LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่10-บทที่11
บทที่ 11
บุตรสาวของศาสดา
รอยยิ้มปลื้มปีติบนใบหน้าพ่อมลายหายไปสิ้น อินทัชสัมผัสได้ถึงความร้อนและความโกรธพุ่งมาแทนที่ ทันทีที่ลูกสาวคนเล็กสารภาพความจริงหลังปกปิดมาตลอดห้าปี
“ทำแบบนี้ทำไม?!” พ่อย้อนถามอินทร์แก้วอย่างฮึดฮัดขัดใจ
“แก้วขอโทษค่ะพ่อ แก้วรู้ว่าแก้วผิดที่ไม่ได้ขออนุญาตพ่อตั้งแต่แรก…” อินทร์แก้วพยายามอธิบายให้คนเลือดขึ้นหน้าเข้าใจการตัดสินใจของเธอ “แต่แก้วไม่อยากเรียนการตลาดอย่างที่พ่ออยากให้เรียนจริงๆ อีกอย่าง…การที่แก้วเปลี่ยนไปเรียนทำหนังก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน”
ดวงหน้าของอินทร์แก้วซีดลงจนเห็นได้ชัด อินทัชสงสารเธอจับหัวใจ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนเคียงข้างและกุมมือเย็นเฉียบของน้องสาวอย่างให้กำลังใจ ทั้งที่ใจจริงอยากจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อช่วยให้อินทร์แก้วรอดพ้นจากอาณาเขตความโกรธของพ่อ แต่อินทัชกลับนึกกลัว ใจสั่นระรัวทุกครั้งที่อยากเปล่งวาจาปกป้องการตัดสินใจของอินทร์แก้ว
“ผมเชื่อว่าแก้วคิดดีแล้ว…” อินทัชพูดได้เพียงแค่นั้น จนรู้สึกอดสูในหัวใจอย่างรุนแรง
“แกเองก็รู้เรื่องนี้?” พ่อตวัดนัยน์ตาเหยี่ยวคู่ขวางมาที่เขา “ในเมื่อรู้แล้วทำไมไม่รู้จักห้ามน้อง นี่แก…ยังหลงเหลือความเป็นพี่อยู่รึเปล่าเจ้าแทน?!”
อินทัชถอนหายใจ ไม่ว่าใครทำอะไรผิด พ่อมักดึงเขาไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเหล่านั้นเสมอ
“พ่อคะ เรื่องนี้เป็นความผิดของแก้วคนเดียว พ่ออย่าดึงแทนเข้ามาเกี่ยวเลยนะคะ แทนห้ามแก้วแล้ว แต่แก้วดึงดันจะเปลี่ยนไปเรียนทำหนังเอง”
พ่อได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับบีบขมับอย่างกลัดกลุ้ม “แล้วไง คิดว่าจะหนีงานที่เอเจนซี่นี้พ้นเหรอ” น้ำเสียงของพ่อเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ฉันมีสองอย่างให้เลือก เออี…หรือว่าแพลนเนอร์”
“แก้วไม่เลือก จะเออีหรือว่าแพลนเนอร์ แก้วก็ไม่เลือก”
“อินทร์แก้ว!”
“ที่แก้วกลับมาจากอเมริกา เพราะแก้วอยากบอกความจริงให้พ่อรู้ พ่อไม่ต้องเข้าใจแก้วก็ได้ แค่ยอมรับการตัดสินใจของแก้วก็พอ”
อินทร์แก้วเม้มริมฝีปากแน่น สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา อาจเพราะเธอเป็นคนสดใส มองโลกในแง่ดีเสมอมา จึงคิดว่าพ่อน่าจะยอมรับการตัดสินใจของเธอได้ไม่ยากเย็น
แต่อินทร์แก้วอาจหลงลืมอะไรบางอย่างไปว่าพ่อเกลียดคนโกหกมากแค่ไหน ยิ่งปิดบังความจริงมานานหลายปี แล้วค่อยมาสารภาพทีหลังเช่นตอนนี้ ยิ่งทำให้พ่อรู้สึกเหมือนคนโง่ไม่ผิดเพี้ยน
พ่อนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ ชวนให้อินทัชรู้สึกกระวนกระวายใจแทนน้องสาวอย่างยิ่ง เพราะนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก พ่อน่าจะกำลังครุ่นคิดหาทางออกสักทาง และแน่นอนว่าไม่ใช่ทางออกที่อินทร์แก้วต้องการ
“ไก่ นี่ฉันเอง…” พ่อกรอกเสียงลงหูโทรศัพท์ภายใน ปลายสายคือปีย์รกาหัวหน้าแผนกเออี “ฉันจะให้พนักงานใหม่เข้ามาช่วยงานที่แผนกเออี…ชื่ออินทร์แก้ว…ใช่ ลูกสาวคนเล็กฉันเอง เพิ่งกลับจากอเมริกามาหมาดๆ ยังไงฝากโอนลูกค้าใหม่มาให้อินทร์แก้วดูแลด้วยนะ…โอเค ขอบใจมาก”
“พ่อคะ!” น้ำใสๆ รื้นขอบตา ความหวังดีของพ่อ…เธอไม่อยากรับไว้เลยสักนิด
“มีลูกสองคน ไม่มีคนไหนได้ดั่งใจเลยสักคน” พ่อพึมพำอย่างนั้นราวกับต้องการระบายความรู้สึกหนักอึ้งในใจ
แต่จะรู้บ้างไหมว่าเขากับอินทร์แก้วได้ยินแล้วรู้สึกเช่นไร
เจ็บปวด…น้อยใจ…เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย
ตะวันคล้อยต่ำหลบหลีกผู้คนไปนานแล้ว แต่ดวงหน้าของอินทร์แก้วยังคงหม่นหมอง เข้ากันดีกับทำนองหดหู่ของเสียงเปียโนภายในบาร์บริเวณโถงล็อบบี้โรงแรมห้าดาว ขณะเข็มนาฬิกาล่วงสู่ช่วงเวลาสามทุ่มเป็นที่เรียบร้อย
วาริศไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือความบังเอิญที่ชอบเล่นกล ชักใยให้ลูกค้าเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตนัดเขามาทานมื้อค่ำที่ห้องอาหารไทยเลื่องชื่อในโรงแรม จนได้มาพบอินทร์แก้วหลังแยกย้ายจากลูกค้าซึ่งขอตัวกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว
