม่ทันหันไปมองด้วยซ้ำ แต่กลับมั่นใจอย่างมากว่าเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์สาวไม่ผิดแน่
“ขอพริมไปด้วยนะคะพี่ตระการ” พริมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายอ้อนวอนแต่ซุกซ่อนความตั้งใจไว้เต็มที่ เธอคงรู้ดีว่าเขาถูกเรียกไปห้องเย็นด้วยเหตุผลใด
“คุณอยู่ที่นี่เถอะ มันเป็นการตัดสินใจของผม ผมควรรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมดเพียงคนเดียว” เขาวิงวอนเธอผ่านสายตา
“ได้ไง เราเป็นคู่หูกันนะ”
แววตาของพริมามุ่งมั่น สะกดอินทัชราวกับต้องมนตร์ จนใจของเขาไพล่นึกไปถึงบทสนทนาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ‘เราสองคน…น่าจะลองเปลี่ยนคู่ดู’ เขาเคยพูดอย่างนั้นกับพริมา น่าขันตัวเองเสียจริง ในวันนั้นทั้งเขาและเธอต่างรู้สึกไม่ต้องชะตากันและกันเลยด้วยซ้ำ พริมาคงเห็นว่าเขาสนใจแต่เรื่องเพียงแพรจนทิ้งงานทิ้งการ ส่วนเขาเองก็เอาแต่มองว่าพริมาคอยกีดกันความรักที่เขามีให้เพียงแพรไม่เลิก
ทำไมความรู้สึกตอนนั้นช่างแตกต่างจากตอนนี้ อินทัชไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงเร่งรัดสรุปในใจว่าน่าจะเป็นเพราะพัฒนาการความสัมพันธ์ฉันเพื่อนร่วมงานที่ดีขึ้น…เขาบอกตัวเองอย่างนั้น ทั้งที่ความรู้สึกพิลึกบางอย่างเริ่มก่อตัวในใจ สร้างความสงสัยและยากแก่การไขปริศนายิ่ง
“ไม่เป็นไร ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นครั้งแรกเสียหน่อย ผมชินซะแล้วล่ะ อีกอย่าง…ตอนนั้นผมไม่ได้หันไปปรึกษาคุณด้วยซ้ำ ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของผมคนเดียว ในเมื่อคุณไม่เกี่ยวกับความผิดบ้าบอนี่ ก็ควรกลับไปนั่งทำงานตามเดิมซะ อย่าเข้ามายุ่งให้เสียเวลาเลย”
อินทัชโน้มน้าวพริมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่อยากให้เธอต้องมาเจ็บตัวเพราะการตัดสินใจไม่ได้เรื่องของเขา แต่คนอย่างพริมาไม่ใช่ประเภทยอมฟังใครง่ายๆ ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งของหญิงสาว อินทัชพบว่าเธอเป็นเด็กหัวรั้นและดื้อเงียบ ยากแก่การรับมือพอสมควร รู้ตัวอีกที…ร่างระหงของคนหัวรั้นก็ก้าวนำหน้าเขากับพี่ตระการตรงไปที่ห้องของคนเป็นทั้งนายและพ่อเขาเสียแล้ว
“พริม…กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้” พ่อสั่งพริมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดทันทีที่เห็นเธอปรากฏตัวในห้องทำงาน
“ไม่ค่ะ” เธอดึงดันขอร่วมฟังกระบวนการไต่สวนในห้องเป็นเพื่อนเขา “พริมอยากช่วยแทนอธิบายเรื่องทั้งหมด เพราะคิดว่าถ้าปล่อยแทนมาที่นี่คนเดียว เขาคงเล่าความจริงแค่ครึ่งเดียวแน่นอน”
อินทัชชะงักไปชั่วขณะ สมองค่อยๆ ทบทวนคำพูดของพริมาอย่างถ้วนถี่ จนอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าที่เธอพูดเช่นนี้ เป็นเพราะเธอห่วงเขาจริงๆ ใช่ไหม
ถ้าไม่ใช่ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่
“พริม…นี่เป็นเรื่องที่ฉันต้องคุยกับแทนเท่านั้น” นัยน์ตาพญาเหยี่ยวของพ่อฉายแววไม่พอใจ “ทำตามที่ฉันบอก กลับไปทำงานต่อซะ”
“แต่คุณศักดาคะ ที่แทนตัดสินใจทำโฆษณาให้ไบรเทนฟรีๆ พริมเองก็มีส่วนผิด ถ้าพริมช่วยแทนโน้มน้าวได้ดีกว่านี้ คุณแสงวิทย์ต้องซื้อไอเดียเราแน่นอน…”
“คุณออกไปเถอะ” อินทัชสบตาอ้อนวอนขอให้เธอหยุด…หยุดเปลืองตัวเพื่อปกป้องเขาเสียที เพราะเพียงแค่นี้เขาก็ซาบซึ้งน้ำใจเธอมากพอแล้ว
“…”
“ได้โปรดพริม…ผมขอร้อง”
แต่พริมากลับส่ายหน้า “ไม่ ฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ ถึงฉันจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ แต่คุณก็น่าจะบอกไปตามตรงว่าที่คุณพูดไปแบบนั้น เพราะคุณแสงวิทย์บอกว่าจะยกเลิกสัญญา ไปจ้างเอเจนซี่อื่นมาทำแทนเรา!”
