LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่12-บทที่13
บทที่ 12
เวทีคนคลั่ง
ลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงใกล้กับที่ตั้งของออฟฟิศเอเจนซี่แอดดิกต์ถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่จัดงานประกาศผลรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมแห่งปี อินทัชได้ยินจากชินทรว่าวอแวรับหน้าที่เป็นพิธีกรของงานในปีนี้ มิน่าเล่า…เจ้าก๊อปปี้ไรเตอร์หนุ่มจอมเพี้ยนถึงได้หายตัวไปนานสองนานช่วงพักกลางวัน ที่แท้ก็ไปซื้อสูทเข้ารูปกับกางเกงสแล็กส์สีเทาที่ร้านขายเสื้อผ้าแนวฟาสต์แฟชั่นแบรนด์ดังในห้าง เตรียมพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ในค่ำคืนนี้ แถมท่าทียังดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าจะได้ยืนข้างพิธีกรเออีสาวสวยจากเอเจนซี่ใดเอเจนซี่หนึ่ง
แต่แล้ววอแวเป็นอันต้องผิดหวัง เมื่อรู้ข่าวว่าคนที่เป็นพิธีกรคู่เขานั้นหาใช่คนอื่นคนไกล…
“ทำไม…ทำไมต้องเป็นเจ๊ไก่ด้วย!” วอแวโอดครวญ
“เป็นฉัน แล้วมันยังไงยะ!” ปีย์รกาแหวใส่
วอแวสะบัดหน้าหนี เบ้ปากเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ อินทัชเห็นภาพนั้นแล้วถึงกับสะกดความรู้สึกขำขันไว้ไม่อยู่ จนวอแวอดเหวี่ยงกลับไม่ได้
“ขำอะไรไอ้แทน”
อินทัชกอดอก ทั้งที่พยายามเม้มปากแน่น แต่กลับปกปิดรอยขันไว้ไม่มิด “ไม่มีอะไร”
“เปลี่ยนพิธีกรชายตอนนี้ทันมั้ยวะ” วอแวหันไปถามคู่หู
“ไม่น่าทันว่ะ” ชินทรทำหน้าเหยเกอย่างเห็นอกเห็นใจ
พอตกช่วงหัวค่ำ เหล่าครีเอทีฟต่างเร่งสะสางงานเป็นการใหญ่ ก่อนจะทยอยเดินเท้าไปร่วมงานตรงลานกว้างหน้าห้าง อินทัชยังคงติดพันกับการแก้ไขเลย์เอาต์โฆษณา จึงปล่อยให้วอแวและชินทรล่วงหน้าไปก่อน
ส่วนพริมา เธอยืนยันว่าจะไปพร้อมกันกับเขา เพียงเท่านั้นหัวใจของอินทัชพลันกระตุกเปลี่ยนไปเป็นเบาหวิว แทบจะปลิดปลิวไปพร้อมกับคำพูดไม่กี่พยางค์ของเธอ เขาเผลอจินตนาการอย่างไม่อาจห้ามได้ว่าหญิงสาวมอบความสนิทสนมให้เขามากขึ้นอีกระดับแล้ว
ห้วงนาทีนั้นอินทัชไม่สามารถละสายตาจากพริมาได้เลย เขาเหลือบมองเธอขณะก้มหน้าก้มตาร่างภาพไอเดียโฆษณาตัวอื่นลงบนสมุดคู่ใจ ลายเส้นของพริมาไม่ธรรมดา สมกับร่ำเรียนมาจากคณะสถาปัตยฯ มุมมองการคิดเป็นภาพของเธอนั้นล้ำเลิศ เขาจึงลองหยั่งเชิงถามเธอว่าทำไมไม่ทำงานเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ ดูเธอเหมาะกับตำแหน่งนี้ไม่น้อย