เขาจำอินทร์แก้วได้ตั้งแต่แรกเจอ อาจเป็นเพราะทำการบ้านมาดี อาศัยการจดจำรูปร่างและใบหน้าจากบรรดาภาพถ่ายในโซเชียลมีเดีย ประกอบกับอินทร์แก้วมักเผยให้เห็นถึงบุคลิกร่าเริงสดใส ควรค่าแก่การมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำได้ขึ้นใจ โดยเฉพาะดวงตากลมโตสุกใส เข้ากันดีกับจมูกโด่งและปากอิ่มบนใบหน้าขาวเนียน แม้จะไม่สวยหมดจดเท่าพริมา แต่วาริศลงความเห็นในใจว่าอินทร์แก้วมีเสน่ห์ชวนมองไม่แพ้ผู้หญิงคนไหนๆ
แต่เหตุไฉนบุตรสาวของศาสดาโฆษณาไทยถึงได้มีใบหน้าอมทุกข์ราวกับโลกทั้งใบจะถล่มลงตรงหน้า ทั้งที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ เป็นวันแรก
วาริศหย่อนกายลงบนโซฟาบุหนังสีดำไม่ใกล้ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์บาร์ที่อินทร์แก้วนั่งอยู่ เขาเห็นเธอชัดทุกอากัปกิริยา ทั้งสีหน้าและแววตา รวมถึงมือเรียวขณะล้วงโทรศัพท์มือถือซึ่งกำลังส่งเสียงร้องออกจากกระเป๋ากางเกง อินทร์แก้วจ้องหน้าจอมือถือได้ไม่ถึงสามวินาทีก็ตัดสายไป ไม่ทันไรน้ำตาพานไหลอาบแก้มเนียน เขาจับสังเกตเห็นเธอพยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดกำลัง แล้วยกแก้วกระดกวิสกี้รสเข้มจนหมด และเป็นเช่นนั้นไปอีกหลายแก้ว
หนึ่งชั่วโมงถัดมา อินทร์แก้วคงรับรู้ว่าเผลอดื่มเกินลิมิตตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวจึงกวักมือเรียกพนักงานคิดค่าเสียหาย แล้วค่อยๆ ยันตัวเองจากเคาน์เตอร์บาร์ สะพายกระเป๋าหมายออกไปจากล็อบบี้โรงแรม ฤทธิ์แอลกอฮอล์คงปั่นหัวอินทร์แก้วอย่างหนักหน่วงจนเดินเซไปชนกับขอบโซฟาหรูตัวยาวหน้าเคาน์เตอร์เช็กอินเข้า ไม่ถึงอึดใจ…สติของร่างบางพลันดับวูบ
โชคดีที่วาริศเข้าไปประคองร่างบางไว้ได้ทัน
ความจริงเขาเดินตามมาติดๆ ตั้งแต่เธอลุกจากเก้าอี้บาร์ ชนิดที่หญิงสาวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าใครคนหนึ่งคอยสังเกตการณ์มาตลอด
“คุณแก้ว…คุณแก้ว…”
เขาเรียกชื่อเธอซ้ำๆ คล้ายหวังดึงสติเธอกลับคืน แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการแสดงฉากบังหน้าให้พนักงานโรงแรมเข้าใจว่าเขากับเธอต่างรู้จักกันดี ก่อนจะจัดการกระชับร่างบางให้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง แล้วพาไปยังอาคารจอดรถ จังหวะที่วาริศสตาร์ตเครื่องยนต์ เขาได้ยินโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายของอินทร์แก้วสั่นคราง ชายหนุ่มจึงถือวิสาสะเปิดดู พบว่าเจ้าของสายที่โทรเข้ามานั้นคืออดีตเพื่อนรัก
ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่าอินทัช ไว้ ‘พี่ชายแปลกหน้า’ คนนี้จะดูแลน้องสาวของแกเป็นอย่างดีเอง
เผลอๆ อินทร์แก้วอาจติดใจ ไม่อยากอยู่ห่างเขาตลอดไปเลยก็ได้
กระทั่งช่วงสายของวันรุ่งขึ้น สิ่งที่วาริศคำนวณไว้ตั้งแต่เมื่อคืนพลันเดินทางมาถึง ขณะเปิดประตูห้องนอนบนชั้นสองของบ้านป้าแหวน ร่างบางของอินทร์แก้วยังนอนขดใต้ผ้าห่มผืนหนาก็จริง แต่เปลือกตาจากที่เคยหลับสนิทมาตลอดทั้งคืนเปลี่ยนเป็นค่อยๆ ลืมขึ้น สำรวจภาพข้าวของเครื่องเรือนภายในห้องอย่างพิจารณา ก่อนสายตาจะประสานเข้ากับเขาพอดี อินทร์แก้วถึงตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของศักดาหรือคอนโดมิเนียมของอินทัช
หญิงสาวเด้งตัวลุกขึ้นนั่งโดยทันทีเมื่อสติคืนสู่ร่างอย่างสมบูรณ์ วาริศสังเกตเห็นลมหายใจอินทร์แก้วถี่รัว แววตานิ่งไปราวกับกำลังสาวเชือกดึงเหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมดมาปะติดปะต่อ เธอดื่มไปมากจนไม่อาจจำได้แม้แต่เสี้ยวเดียวเลยด้วยซ้ำว่าหมดสติไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ในห้องนอนคนแปลกหน้าแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอครับ” วาริศคลี่ยิ้มบางทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน
ดวงตากลมโตของอินทร์แก้วแทบเหลือกถลน เมื่อก้มลงมองตัวเองใต้ผ้าห่มแล้วเห็นเสื้อยืดสีเทากับกางเกงเลสลับกับใบหน้าเขา จินตนาการของเธอคงเตลิดไกลไปถึงไหนต่อไหนว่าทำไมเธอถึงอยู่ในชุดนี้ นี่ไม่ใช่ชุดที่เธอใส่เมื่อคืนนี่
“คุณเป็นใคร?!” เธอร้องถาม ปากสั่นละล่ำละลัก
“ใจเย็นคุณ…ฟังผมก่อน”
“ฉันถามว่าคุณเป็นใคร?!”