“ว่าไงนะ?!” พ่ออุทานลั่น ราวกับยังไม่รู้ข้อมูลเรื่องนี้มาก่อน
พริมาเห็นอย่างนั้นจึงสูดหายใจลึกตั้งท่าเล่าต่อ “ค่ะ เขาบอกว่าจะให้…”
มือหนาของอินทัชเข้าไปกระตุกข้อมือพริมาอย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าเป็นนัยขอร้องให้เธอหยุด อย่าได้หลุดชื่อเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตออกมาเชียว ไม่เช่นนั้นเธอได้เห็นระเบิดลูกใหญ่ลงกลางห้องแน่
พริมามองตอบด้วยแววตาสะท้อนจัด จนอินทัชเผลอคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้งว่าเธอกำลังเจ็บปวดที่ไม่สามารถปกป้องเขาได้ ทำไมเขาต้องห้ามเธอไม่ให้พูดอยู่เรื่อย จนเธอชักจะเหนื่อยจนอยากทรุดกายลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง
ยังไม่ทันที่ใครสักคนจะเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดใจจนอินทัชคาดเดาไม่ถูกว่าบทสนทนาต่อจากนี้จะดำเนินไปในทิศทางไหน เสียงเคาะประตูบานใหญ่กลับดังขึ้น อินทัชมั่นใจว่าไม่มีใครในเอเจนซี่แอดดิกต์กล้าเคาะห้องทำงานพ่อด้วยจังหวะรัวเร็วแบบนี้ ไม่กี่อึดใจประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดกว้าง ไร้การส่งสัญญาณเพื่อขออนุญาต จนสายตาเจ้าของห้องเปลี่ยนเป็นขุ่นขวาง แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น…ความปีติยินดีพลันเดินทางมาแทนที่ เมื่อพ่อเห็นผู้มาใหม่ปรากฏตัวหน้าประตู
“เซอร์ไพรส์ค่ะพ่อ!”