แต่พริมากลับนิ่งไปคล้ายครุ่นคิดถึงบางเรื่อง ก่อนจะยอมเล่าให้เขาฟังถึงอดีตที่เคยสัญญากับเพื่อนคนหนึ่งไว้ว่าจะทำงานเป็นครีเอทีฟคู่กันหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์ ส่วนอีกคนเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ ทว่าเรื่องเล่านั้นสั้นกุดจนอินทัชอยากซักต่อ แต่ก็ทำได้แค่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ว่า ‘เพื่อนคนนั้น’ ของพริมาเป็นใคร และตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ถึงไม่ได้มาทำงานเป็นคู่หูพริมาอย่างที่เคยให้สัญญากัน
ทั้งคู่มาถึงงานราวสองทุ่ม ซุ้มเครื่องดื่มหลากหลายเจ้าตั้งรับขวัญแขกเหรื่อตรงทางเข้างาน อินทัชกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นผู้คนในวงการโฆษณาแห่แหนมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง บนเวทียังไม่มีพิธีการอันใด ปล่อยให้เป็นพื้นที่ของนักร้องหนุ่มเสียงแหบห้าวและนักดนตรีร่วมวงเจ้าของเพลงดังแห่งยุคขึ้นโชว์เรียกความคึกคักก่อนเริ่มงาน อินทัชหยิบแก้วน้ำเสาวรสให้พริมา แต่เธอกลับยิ้มบางพลางส่ายหน้า ก้าวไปหยิบมาร์ตินี่ประดับด้วยมะกอกดองเสียบไม้มาสองแก้วแล้วยื่นให้เขา
“เรียกน้ำย่อยกันหน่อย” พริมาว่า
อินทัชรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย ก่อนจะวางแก้วน้ำเสาวรสที่ถูกเมินบนโต๊ะกลมทรงสูง “ผมคงต้องมองคุณใหม่ซะแล้ว”
“ความจริงแอลกอฮอล์มันก็แค่เครื่องดื่มที่มีรสชาติขม แต่เพราะคนเราชอบเปรียบเปรย เลยคิดว่าเวลาเศร้า เหงา ทุกข์ แอลกอฮอล์คือเพื่อนที่ดีที่สุด อย่างน้อยมันก็ไม่ปล่อยให้เราขมขื่นคนเดียว คุณรู้มั้ย ฉันดื่มแก้วแรกตอนอายุเท่าไหร่”
เสียงดนตรีหนาหูขึ้นเพลงใหม่ดังลั่นทั่วลานกว้าง ร่างสูงอยากได้ยินพริมาพูดทุกคำให้ชัดถนัดหู จึงโน้มใบหน้าเข้าใกล้เธอ “เท่าไหร่”
แม้บรรยากาศโดยรอบจะโอบคลุมไปด้วยความมืด มีเพียงแสงไฟหลากสีบนเวทีและโคมไฟดวงเล็กราวครึ่งร้อยบริเวณนิทรรศการแสดงผลงานโฆษณาเข้ารอบสุดท้ายของการประกวดในแต่ละหมวดหมู่ แต่อินทัชก็รีบเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ไว้…เวลาที่เขาและเธออยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบ
“สิบแปด” เธอเฉลย
“จริงเหรอ ส่วนผมสิบหก”
พริมาหยักยิ้ม “คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเริ่มดื่มตอนประมาณนี้”
“หมายความว่าไง” เขาไม่แน่ใจนักว่านัยของคำพูดเธอคือชื่นชมหรือหลอกต่อว่า แต่อินทัชหาได้ใส่ใจไม่ เพราะนาทีนี้ไม่มีสิ่งใดทดแทนรอยยิ้มละลายใจแต้มใบหน้ารูปไข่ของพริมาได้เลย “แก้วแรกของผมนี่ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่อยากรู้รสเฉยๆ ว่ามันเป็นยังไง แล้วคุณล่ะ”
พริมานิ่งไป ดวงตาคู่สวยฉายแววเศร้าประหลาด “จริงๆ แล้วตอนนั้นฉันดื่มเพราะคิดว่ามันจะช่วยให้ฉันลืมความรู้สึกผิดในใจได้” เธอยกแก้วมาร์ตินี่ขึ้นดื่มจนหมด เหลือเพียงมะกอกดองนอนนิ่งก้นแก้ว “แต่สุดท้ายก็รู้ว่าเหล้าไม่สามารถแก้ปัญหาให้เราได้เลย”
ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจอินทัชอีกครั้ง อยากรู้นักว่าความรู้สึกผิดที่เธอว่านั้นคือเรื่องใดกันแน่
“คุณเล่าให้ผมฟังได้นะ”
พริมาก้มหน้าเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง เรือนผมเส้นเล็กค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาเป็นแพหนาเคลียบ่าชวนมอง ก่อนจะใช้มือซ้ายเกี่ยวเส้นผมไว้หลังหู “ถ้าฉันพูด ฉันจะยิ่งรู้สึกถึงมัน ดังนั้นฉันขอไม่พูดดีกว่า”
จบประโยคได้คม ทิ้งปมชวนสงสัยไว้อย่างยอดเยี่ยม สมกับเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์มือรางวัลของเอเจนซี่ เธอปิดประตูไว้แน่นหนาเสียขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่อินทัชต้องซักต่อ
“ว่าแต่…น้องสาวคุณไม่มาด้วยเหรอ” พริมาเสเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นบ้าง เขาเห็นชัดว่าเธอพยายามลบร่องรอยความเศร้าให้หายไปจากดวงตาคู่เรียวสวย ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ถอนใบหน้าให้พ้นจากรัศมีระยะประชิด
“แก้วติดถ่ายหนังโฆษณาที่เชียงใหม่น่ะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ เธอชวนเขาเดินชมนิทรรศการแสดงผลงานโฆษณาที่เข้ารอบสุดท้าย ในตอนนั้น อินทัชเหลือบเห็นศักดากำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวสายการตลาดตรงแบ็กดร็อปหน้าทางเข้างาน ประเด็นที่ให้สัมภาษณ์คงหนีไม่พ้นทิศทางหรือแนวโน้มธุรกิจโฆษณาในปีหน้า และการปรับตัวของเอเจนซี่โฆษณาที่ต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือดรับกระแสโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“แทน คุณดูนี่สิ” พริมาหันขวับมาทางเขาพลางกวักมือเรียกให้ไปสมทบหน้าบอร์ดแสดงผลงานโฆษณาชิ้นหนึ่งในหมวดสิ่งพิมพ์โดยเร็ว พอก้าวยาวเข้าไปใกล้เขาจึงเห็นว่ามันคือโฆษณาร้านไบรเทนของลูกค้าที่ชื่อแสงวิทย์นั่นเอง “ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเข้ารอบด้วย ถ้าได้รางวัลจากตัวนี้จริงๆ ก็ดีสิ อย่างน้อยก็ไม่เสียแรงทำให้ฟรีๆ”
รอยยิ้มอย่างคนไม่คิดอะไรมากของเธอทำอินทัชสะอึก จากนั้นร่างระหงพลันเดินนำไปดูผลงานในหมวดอื่นๆ ต่อ นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ผลงานของเขาและเธอเข้ารอบทั้งหมดห้าแคมเปญ ดูเหมือนพริมาจะภูมิใจกับผลงานโฆษณาทางวิทยุของหน่วยงานส่งเสริมสุขภาพมากที่สุด เพราะได้โอกาสฉายเดี่ยวละเลงไอเดียอย่างเต็มที่
ขณะที่อินทัชกับพริมาเดินชมนิทรรศการจนทั่ว ต่างสังเกตเห็นว่าผลงานของเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตหลายๆ ชิ้นช่างโดดเด่น และล้วนมีชื่อ ‘วาริศ อิสรา’ ขึ้นหราข้างผลงาน จะว่าไปแล้ว…วาริศเริ่มอาชีพอาร์ตไดเร็กเตอร์ในไทยพร้อมๆ กับอินทัช แต่พอนับจำนวนผลงานที่เข้ารอบสุดท้าย หมอนั่นกลับทำผลงานเข้าตากรรมการได้ถึงสิบแคมเปญ