อินทร์แก้วรีบลุกจากเตียงเมื่อเห็นเขาขยับเข้ามาใกล้ แต่ดูเหมือนร่างบางจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่จนถอยกรูดชิดผนัง กวาดสายตาทั่วห้องนอนมองหาอาวุธ แต่กลับไม่มีอะไรช่วยปกป้องเธอได้ดีไปกว่าหมอนข้าง เพราะห้องนี้เป็นห้องนอนที่ป้าแหวนจัดเตรียมไว้สำหรับรับรองแขกหรือเวลาญาติจากต่างจังหวัดเดินทางมาเยี่ยม
“อย่าเข้ามานะ คนเลว คนฉวยโอกาส แกมันเลวที่สุด แกทำกับฉันแบบนี้ได้ไง!” ไม่น่าเชื่อว่าจินตนาการของเธอบัดนี้จะขยายใหญ่จนไร้ขอบเขต
“ไปกันใหญ่แล้วคุณ”
“…”
วาริศถอนหายใจ ยกมือทั้งสองข้างแทนนัยขอให้เธอใจเย็น “ผมไม่ใช่คนเลวอย่างที่คุณคิดหรอกน่า”
“โกหก!” น้ำใสๆ เอ่อรื้นดวงตากลมโต
“ผมไม่ได้โกหก”
“อย่าเข้ามานะ!” อินทร์แก้วกรีดร้องลั่นบ้าน ท่าทางตื่นตระหนกถึงขีดสุด สุดท้ายความชุลมุนเล็กๆ ระหว่างเขากับเธอก็ถึงคราวสิ้นสุดลง เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเหยียบขั้นบันไดไม้ขึ้นชั้นสองตรงมาที่ห้องนี้ทันที
“เกิดอะไรขึ้น” ป้าแหวนกุลีกุจอแววตาตื่น
“ไม่มีอะไรหรอกครับป้า เธอแค่ตกใจ ปัญหาคือผมพยายามอธิบาย แต่เธอไม่ยอมฟัง” วาริศหันไปทางอินทร์แก้วอีกครั้ง “นี่คุณ…ผมไม่ใช่พวกบ้ากามอย่างที่คุณคิดหรอกน่า”
“แล้วทำไมฉัน…ถึงอยู่ในชุดนี้ได้”
“ป้าเป็นคนเปลี่ยนให้หนูเองจ้ะ เมื่อคืนหนูอาเจียนรดชุดตัวเองเต็มไปหมดเลย”
“คุณดื่มหนักมากเลยนะรู้ตัวบ้างมั้ย” วาริศสำทับ “ผมเห็นคุณเมาสลบที่ล็อบบี้โรงแรม เราสองคนไม่รู้จักกันมาก่อน ผมเลยไม่รู้จะไปส่งที่บ้านคุณยังไง แถมแบตฯ มือถือคุณดันมาหมดอีก ผมเองก็ไม่กล้าทิ้งคุณไว้แถวนั้น เพราะเห็นว่ามาคนเดียว”
“จริงเหรอ” น้ำเสียงอินทร์แก้วอ่อนลง ทว่าความรู้สึกเคลือบแคลงใจยังคงปรากฏในดวงตา
“จริง” วาริศยืนยันหนักแน่น
“ป้าเป็นพยานได้” ป้าแหวนส่งยิ้มให้อินทร์แก้วอย่างเอ็นดู “หลานป้าไม่ใช่คนร้ายที่ไหนหรอก หนูเชื่อใจพวกเราได้”
กว่าจะเกลี้ยกล่อมอินทร์แก้วให้สงบลงได้ เล่นเอาวาริศกับป้าแหวนแทบไม่ต้องทำงานทำการอย่างอื่น หญิงสาวหายตัวไปในห้องน้ำราวครึ่งชั่วโมง ก่อนกลับมาอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อคืนซึ่งป้าแหวนจัดการซักล้างพร้อมปั่นแห้งผึ่งแดดแรงยามเช้าให้เรียบร้อย
ป้าแหวนชวนอินทร์แก้วมาร่วมโต๊ะอาหารทานข้าวต้มปลาร้อนๆ ด้วยกัน ร่างบางปฏิเสธเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามวาริศ พร้อมกล่าวขอบคุณเขากับป้าแหวนที่ช่วยดูแลเธอเป็นอย่างดีทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ป้าแหวนบอกไม่เป็นไร รีบกินมื้อเช้าเถิดจะได้กลับบ้าน ป่านนี้ครอบครัวเธอคงเป็นห่วงแย่ แต่สีหน้าของอินทร์แก้วกลับสลดลง จนวาริศอดฉงนไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่ เขาจึงเลือกเงียบไปก่อน หากเธอพร้อม…คงเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเอง
“สภาพฉันเมื่อคืน…คงดูไม่ค่อยได้” อินทร์แก้วเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้าแหวนลุกจากโต๊ะหลังจัดการข้าวต้มปลาเสร็จ กลับเข้าไปสาละวนกับงานในครัวต่อ
“ก็นิดหน่อยครับ”
วาริศตอบเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เขาเห็นอินทร์แก้วทำหน้าเหยเก ราวกับไม่อยากนึกถึงสภาพตัวเองเมื่อคืนเอาเสียเลย
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้ แล้วก็…ต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจคุณผิดไป”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย”
“ว่าแต่…คุณมีสายชาร์จไอโฟนมั้ยคะ แบตฯ มือถือฉันน่าจะหมดตั้งแต่เมื่อคืน”
“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมลืมสายชาร์จไว้ที่ทำงาน ส่วนของป้าผมเป็นมือถือแอนดรอยด์ ใช้กับไอโฟนไม่ได้ซะด้วย”
คราวนี้สีหน้าของอินทร์แก้วเปลี่ยนไปเป็นครุ่นคิด “ถ้าอย่างงั้น…ฉันรบกวนขอยืมมือถือคุณโทรหาที่บ้านหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้สิครับ” เขายื่นมือถือซึ่งแบตเตอรี่เหลืออยู่เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ให้
สงสัยเสียจริงว่าเธอจะใช้โทรศัพท์เขาโทรเข้าเครื่องใครกัน
ศักดา…สราลี…หรือว่าอินทัช