เสียงหวานที่ไม่ได้ยินมานานหลายเดือนลอยมาจากด้านหลัง อินทัชหันไปมองเจ้าของเสียงทันควัน
ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องสาวคนเดียวของเขาจะอยู่ที่ห้องนี้…เวลานี้…
อินทร์แก้วกลับมาแล้ว
วาริศทราบความเคลื่อนไหวนี้หลังเปิดดูหน้าโซเชียลมีเดียของอินทร์แก้วบนจอโทรศัพท์มือถือ ภาพถ่ายคู่ศักดาเผยใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อลูกที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ช่างเป็นครอบครัวที่มีความสุขกันเหลือเกิน
“ดูอะไรของแกวะไอ้ริศ” กริชถามด้วยน้ำเสียงแกล้งเย้าขณะเดินถือถ้วยกาแฟร้อนออกมาจากบ้านปูนเปลือยสองชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตความคิดสร้างสรรค์นามเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ต แล้วตรงมาหาเขาซึ่งนั่งพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาวบนม้านั่งตัวเก่าใต้ร่มไม้ใหญ่ด้านหน้า “อย่าบอกนะว่ากำลังเหล่สาว”
วาริศรีบกดล็อกหน้าจอมือถือทันที ก่อนที่เพื่อนคนนี้จะรู้ว่าเขากำลังเหล่สาวคนไหน
“รีบปิดเชียวนะแก บอกมาเหอะน่าว่ากำลังเล็งใครอยู่”
“เปล่านี่”
“ไอ้นี่ โกหกหน้าตายตลอด ก็เห็นๆ อยู่ว่ากำลังส่องสาวในเฟซบุ๊ก”
เมื่อเห็นว่ากริชชักจะรู้มากเกินไป วาริศจึงรีบเปลี่ยนประเด็นไปถามเรื่องคนใกล้ตัวอีกฝ่ายแทน
“แพร…หายโกรธฉันยังวะ”
แม้เพียงแพรจะไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวหลังรู้ความจริงว่าเขาเป็นคนจัดฉากให้เธอเข้าใจอินทัชผิด แต่วาริศก็รู้ดีว่าเธอยังขุ่นเคืองเขาอยู่ และเลือกที่จะเมินเฉยแทนการตวาดสาดโทสะร้อน อันที่จริง…หากเพียงแพรเลือกทำอย่างหลัง เขายังจะรู้สึกดีเสียกว่าที่เธอเงียบหายไปแบบนี้
“แพรไม่พูดถึงแกเลยว่ะ”
ลึกๆ แล้วกริชคงรู้สึกเคืองเขาอยู่เช่นกัน เมื่อรู้ว่าความรักของตัวเองกับเพียงแพรนั้นเริ่มต้นจากความสัมพันธ์อันบูดเบี้ยวระหว่างเขากับอินทัช
“แม้แต่แกเองก็ยังโกรธฉัน” น้ำเสียงของวาริศเบาเรียบ ปลอบใจตัวเองว่าที่ทำไป…เพราะหวังดีกับเพียงแพรจริงๆ “แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำเป็นลืมๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ทำไงได้วะ ถึงโกรธ แต่ก็เกลียดไม่ลง แพรเองก็น่าจะคิดเหมือนฉัน” กริชถอนหายใจ “อีกอย่าง…ฉันกับแพรคุยกันแล้วว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบกับความสัมพันธ์ของเรา”
“ได้ยินอย่างงั้นฉันก็สบายใจ ที่ฉันทำไปเพราะอยากให้แกสองคนได้รักกันจริงๆ นะเว้ย”
กริชฝืนยิ้มแห้งอย่างช่วยไม่ได้ “ว่าแต่แกเถอะ ตอนแรกเห็นบอกจะไม่มางานแต่งฉัน ทำไมถึงนึกเปลี่ยนใจกะทันหัน”
“ก็แค่สังหรณ์ใจว่าหมอนั่นจะมาพังงานแกกับแพร”
กริชพยักหน้าราวกับยอมรับว่าการให้เหตุผลของเขาเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ “แล้วแก…ได้ข่าวเจนบ้างรึเปล่า”
วาริศส่ายหน้าแทนคำตอบ ด้วยความสัตย์จริง…นับตั้งแต่วันนั้นเขาไม่ได้ข่าวคราวของเจนอีกเลย คงหมดหน้าที่ของเจนแล้ว หล่อนเลือกมาปรากฏตัวที่งานเพราะต้องการช่วยอินทัชเพื่อล้างตราบาปในใจ ก่อนจากไปพร้อมกับความเจ็บปวด
“เอ้อ เกือบลืมบอก พ่อฉันให้มาตามแกไปเจอที่ห้องหน่อย เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
วาริศพยักหน้ารับทราบ ในใจเดาว่าเรื่องที่คุณอาธนาอยากหารือด้วยนั้นไม่น่าใช่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว เขาบอกกริชว่าขอเวลานั่งทอดอารมณ์อัดบุหรี่ให้หมดมวนพลางชมนกชมไม้ต่อสักห้านาที แล้วจะรีบขึ้นไปพบเจ้าของเอเจนซี่ตามคำสั่ง
กระทั่งเข็มนาทีเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่อยากเอนกายเพลิดเพลินกับชั่วโมงผ่อนคลายพาตัวเองหลีกหนีจากงานเป็นการชั่วคราว วาริศจำต้องลุกจากม้านั่ง กลับเข้าไปในอาคารปูนเปลือยสองชั้นอีกครั้ง มุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของคุณอาธนาบนชั้นสอง
“งานประกาศผลรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมปีนี้ อาตั้งใจจะให้เราช่วยทำโฆษณาเพิ่มให้ลูกค้าเก่าสักสามราย ไว้ใช้ส่งประกวดที่จะหมดเขตส่งอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า” คุณอาธนาเอ่ยขึ้นทันทีที่วาริศหย่อนกายนั่งบนโซฟากลางห้อง
“คุณอาจะให้ผมทำงานสแกม*?”