มากกว่าอินทัชเป็นเท่าตัว
วูบนั้นอินทัชรู้สึกทึ่งในความสามารถของอดีตเพื่อนรัก…คนที่ขยับตัวเพียงนิด ตะแคงหัวคิดเพียงหน่อย ก็สามารถตกผลึกไอเดียดีๆ ผิดกับเขาที่กว่าจะเค้นแต่ละไอเดียออกมาได้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า
“เหนื่อยหน่อยนะที่ต้องแข่งกับฉัน…”
อินทัชได้ยินชัดถึงเสียงทุ้มลึกของคนรู้ทัน ตระหนักได้ในฉับพลันว่าหมอนั่นยืนห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว และรู้ดีกว่าใครว่าประโยคเมื่อครู่นั้นวาริศจงใจเอ่ยกับเขา…หาใช่ใครอื่น
“คุณ…” เสียงพริมาแผ่วเบาจนแทบหายไปในลำคอเมื่อเห็นวาริศยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเธอเบิกกว้าง ร่างกายเปลี่ยนไปเป็นแข็งทื่อ
“ครับ ผมเอง เราเคยเจอกันหลายครั้ง คุณน่าจะจำได้” สำเนียงนั้นแฝงเลศนัยไม่น่าไว้ใจ
“ค่ะ ฉันจำได้” ริมฝีปากเล็กของเธอไหวระริกข่มความรู้สึกบางอย่างที่อินทัชไม่อาจคาดเดาได้
“แต่รวมๆ แกก็ทำได้ดีนะ…” วาริศหันมาเอ่ยกับอินทัชต่อด้วยน้ำเสียงเคลือบความเป็นมิตร แต่ไม่วายเผยยิ้มเหยียดดุจของกำนัล “ต่างจากเมื่อก่อนเยอะเลย”
อินทัชเกลียดแก่นเย้ยหยันซ่อนใต้เปลือกหนาของคำชมนั่น หากที่ลานกว้างแห่งนี้ไม่มีพ่อและคนในวงการอยู่ภายในงาน…ไม่มีพริมายืนอยู่ข้างๆ…เขาคงปล่อยหมัดเสยปลายคางวาริศไปเรียบร้อยแล้ว ให้ตายเถอะ…สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการข่มโทสะไว้ใต้กำปั้นทั้งสองข้างจริงๆ น่ะหรือ
“ขอตัวก่อนนะคะ” พริมาตัดสินใจก้าวออกจากวงสนทนาเป็นคนแรก ปล่อยให้เขายืนเผชิญหน้ากับวาริศ ราวกับไม่อยากอยู่ร่วมวงความขัดแย้งใดๆ อีกต่อไป
“เดี๋ยวสิคุณ” อินทัชเข้าไปรั้งข้อมือเธอไว้ “จะไปไหน”
“ฉันจะไปนั่งรอหน้าเวที”
“งั้นผมไปด้วย” อินทัชดึงดันกุมมือเธอไว้แน่นแล้วพาไปรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมออฟฟิศหน้าเวทีทันที
ไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาหยันโลกของวาริศที่จดจ้องมือของเขาขณะกุมมือพริมาแน่นอย่างไม่วางตา
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
อินทัชอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นพริมานั่งนิ่งคล้ายตกอยู่ในภวังค์ หญิงสาวกะพริบตาเรียกสติคืนสู่คำถามเขาอยู่หลายครั้งกว่าจะเอ่ยตอบมาในที่สุดว่า
“เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แววตาเธอฟ้องชัดเสียขนาดนั้น แต่พริมายังดึงดันปกปิดมันไว้อย่างเงียบงัน อินทัชจึงไม่อาจดันทุรังทู่ซี้ถามเธอต่อไปได้