“ฮัลโหลแทน” อินทร์แก้วทักทายปลายสายพลางสบตาค้อมศีรษะให้เขาแทนคำขอบคุณ “โทษที พอดีแบตฯ มือถือหมดน่ะ…ตอนนี้แก้วอยู่บ้าน…เพื่อน แทนแวะมารับแก้วที่บ้านเพื่อนก่อนได้มั้ย เอากระเป๋าเดินทางแก้วมาด้วยนะ เมื่อวานโกรธพ่อมากเลยลืมลากออกมาด้วย…ที่ไหนน่ะเหรอ เอ่อ แป๊บนึงนะ…” อินทร์แก้วเอ่ยเสียงกระซิบถามวาริศ “ขอที่อยู่หน่อยได้มั้ยคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ลุกขึ้นไปหยิบกระดาษแผ่นเล็กและดินสอแท่งสั้นบนชั้นวางข้างจอโทรทัศน์ เขียนที่อยู่ด้วยลายมือยุกยิกแล้วยื่นให้ อินทร์แก้วเห็นแล้วถึงกับย่นหัวคิ้วพยายามแกะลายมืออ่านยากของเขาบอกให้อินทัชรู้ ก่อนจะกำชับให้พี่ชายรีบมารับโดยด่วน
“ลายมือคุณอ่านยากมากเลยค่ะ” เธอยิ้มพลางยื่นมือถือคืน
“จริงเหรอครับ มีคนเคยบอกว่าลายมือสะท้อนตัวตนคนเขียน แต่ผมว่า…ผมไม่น่าใช่คนอ่านยากขนาดนั้นนะ” เขายิ้มตาพราวให้เธอ “ความจริงผมขับรถไปส่งคุณที่บ้านได้นะครับ ไม่เห็นต้องให้ที่บ้านขับมารับเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีฉันจะให้พี่ขนกระเป๋าเดินทางมาให้ด้วย อีกสักครึ่งชั่วโมงน่าจะมาถึง”
“คุณเพิ่งกลับจากเที่ยวเหรอครับ”
“ฉันเพิ่งเรียนจบค่ะ”
“ยินดีด้วยนะครับ” เขารู้ดีว่ากำลังส่งยิ้มบาดตาให้เธอ “ว่าแต่…ขอโทษนะครับที่ต้องถาม เมื่อคืนผมเห็นคุณร้องไห้ทั้งตอนนั่งรถแล้วก็ตอนนอน มีอะไรรึเปล่าครับ เผื่อผมจะช่วยคุณได้”
รอยยิ้มในดวงตาอินทร์แก้ววูบลงทันใด วาริศเองพลันนิ่งงันไปอย่างรู้งานว่าควรแสดงออกทางสีหน้าและแววตาอย่างไร ก่อนจะพร่ำขอโทษอินทร์แก้วเป็นการใหญ่ที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวทั้งที่เจอกันเป็นครั้งแรก
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดี…ฉันทะเลาะกับพ่อมานิดหน่อย”
“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคุณกับพ่อทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ลองคิดในแง่ดีสิครับว่าโชคดีแค่ไหนที่ยังมีพ่อให้ทะเลาะด้วย…”
จนถึงตอนนี้อินทร์แก้วคงจับได้ถึงร่องรอยความเศร้าในดวงตาเขาเต็มทน
“พอดี…พ่อผมเสียไปหลายปีแล้วน่ะครับ พอเห็นใครทะเลาะกับพ่อ ผมจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”
“คุณกับพ่อคุณ…คงสนิทกันมาก”
วาริศยิ้มรับ สบตาเธออย่างซาบซึ้งในน้ำใจใสซื่อ อินทร์แก้วคงไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาเอ่ยปลอบใจคนไม่มีพ่ออย่างเขา
พอเห็นเขาซึมไปถนัดตาอินทร์แก้วจึงพยายามชวนคุยเรื่องอื่น เธอดึงเขาเข้าสู่บทสนทนาว่าด้วยเรื่องประสบการณ์การท่องเที่ยวหลังเรียนจบ หญิงสาวสวมบทเป็นแบ็กแพ็กเกอร์ท่องไปในเอเชียและยุโรปมาแล้วหลายต่อหลายประเทศด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงที่หามาได้ขณะเรียน พอเขาถามว่าเธอชอบประเทศไหนมากที่สุด อินทร์แก้วตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไต้หวัน เขาถามต่อว่าทำไมถึงชอบไต้หวัน อินทร์แก้วจึงเล่าว่าไม่อาจบอกเหตุผลได้ รู้แค่ว่าชอบมากๆ ก็เหมือนคนเราเวลาชอบใครสักคน ไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยว่าเป็นเพราะเหตุใด รู้อีกทีก็ชอบคนคนนั้นชนิดถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว
แม้คำพูดคำจาของอินทร์แก้วจะดูพยายามโรแมนติกเกินไปหน่อย แต่อาจเป็นเพราะเธอได้เชื้อชอบพูดคำคมจากศักดา จึงนับว่าเป็นเรื่องเข้าใจได้
รีวิวท่องเที่ยวของอินทร์แก้วจบลงภายในสามสิบนาที เมื่อเสียงเรียกเข้ามือถือของวาริศดังขึ้น หมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอคงเป็นของอินทัชไม่ผิดแน่ วาริศจึงยื่นให้อินทร์แก้วรับสาย
“มาถึงแล้วเหรอ…” อินทร์แก้วหมุนคอมองออกไปนอกหน้าต่างเหล็กดัด “โอเค ออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พอเห็นอินทร์แก้วกดวางสายเขาจึงไม่พลาดส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ จนหญิงสาวนิ่งค้างไปราวกับมีความรู้สึกบางอย่างสะกิดเข้าที่หัวใจ
“เอ่อ ขอตัวกลับก่อนนะคะ กวนคุณกับคุณป้ามานานมากแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ คราวหน้าคราวหลังก็…อย่าไปเมาแบบนี้ที่ไหนอีกนะครับ ผมเป็นห่วง”
อินทร์แก้วกะพริบตาปริบๆ แววตาสะท้อนชัดว่าไม่กล้าตีความหมายประโยคท้ายนัก “เป็นห่วงคนอื่นใช่มั้ยคะ เดี๋ยวจะมาซวยเหมือนคุณเข้า”
วาริศได้ยินอย่างนั้นพลันหัวเราะร่วนให้กับไหวพริบของเธอ
“ไปก่อนนะคะ ขอบคุณคุณมากจริงๆ” เธอโบกมือลา ดวงตากลมโตสารภาพว่ารู้สึกใจหายวาบประหลาด “ว่าแต่…เราสองคนยังไม่รู้จักชื่อกันเลย บอกได้มั้ยคะว่าคุณชื่ออะไร”