“ก็ไม่เชิง…” คนสูงวัยกว่าเว้นช่วงหยิบถ้วยชาร้อนบนโต๊ะกลางขึ้นจิบ “เราจะทำเพื่อเสนอลูกค้าเพิ่มเติมจากแคมเปญเดิม ถ้าลูกค้าชอบและสนใจซื้อไอเดียสำหรับส่งประกวด เราจะใช้เป็นโฆษณาจริงด้วย”
“ก็ดีครับ จะได้ไม่เสียแรงทำเพียงเพราะอยากส่งประกวดเฉยๆ”
เพราะสิ่งที่เอเจนซี่โฆษณาขายให้ลูกค้าคือไอเดียซึ่งหยิบจากอากาศมาปั้นเป็นตัว ไม่สามารถจับต้องได้เหมือนสบู่หรือยาสีฟัน ในโลกโฆษณา…รางวัลจึงถือเป็นหลักประกันความมั่นใจแก่ลูกค้าว่าเอเจนซี่นั้นๆ สามารถผลิตไอเดียคุณภาพป้อนพวกเขาได้อย่างแน่นอน เห็นได้จากลูกค้าหลายรายตัดสินใจเลือกเอเจนซี่ที่อยากร่วมงานด้วยจากคุณภาพของงานและปริมาณของโล่รางวัล
“ทุกไอเดียที่ส่งประกวดของแอคต์แพลเน็ตจะต้องเป็นผลงานที่ลูกค้าเอาไปใช้ต่อได้จริง”
คุณอาธนายืนยัน แล้วจัดการแจกแจงรายละเอียดสินค้าที่ต้องการให้วาริศช่วยทำโฆษณาประกวด เขาและคุณอาใช้เวลานั่งคุยเรื่องงานเกือบชั่วโมงในการทำความเข้าใจโจทย์ต่างๆ
ก่อนปล่อยเขากลับไปทำงานต่อ เจ้าของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตไม่ลืมเบนทิศบทสนทนาแวะเวียนไปยังฝั่งแอดดิกต์เหมือนเช่นทุกครั้ง
“ได้ข่าวมาว่ามีคนส่งพัสดุประหลาดไปให้ศักดากับลูกชาย”
“ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ”
คุณอาธนาหัวเราะร่วนอย่างรู้ทันว่าใครเป็นคนส่งมันไป แล้ววกกลับมาที่หัวข้องานประกวดรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมประจำปีต่อ “ทุกๆ ปีจะมีการมอบรางวัล ‘สุดยอดคนโฆษณาแห่งปี’ แก่คนที่ได้ทำคุณงามความดีให้กับวงการ”
“…”
“อาพอจะได้ข่าวแล้วล่ะว่าใครได้รางวัลที่ว่าในปีนี้”
* Scam AD คือโฆษณาที่จัดทำขึ้นเพื่อส่งประกวดโดยไม่มีผู้ว่าจ้าง ไม่เคยนำเสนอต่อสาธารณชนมาก่อน หรืออาจเป็นงานที่เจ้าของสินค้าไม่ซื้อไอเดียนั้นๆ แต่ต้องการส่งประกวดเพราะเอเจนซี่เห็นว่าเป็นไอเดียที่แรง สแกมแอดจึงเปรียบเหมือนพื้นที่ปล่อยจินตนาการสำหรับครีเอทีฟ