“ไม่ซิลเวอร์ก็โกลด์ล่ะวะงานนี้” ชินทรซึ่งนั่งอยู่ข้างอินทัชหน้าเวทีออกอาการลุ้นตัวโก่งไม่แพ้คู่หูผู้รับบทเป็นพิธีกรของงาน เพราะตั้งแต่เริ่มประกาศรางวัลมา ยังไม่มีชื่อแคมเปญโฆษณาที่ชินทรทำร่วมกับวอแวเลย
“หรือไม่ก็แค่เข้ารอบสุดท้าย ชวดทั้งบรอนซ์…ซิลเวอร์…โกลด์ ส่วนกรังด์ปรีซ์น่ะหรือ ไม่ต้องพูดถึง” บารมีว่า
ชินทรแยกเขี้ยวตั้งท่าจะกินเลือดกินเนื้อบารมี ราวกับอยากรู้นักว่าตกลงแล้วเขากับหัวหน้าแผนกวางแผนกลยุทธ์คนนี้ทำงานที่เอเจนซี่เดียวกันหรือเปล่า ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรบารมี ชินทรเป็นอันต้องกระโดดโหยงทันทีที่ได้ยินชื่อผลงานตัวเองคว้าซิลเวอร์อะวอร์ด ผละจากเพื่อนร่วมวงก้าวยาวขึ้นไปกอดวอแวและรับรางวัลร่วมกันบนเวที ในตอนนั้น…อินทัชรู้สึกได้ถึงนิ้วของใครบางคนสะกิดตรงหัวไหล่
“เหลือคู่เราแล้วสินะ” พี่ตระการว่า
“ครับ” เขารับคำสั้นๆ ก่อนยกเครื่องดื่มขึ้นจิบดับความกังวลปนกระวนกระวายใจ
“และนี่คืออีกผลงานเจ้าของซิลเวอร์อะวอร์ดหมวดสิ่งพิมพ์ในค่ำคืนนี้” วอแวกลับมาประกาศผลรางวัลต่อ “ขอแสดงความยินดีกับ…”
อินทัชภาวนาขอให้ชื่อที่กำลังจะประกาศต่อไปนี้…ไม่ใช่ผลงานของเขากับพริมา เพราะนั่นหมายความว่าเขาและเธอจะหมดสิทธิ์คว้าโกลด์อะวอร์ดทันที
“ขอแสดงความยินดีกับ…แคมเปญยัวร์เดย์ของร้านไบรเทน จากเอเจนซี่แอดดิกต์ครับ!”
แทนที่จะดีใจ อินทัชกลับรู้สึกเสียดาย ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้มากนอกจากเหยียดกายลุกขึ้นเต็มความสูง เดินนำพริมาขึ้นรับรางวัลบนเวที ทั้งเขาและเธอต่างพร้อมใจฉีกยิ้มแห้งแล้งพอเป็นพิธี
เมื่อมองจากมุมบน อินทัชเห็นวาริศนั่งรวมกลุ่มกับกริชและเพื่อนร่วมเอเจนซี่แอคต์แพลเน็ตใกล้บันไดฝั่งซ้ายของเวที หมอนั่นปรบมือแสดงความยินดีอย่างเนิบช้า อินทัชมั่นใจอย่างมากว่ารอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าวาริศนั้น…หาใช่รอยยิ้มจริงใจ แต่กินนัยเหยียดหยันว่าคนอย่างอินทัชก็ได้แค่เท่านี้…ไม่มีวันเอาชนะวาริศได้แน่นอน
“ต่อไปเป็นโกลด์อะวอร์ดของหมวดสิ่งพิมพ์ปีนี้ค่ะ” ปีย์รกาเริ่มประกาศผลต่อ “…ซึ่งปีนี้มีแคมเปญที่ได้รับรางวัลเพียงแคมเปญเดียว!” ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างมาก
“แสดงว่าผลงานต้องเข้าตาคณะกรรมการอย่างมากเลยนะครับ” วอแวเสริม “คุณวิรัชแห่งเอเจนซี่คิวบ์ ในฐานะประธานกรรมการตัดสินหมวดสิ่งพิมพ์ถึงกับบอกว่าเป็นปีที่กรรมการเคี่ยวสุดๆ คัดเลือกผลงานกันอย่างเข้มข้นมากๆ ทำให้ปีนี้มีเพียงแคมเปญเดียวที่คว้าโกลด์อะวอร์ดไป สดใหม่ทั้งคอนเซ็ปต์และวิธีเล่า และผู้คว้ารางวัลโกลด์อะวอร์ดหมวดสิ่งพิมพ์ปีนี้ไปครอง ได้แก่…”
อินทัชหลับตา พร่ำภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด
“…แคมเปญทูมอร์โรว์เนเวอร์คัมส์ ของแอคต์แพลเน็ตครับ!!!”