“ขอไม่บอกตอนนี้ได้มั้ยครับ”
“…”
“ไว้ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง บอกตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
“หายไปไหนมาทั้งคืน ทำไมติดต่อไม่ได้เลย”
อินทร์แก้วนั่งยังไม่ทันติดเบาะรถดี คนเป็นพี่ก็เริ่มกระบวนการสอบสวนขณะกลับรถหน้ารั้วสีขาวของบ้านอีกหลังซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ บ้านที่อินทร์แก้วเพิ่งออกมาเมื่อครู่
“ก็…ออกไปดื่มนิดหน่อย เห็นคนบางคนชอบดื่มตอนเป็นทุกข์บ่อยๆ ก็เลยจำมาทำตาม”
อินทัชโดนย้อนจนสะอึก ไม่นึกเลยว่าคนเป็นน้องสาวจะลอกเลียนแบบวิธีแก้กลุ้มไปจากเขา
“แล้วนั่นบ้านใคร” อินทัชถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องในทันใด
“ก็…บ้านเพื่อนไง”
“เพื่อนคนไหน” เขาจำได้แม่นว่านี่ไม่ใช่บ้านของ ‘ปลา’ เพื่อนสนิทอินทร์แก้วที่เขารู้จักแน่นอน
“เพื่อนของยายปลาอีกที แทนไม่รู้จักหรอก”
“ให้มันจริงเหอะ อย่าให้รู้นะว่าซุกหนุ่มไว้แล้วไม่ยอมเล่าให้ฟัง”
“บ้าเหรอ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานเองนะ จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำแบบนั้น”
“เมื่อคืน…แม่โทรหาแก้วทั้งคืนเลยนะรู้มั้ย”
อินทร์แก้วถอนหายใจเมื่อนึกได้ว่าการหายตัวไปตลอดทั้งคืนทำให้ใครบางคนวุ่นวายใจจนไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่นั่งกังวลว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร “แก้วนี่แย่จริงๆ ทำให้แม่เป็นห่วงตลอดเลย”
“พ่อเองก็ห่วงแก้วนะ”
อินทร์แก้วนิ่งไป หันมามองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจเต็มกำลัง “แทนรู้ได้ยังไง พ่อฝากมาบอกเหรอ”
“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ พ่อคนไหนไม่ห่วงลูกบ้าง” เขาพูดออกมาอย่างนั้นราวกับปลอบใจตัวเองในคราวเดียว
“แทนนี่ก็แปลกคน พ่อดุแทนบ่อยขนาดนี้ยังจะปกป้องอีก ไม่รู้ล่ะ ยังไงแก้วก็ไม่ยอมเป็นเออีที่แอดดิกต์เป็นอันขาด”
“จะต้านได้สักกี่น้ำเชียว” อินทัชพึมพำ เขามองไม่เห็นทางออกเลยว่าอินทร์แก้วจะปฏิเสธคำสั่งผู้บัญชาการได้
ขณะนึกหาหนทางช่วยเหลือน้องสาว อินทัชปล่อยให้ความคิดเตลิดไปถึงเรื่องอื่น…เรื่องที่เขายังไม่ได้เริ่มทำงานโฆษณาส่งเวทีประกวดโฆษณายอดเยี่ยมระดับประเทศที่กำลังจะหมดเขตส่งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หากพริมารู้เข้าว่าในหัวของเขากลวงโบ๋แค่ไหน เธออาจจะเรียกเขาขึ้นไปคุยลำพังบนสวนลอยฟ้า ร่ายยาวถึงคุณสมบัติการเป็นครีเอทีฟที่ดีชุดใหญ่จนหูของเขาชาก็เป็นได้
“ยิ้มอะไรน่ะ”
“…”
“ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแบบนี้ คิดถึงใครอยู่แน่ๆ”
“เปล่าสักหน่อย” อินทัชไม่ค่อยเข้าใจหางเสียงขึ้นสูงของตัวเองนัก ให้ตายเถอะ…เขาเผลอยิ้มออกไปจริงๆ หรือนี่
“จริงอ่ะ” อินทร์แก้วเย้าไม่เลิก
“ก็เออน่ะสิ ถามได้”
พริมากับอินทัชจำต้องทำงานด้วยกันที่ออฟฟิศจนดึกดื่นหลายคืน หลังฤดูกาลเผางานโฆษณาส่งประกวดเวทีระดับประเทศหมุนเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ไหนจะงานลูกค้าเจ้าประจำพร้อมใจประเดประดังดุจมรสุมกำลังแรง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานส่งเสริมสุขภาพ บริษัทประกันชีวิต น้ำอัดลมยี่ห้อดัง และร้านขายโคมไฟไบรเทน โดยเฉพาะรายหลัง แสงวิทย์นับเป็นลูกค้าสายโหดกว่าที่พริมาประเมินไว้มาก เขาโยนไอเดียของเธอกับอินทัชทิ้งไปหลายชิ้นกว่าจะตัดสินใจได้ว่าเลือกชิ้นไหนเพื่อไปผลิตเป็นผลงานจริง เล่นเอาทั้งคู่แทบหมดพลังทั้งกายและใจ
อินทัชอาสาไปส่งพริมาที่บ้านริมน้ำขณะขับรถผ่านย่านเกาะรัตนโกสินทร์ เขาบอกเธอว่าวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน อยากดื่มเบียร์สักกระป๋องให้ชื่นใจ พริมาจึงบอกเขาไปว่ากระป๋องเดียวน่ะพอไหว แต่ถ้าถึงขั้นดื่มจนเมาเธอไม่ขอเอาด้วย
เมื่อได้รับอนุญาตจากพริมาว่าดื่มได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขว่าห้ามเกินหนึ่งกระป๋องเป็นอันขาด อินทัชจึงแวะร้านสะดวกซื้อข้างหน้าทันที ร่างสูงลงจากรถแล้วหายไปในร้านราวห้านาที ก่อนจะกลับมาพร้อมถุงพลาสติกสีขาวบรรจุเบียร์สองกระป๋องต่างยี่ห้อแล้วยื่นให้เธอช่วยถือ พริมามองอย่างงุนงง นี่เขาคงไม่ได้ซื้อมาเผื่อเธอใช่ไหม