เสียงเชียร์จากฝั่งเอเจนซี่เจ้าของผลงานเฮลั่นสนั่นลานกว้าง ครีเอทีฟคนอื่นๆ กระโดดโหยงร่วมยินดีราวกับเป็นเจ้าของไอเดียเอง
ผลงานของวาริศเล่าด้วยภาพทั้งหมด ไม่มีข้อความโฆษณาแม้แต่ประโยคเดียว นั่นเป็นเพราะหมอนั่นกับก๊อปปี้ไรเตอร์ตกลงร่วมกันแล้วว่าสมควรให้ภาพยึดบทพระเอก เพื่อสร้างพื้นที่จินตนาการกระทบใจผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ
วาริศขึ้นรับรางวัลพร้อมก๊อปปี้ไรเตอร์คู่หู แววตาของหมอนั่นไม่แสดงถึงความรู้สึกยินดียินร้าย ผิดวิสัยคนเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ที่ควรดีใจกับรางวัลในหมวดนี้ เพราะได้ปล่อยของอย่างเต็มที่ เฉกเช่นเดียวกับหมวดวิทยุที่คนเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์พึงยินดี อินทัชแน่ใจว่าวาริศคงสังเกตเห็นนัยน์ตาของเขาสะท้อนความร้อนรุ่มในอกเข้าให้แล้ว หมอนั่นถึงได้ขยับยิ้มมุมปาก ตอกย้ำชัยชนะเหนือคนอย่างเขาในยกนี้
การประกาศผลรางวัลในหมวดอื่นๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อินทัชกับพริมาขึ้นรับบรอนซ์อะวอร์ดอีกสองรางวัลจากหมวดโฆษณาทางโทรทัศน์ ส่วนหมวดวิทยุ แทนที่พริมาจะตื่นเต้นกับซิลเวอร์อะวอร์ดในมือ สีหน้าของเธอกลับดูว่างเปล่าจนเขาไม่อาจคาดเดาใจเธอได้เลยว่ากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
ฟากคนที่หน้าบานกว่าใครเห็นจะเป็นธนา เพราะนอกจากหมวดสิ่งพิมพ์แล้ว วาริศยังซิวโกลด์อะวอร์ดมาได้เพิ่มจากหมวดโทรทัศน์ ดิจิตอล สื่อนอกบ้าน และกิจกรรมส่งเสริมการขายซึ่งได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดอย่างแคมเปญโปรโมตรถไฟฟ้าคอนเนคต์แอนด์ลิงก์…แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางกรุง
ยิ่งอินทัชได้ยินครีเอทีฟหลายคนลองทายผลเล่นๆ ว่าแคมเปญไหนจะซิวรางวัลกรังด์ปรีซ์ยอดเยี่ยมที่สุดของทุกหมวดไปครอง ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกได้ถึงความชาฉาบทั่วใบหน้า เมื่อใครต่อใครต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า แคมเปญของคอนเนคต์แอนด์ลิงก์มาแรงแซงทุกโค้ง จนอินทัชไม่อาจปกปิดความรู้สึกหงุดหงิดบนดวงตา ทำได้เพียงขบฟันปิดกั้นเสียงสรรเสริญเยินยอที่มีต่อฝีมือของวาริศ
“และในช่วงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ ก่อนจะทราบว่าเอเจนซี่ไหนคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์ไปครอง แน่นอนค่ะว่า…ตามธรรมเนียมของเวทีประกาศผลรางวัลโฆษณายอดเยี่ยมในทุกๆ ปี จะต้องประกาศรางวัลอันทรงเกียรติต่อไปนี้ก่อนค่ะ” ปีย์รกาเกริ่นนำ