ลมแม่น้ำเจ้าพระยาหอบไอเย็นพาดผ่าน พริมาและอินทัชเลือกหย่อนกายนั่งเหนือขอบปูนริมตลิ่งในสวนสาธารณะบริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านพริมา เสียงเปิดกระป๋องเบียร์ดังขึ้นสองครั้งไล่เลี่ยกัน หญิงสาวอดค่อนขอดเขาไม่ได้ที่เลือกเบียร์อีกยี่ห้อให้เธอ แทนที่จะเลือกยี่ห้อเดียวกันกับเขา เพราะรสชาติของมันแสนจะบางเบาจนไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังดื่มเบียร์อยู่ พออินทัชเสนอให้เปลี่ยนกับกระป๋องในมือเขา พริมากลับส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร เธอไม่ใช่คนประเภทคิดเล็กคิดน้อย ถึงจะไม่ประทับใจกับการร่ำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังกล่าวมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้เสียเลย
“ทำไมจู่ๆ ถึงอยากดื่มขึ้นมา” สุดท้ายพริมาก็อดถามอินทัชไม่ได้
“อาจเป็นเพราะเหนื่อยมั้ง” อาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มยกกระป๋องขึ้นกระดกอีกอึก “พอกลับถึงคอนโดฯ ผมสั่งตัวเองให้เลิกคิดงานไม่ได้เลย แม้แต่ในฝัน ผมยังเก็บไปคิดต่อ หนีไม่พ้นจริงๆ”
รอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนก็จริง แต่กลับแฝงไปด้วยไฟอันลุกโชนในดวงตาที่พริมาปรารถนาจะสัมผัสมันมาตลอดตั้งแต่แรกเริ่มทำงานด้วยกันจากคู่หูเธอ
“ดูจากที่เล่าแล้ว ก็น่าสนุกดีนี่” เธอรู้สึกเช่นนั้นอย่างที่พูด
“ใช่ ผมฝันว่าได้คิดไอเดียที่สุดยอดมากๆ ด้วยล่ะ แต่พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็หายวับไปกับตา”
“น่าเสียดาย ไม่แน่นะ ไอเดียที่ว่าอาจคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์ปีนี้ก็ได้”
อินทัชหันมามองพริมาด้วยแววตาประหลาดจนเธอรู้สึกว่าเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาเธอ
“รู้อะไรไหม แม้แต่ในฝัน…คุณยังตามไปอยู่ในนั้นเลย”
เบียร์รสบางที่พริมาเพิ่งจิบไปกลับกลืนลงคออย่างยากลำบาก หญิงสาวไม่แน่ใจนักว่านัยที่เขาต้องการสื่อคืออะไร เธอจึงทำได้เพียงแค่หัวเราะกลบเกลื่อนความอึดอัดใจอันน่าพิศวงจนหายใจไม่ทั่วปอด หลังได้ยินคำยืนยันความรู้สึกบางอย่างจากปากอินทัชว่าผู้หญิงอย่างเธอนั้น…ตามไปอยู่ถึงในฝันของเขา
“คุณจะบอกว่า…ฉันตามไปวุ่นวายถึงในฝัน ทำให้คุณรำคาญมากสิท่า” เธอพยายามฉีกประเด็นไปอีกทิศ หลีกเลี่ยงบทสนทนาอันนำไปสู่เรื่องบางเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอ
อินทัชเองดูเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรแปลกๆ ออกมา เธอเห็นเขาลอบถอนหายใจอย่างไม่อยากเชื่อ ความเงียบค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมจนเขาและเธอต่างได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน พริมาจึงหันมายกเบียร์ขึ้นจิบต่อ อย่างน้อยก็ช่วยขจัดอาการทำอะไรไม่ถูกไปได้บ้าง
“น้องสาวคุณ…ตกลงจะไม่มาเริ่มงานที่แอดดิกต์จริงๆ เหรอ” โชคดีที่เธอนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ทัน ความเงียบที่ก่อตัวคั่นกลางระหว่างเธอกับเขาจึงสลายไป
“ทำไงได้ ก็แก้วเขาไม่อยากทำจริงๆ นี่”
“คุณโชคดีกว่าน้องคุณมากนะ อย่างน้อยงานที่คุณกับพ่อคุณชอบก็เป็นงานเดียวกัน”
“ในความโชคดีอาจมีโชคร้ายปะปนอยู่” กระแสเสียงห้าวลึกของเขาสะท้อนความกดดัน คล้ายมีกระจกเงาแผ่นหนารายล้อมทุกทิศทางชวนให้รู้สึกอึดอัดเหมือนมีคนจ้องจับผิดตลอดเวลา
“เรื่องน้องสาวคุณ ฉันว่าคุณลืมอะไรไปอย่าง” พริมาวกกลับมาเรื่องอินทร์แก้วอีกครั้ง “น้องคุณเรียนจบภาพยนตร์มาใช่มั้ย”
เขาพยักหน้าแทนคำตอบ
“พ่อคุณสนิทกับเจ้าของแกรนด์ไทม์นี่” พริมาหมายถึงโปรดักชั่นเฮ้าส์รับผลิตภาพยนตร์โฆษณาอันดับต้นๆ ของเมืองไทย “อย่างน้อยน้องสาวกับพ่อคุณก็ได้พบกันครึ่งทาง…เนื้องานที่นั่นอาจไม่ใช่ภาพยนตร์จ๋าแบบที่น้องคุณชอบ แต่อย่างน้อยก็ได้คลุกคลีกับคนในวงการทำหนัง เดี๋ยวนี้มีผู้กำกับโฆษณาผันตัวไปเขียนบททำหนังฉายในโรงเยอะจะตายไป”
อินทัชยิ้มกว้างเมื่อเห็นพริมาชี้ทางสว่าง “ยายแก้วรู้เข้าต้องดีใจแน่ๆ”
คืนนั้นทั้งคู่ดื่มเบียร์กันไปเพียงคนละกระป๋อง จริงๆ แล้วอินทัชเองก็ถามพริมาว่าอยากดื่มต่ออีกสักกระป๋องไหม เขาจะได้ไปซื้อมาให้ แต่เธอเลือกโบกมือปฏิเสธบอกไม่เป็นไร ขืนดื่มไปมากกว่านี้มีหวังหลับลึกจนไม่อยากตื่นมาทำงานตอนเช้าแน่ และที่สำคัญ…เขาต้องเป็นฝ่ายขับรถด้วย
พักหลังอินทัชยืนยันจะมาส่งพริมาถึงบ้านให้ได้ เขาอ้างว่าเพราะเธอต้องนั่งทำงานล่วงเวลาจนรถไฟฟ้าปิดให้บริการเกือบทุกคืน จนพริมาได้ยินแล้วรู้สึกเกรงใจ เธอบอกไปว่าเรียกรถแท็กซี่กลับเองได้ แต่อินทัชไม่ยอม ยืนกรานจะไปส่งเธอแทบทุกครั้ง
พริมาไม่รู้ว่าทำไมพักหลังๆ พฤติกรรมของอินทัชถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาดูสุขุมขึ้น ต่างจากวันแรกที่พบกัน เธอกับเขามีปากเสียงเรื่องงานน้อยลงและทำงานเข้าขากันได้ดีขึ้นจนเธอเองยังประหลาดใจ
แน่ล่ะ…ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอย่อมต้องดีขึ้นอยู่แล้ว จะให้กลับไปย่ำแย่เหมือนเดิม งานก็ไม่เดินหน้าน่ะสิ
พริมาบอกตัวเองเช่นนั้น ทั้งที่ใจหนึ่งเห็นค้านว่าเหตุผลแท้จริงมีมากกว่าหนึ่งแน่นอน เพียงแต่เธอไม่อาจยอมรับได้ว่าความรู้สึกบางอย่างที่อินทัชมีต่อเธอนั้นมีอยู่จริง
และกำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ อย่างไม่อาจหักห้าม
พริมาหายหน้าไปหลายวัน ทำเอาวาริศใจหายไม่น้อย
อาจเพราะหญิงสาวเป็นถึงครีเอทีฟมือรางวัล น่าจะกำลังง่วนกับการทำงานส่งประกวดอยู่ก็เป็นได้ ศักดาคงหมายมั่นให้เธอกับอินทัชช่วยกันขนรางวัลกลับเอเจนซี่แอดดิกต์
ผิดกับวาริศที่รู้สึกเฉยๆ เขาชินชากับรางวัลหลังกวาดมาได้มากมายตั้งแต่สมัยทำงานที่นิวยอร์ก หากธนาไม่ขอให้เขาช่วยทำงานส่งประกวดเพื่อสร้างชื่อให้เอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตอย่างสุดความสามารถ เขาคงไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งแก้ไขงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้
พูดถึงอินทัชเพื่อนรักของเขาแล้ว หลังขับรถมารับอินทร์แก้วที่หน้าบ้านป้าแหวนได้ไม่กี่วัน หมอนั่นก็โทรศัพท์มาหาเขา ดูเหมือนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมายเลขนี้เป็นของใคร วาริศไม่คิดจะรับสายตั้งแต่แรก อินทัชคงแค่อยากเอ่ยขอบคุณกระมังที่เอื้อเฟื้อห้องหับให้อินทร์แก้วนอนหลับพักผ่อน สงสัยน้องสาวหมอนั่นคงไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังว่าเธอนั้นไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของพี่ชายแปลกหน้าคนนี้ด้วยซ้ำ
ไม่กี่วันต่อมา อินทร์แก้วเป็นฝ่ายโทรศัพท์หาเขาหลังเลิกงาน เธอเอ่ยชวนขอให้เขาไปชมภาพยนตร์ด้วยกันในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะถึง แล้วต่อด้วยการเลี้ยงมื้อค่ำตอบแทนเขา วาริศแสร้งอิดออดบอกไม่เป็นไร เขาทำไปเพราะอยากช่วยเธอจริงๆ แต่ถ้าอยากให้เขาไป เธอต้องเปลี่ยนใจเป็นฝ่ายให้เขาเลี้ยงมื้อค่ำแทน ยิ่งวาริศพูดอย่างนั้นเขายิ่งสัมผัสได้จากสำเนียงของปลายสายว่ากำลังประทับใจในตัวเขามากเพียงใด
วาริศนั่งรออินทร์แก้วในร้านกาแฟแบรนด์ดังหน้าโรงภาพยนตร์ได้ไม่นาน ร่างบางในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนยาวเหนือเข่าเล็กน้อยพลันก้าวเข้ามา กวาดสายตามองหาชายหนุ่ม พอเธอเห็นเขาลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างที่มุมในสุดของร้านขณะส่งยิ้มบางให้เธอ วาริศก็รู้ได้ในทันทีว่าใจของอินทร์แก้วกำลังหลอมละลายอย่างไม่อาจรับมือได้
“หวังว่าคุณจะทำตามสัญญานะคะ” อินทร์แก้วนั่งลงตรงหน้าเขา
“สัญญาอะไรเหรอครับ”
“คุณลืมแล้วเหรอคะ เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย”
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นพลันเผยรอยยิ้มกระชากวิญญาณ “ผม…วาริศครับ”
“อินทร์แก้วค่ะ เรียกแก้วเฉยๆ ก็ได้นะคะ” เธอยิ้มรับไมตรี
“น่าแปลกนะครับ ทั้งที่เพิ่งพบกันแค่สองครั้ง แต่ผมกลับรู้สึกถูกชะตาคุณแก้วเอามากๆ” เขารู้ดีว่าวาจาที่เอ่ยไปนั้นแสนหวานเลี่ยน
“คุณริศคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะ”
“ครับ สัญชาตญาณบางอย่างบอกผมอย่างนั้น”
อินทร์แก้วอมยิ้ม แม้วาริศไม่ใช่พวกชอบคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็พอจะเดาออกได้ไม่ยากว่าอินทร์แก้วกำลังรู้สึกดีมากเพียงใด
“ทานอะไรมารึยังครับ”
“แก้วทานมื้อเที่ยงกับที่บ้านมาเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ที่บ้าน…” เขาทวนคำสั้นๆ ใจไพล่นึกถึงศักดาเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวอย่างอดไม่ได้