วอแวรับลูกขยายความต่อ “ใช่แล้วล่ะครับ รางวัลที่ว่านี้ก็คือรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปี ซึ่งจะมอบให้ผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่วงการโฆษณา อุทิศแรงกายแรงใจ ผลักดันโฆษณาไทยก้าวไปยืนในระดับโลกครับ”
“สำหรับผู้ที่เหมาะสมกับรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปีในปีนี้จะเป็นใครนั้น ติดตามชมได้จากวีทีอาร์กันเลยค่ะ”
ปีย์รกาและวอแวเลี่ยงไปหลบด้านหลังเวที แสงไฟจากสปอตไลต์มืดลง เหล่าผู้ร่วมงานต่างจดจ่อจอแอลอีดีสามจอยักษ์ทั้งที่ตั้งตรงกลางและขนาบข้างเวทีอีกสองจุด
ทันใดนั้นแสงสีขาวพลันสว่างวาบ ภาพถ่ายสีตุ่นกรุ่นอดีตผุดฉายชัด พ่อของอินทัชในวัยหนุ่มกำลังยืนกอดอกพิงขอบโต๊ะทำงานในโฮมออฟฟิศแห่งหนึ่ง เรียกเสียงปรบมือสนั่นงาน ทุกคนต่างรู้ทันทีว่าสุดยอดคนโฆษณาปีนี้มิใช่ใคร…คือ ‘ศักดา’ ศาสดาโฆษณาไทยนั่นเอง
อินทัชหันไปมองพ่อซึ่งกำลังสนทนากับผู้บริหารเอเจนซี่อื่นขณะจ้องจอแอลอีดีไปพลาง ภาพถ่ายภาพแรกผ่านไป ภาพที่สองและสามตามมา พ่อในวัยหนุ่มอยู่ในอิริยาบถแตกต่างกัน ทั้งขณะกำลังประจำที่กองถ่ายโฆษณาและประชุมหารือกับเพื่อนร่วมทีม
ทว่าภาพที่สี่กลับเรียกเสียงฮือฮาจากแขกเหรื่อบางกลุ่ม โดยเฉพาะระดับหัวหน้าทีมครีเอทีฟขึ้นไป รวมถึงพี่ตระการที่ชะงักค้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า…
พ่อยืนคู่กับคนหนุ่มรุ่นเดียวกัน ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นสะท้อนจัดว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดและเปี่ยมด้วยไหวพริบเพียงใด กรอบแว่นหนาสีดำทรงสี่เหลี่ยมคางหมูหาได้ลดทอนประกายตาแห่งความมุ่งมั่นลงไม่ กลับช่วยขับบุคลิกผู้ชายที่ยืนข้างพ่อให้น่ามองมากยิ่งขึ้น
เขาคนนั้นอาจเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของพ่อ…อินทัชคิดเช่นนั้น แต่เหตุใดพี่ตระการและหัวหน้าทีมครีเอทีฟของเอเจนซี่อื่นๆ กลับค่อยๆ ยืนขึ้นคล้ายตกตะลึง แววตาฉายชัดถึงความรู้สึกอึ้งระคนพิศวงที่ครีเอทีฟรุ่นใหม่อย่างเขาไม่มีวันเข้าใจ
ภาพนั้นถูกแช่ไว้นานค่อนนาที ก่อนจะมีข้อความภาษาอังกฤษสีแดงฉานคล้ายเลือดปรากฏใต้ภาพปลุกความรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง
‘CHAT NEVER DIES’
ทันใดนั้นเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางเวที ความเงียบงันแผ่ปกคลุมได้ไม่กี่อึดใจ เสียงคนร่วมงานนับพันพลันแตกฮือราวกับฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำ
คนที่ช็อกมากกว่าใครเห็นจะเป็นพ่อ ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปีแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะมีคนจงเกลียดจงชังถึงขั้นวางแผนฉีกหน้าเจ้าของฉายาศาสดากลางงานใหญ่ระดับประเทศเช่นนี้!