“วันนี้คุณพ่อของแก้วอารมณ์ดีเป็นพิเศษค่ะ ชวนทุกคนในบ้านออกไปทานมื้อเที่ยง ครอบครัวเราไม่มีเวลาดีๆ แบบนี้ร่วมกันมานานแล้ว อ้อ แก้วเกือบลืมไปเลย นี่ค่ะ” เธอยื่นตั๋วหนังสัญชาติเยอรมันให้ “แก้วอยากให้คุณริศลองดูเรื่องนี้ค่ะ เพื่อนแก้วที่เรียนฟิล์มมาด้วยกันแนะนำว่าต้องดูให้ได้”
“คุณแก้วเรียนฟิล์มมาเหรอครับ แล้วตอนนี้ทำงานที่ไหน”
ดวงตาของอินทร์แก้วอ่อนแสงลงเล็กน้อย “แก้วกำลังจะไปทำที่โปรดักชั่นเฮ้าส์แกรนด์ไทม์ตามคำแนะนำของพ่อกับพี่ค่ะ แต่จริงๆ แล้วแก้วอยากเป็นคนเขียนบทหนังแบบฉายในโรงมากกว่า”
“แล้วตอนนี้เขียนไว้บ้างรึเปล่าครับ ยังไงส่งมาให้ผมช่วยอ่านได้นะ ผมมีเพื่อนเขียนบทอยู่ค่ายหนัง จะได้ช่วยแนะนำผลงานคุณแก้วให้”
คราวนี้อินทร์แก้วถึงกับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตทอแสงเป็นประกาย ในใจเธอคงคิด…การได้รู้จักกับคนอย่างวาริศช่างเป็นเรื่องโชคดีอะไรเช่นนี้ “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”
หลังชมภาพยนตร์เนื้อหาชวนหดหู่มาดเยอรมันจบ อินทร์แก้วก็ชวนวาริศไปร้านอาหารไทยบรรยากาศดีต่อ ทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน สายตาของวาริศพลันจับที่ร่างคุ้นตาของผู้หญิงคนที่เขาเฝ้าถวิลหาอยากเจอหน้าเธอมาหลายวัน แต่ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกข้างในให้ใครรู้ได้ แม้แต่เขาเอง…ยังยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้เลย
พริมากำลังนั่งเคี้ยวอาหารบนโต๊ะคล้ายจำใจ คนที่นั่งตรงข้ามเธอไม่ใช่ใครอื่นไกล คือภาสกร พ่อของเธอนั่นเอง
ใช่ วาริศจำหน้าภาสกรได้แม่นทีเดียว เขาเป็นถึงคนดังในแวดวงธุรกิจ ด้วยตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งวันเดอร์ฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจ บริษัทอาหารและเครื่องดื่มรายยักษ์ที่มียอดซื้อพื้นที่สื่อโฆษณาติดห้าอันดับแรกของเมืองไทย
“ไม่อร่อยเหรอ” ภาสกรถามคนเป็นลูกอย่างใส่ใจ
พริมาไม่ทันสังเกตเห็นวาริศกับอินทร์แก้วที่เพิ่งเดินเข้ามา ชายหนุ่มจับจองโต๊ะว่างตัวใกล้ๆ ซึ่งพริมานั่งหันหลังให้เขา จึงได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างถนัดหูทีเดียว
“พ่อมีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าค่ะ”
ภาสกรวางช้อนส้อม ดื่มน้ำกลืนความรู้สึกฝืดเคืองลงคอ แล้วเข้าประเด็นอย่างที่ลูกสาวรอคอย “มาทำงานกับพ่อที่บริษัทเถอะนะ”
“…”
“นี่มันก็ห้าปีแล้วที่ลูกทำงานเอเจนซี่ ถ้าลูกยังอยากทำโฆษณา พ่อก็จะให้ลูกมาอยู่ฝ่ายสื่อสารการตลาดอย่างที่ลูกชอบ”
“พ่อคะ หนูไม่ได้อยากเป็นลูกค้า หนูอยากเป็นครีเอทีฟ”
“เอางี้…หลังหมดสัญญากับเอเจนซี่ที่บริษัทเราจ้างอยู่ พ่อจะให้ลูกคุมงานโฆษณาทั้งหมดเลยดีมั้ย ถ้าลูกอยากผลิตมันขึ้นมาเอง พ่อก็จะไม่ห้ามเลยสักคำ” ภาสกรพยายามหว่านล้อมทุกทาง
“มันไม่เหมือนกันค่ะ” คำตอบของเธอราบเรียบ
วาริศลอบมองสองพ่อลูกในจังหวะอินทร์แก้วกำลังพลิกเมนูพิจารณาอาหารไปมา ก่อนที่เสียงหวานของคนตรงหน้าจะดึงเขาให้หันมาสนใจเธออีกครั้ง
“ทานอะไรดีคะ”
“ตามใจคุณแก้วเลยครับ”
อินทร์แก้วพินิจเมนูต่อแล้วหันไปสั่งอาหารกับบริกร วาริศนั่งนิ่ง เงี่ยหูฟังบทสนทนาของโต๊ะข้างๆ ต่ออย่างตั้งใจ
“หนูจะทำที่เดิม” พริมายืนยันความต้องการด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อย่าให้พ่อรู้สึกไม่สบายใจเลยพริม”
“หนูไม่เข้าใจที่พ่อพูด”
วาริศเห็นภาสกรเอาแต่นั่งอ้ำอึ้ง หัวคิ้วขมวดมุ่นกับใบหน้าเผยความยุ่งยากใจบอกชัดว่าไม่อาจเอ่ยเหตุผลที่แท้จริงให้พริมาฟังได้
“ในเมื่อพ่อไม่บอก หนูก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออก”
ภาสกรกลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากลำบาก ชั่งใจอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องสำคัญให้เธอรู้ดีหรือไม่ “มีจดหมายส่งมาถึงพ่อ…”
“จดหมาย?”
“ใช่ จดหมาย…”
“…”
“จากคนที่ตายไปแล้ว”
“คนที่ตายไปแล้ว?”
ริมฝีปากภาสกรสั่นระริกราวกับนึกกลัวอะไรบางอย่าง เขาถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะพึมพำทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร “ช่างมันเถอะ”
“พ่อคะ?!”
“พ่อขอล่ะพริม ลาออกจากที่แอดดิกต์ซะ ไปทำเอเจนซี่อื่นก็ได้ ไปอยู่เมืองนอกได้ยิ่งดี”
“…”
“พ่อไม่อยากให้ลูกต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้”