วาริศเห็นหมดทุกอย่าง ทั้งใบหน้าซีดเผือดจากภัยคุกคามรวมถึงนัยน์ตาพญาเหยี่ยวอัดแน่นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นคู่นั้นของศักดา
โชคดีที่ตระการความรู้สึกไวเหนือใคร วาริศเห็นคนเป็นมือขวาของศักดารีบวิ่งไปด้านหลังเวที เห็นทีคงไม่แคล้วไปสั่งเจ้าหน้าที่ควบคุมระบบภาพและเสียงให้รีบปิดวีทีอาร์ปริศนานั่นทันที ไม่เช่นนั้น…คนในงานคงได้เห็นเรื่องราวน่าตื่นเต้นชวนขบคิดดุจปริศนากว่านี้เป็นแน่!
ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มแห้งแล้งของศักดาด้วยแล้ว วาริศเดาว่าศาสดาโฆษณาไทยคงอยากลงจากเวทีเสียเต็มประดา ก่อนตกเป็นเป้าสายตาไปมากกว่านี้ วาริศโค้งศีรษะเป็นนัยขอบคุณเจ้าของรางวัลสุดยอดคนโฆษณาแห่งปีที่ยังหน้าด้านยืนอยู่บนเวทีเพื่อมอบถ้วยรางวัลกรังด์ปรีซ์แก่เขาตามธรรมเนียมของเวที หลังชื่อผลงานโฆษณารถไฟฟ้าบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ที่แอคต์แพลเน็ตสามารถเอาชนะการแข่งขันนำเสนองานตัดหน้าแอดดิกต์มาได้เมื่อสองเดือนก่อนได้รับการประกาศอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้บรรยากาศอิหลักอิเหลื่อของทุกคนภายในงาน
แสงแฟลชจากด้านล่างเวทียังคงสว่างวาบ ช่างภาพนับสิบรุมเก็บชอตอันน่าประทับใจในค่ำคืนที่วาริศจะไม่มีวันลืมได้ลง ดวงตาคมเฉียบของวาริศเฝ้าเก็บรายละเอียดภาพศักดาแยกยิ้มอย่างยากลำบาก โทสะและความอับอายกดกล้ามเนื้อใบหน้าเหนือมุมปากกระตุกเป็นระยะ จนวาริศเกือบหลุดขำออกมาหลายต่อหลายครั้ง ชายหนุ่มได้แต่ฝืนสีหน้าและแววตาเอาไว้พลางลอบแสยะยิ้มในใจ แสร้งทำเป็นไม่เห็นปฏิกิริยาชวนหัวนั่น ขณะที่พิธีกรคู่ชายหญิงพยายามปรับบรรยากาศในช่วงท้ายของงานให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนกล่าวคำล่ำลาส่งแขกเหรื่อคนโฆษณาให้กลับไปดื่มฉลองชัยอย่างปลอดภัยที่ร้านใครร้านมันกันต่อ
แต่ใครเล่าจะลืมภาพถ่ายสีซีดและข้อความปริศนาเมื่อครู่ได้ลง วาริศเชื่อเช่นนั้นสุดหัวใจ
“ขอคุยอะไรหน่อยได้ไหม”
วาริศหันไปมองตามเสียง พริมายืนเชิดหน้าเอ่ยความต้องการว่าอยากสนทนา ‘บางเรื่อง’ กับเขาเต็มที
“เรื่องอะไร”
“คุณรู้ดีอยู่แก่ใจ”
“ผมไม่รู้อะไรเลยต่างหาก”
“โกหก” กระแสเสียงของเธอเย็นเยียบ
วาริศหรี่ตามองพริมา นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เธอตำหนิเขาอย่างตรงไปตรงมา นับตั้งแต่วันแรกที่กลับมาพบกันอีกครั้ง
“ผมไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณหมายถึงเรื่องอะไร”
น้ำเสียงยอกย้อนบั่นทอนความพยายามของก๊อปปี้ไรเตอร์สาว เขารู้สึกยินดีเมื่อเห็นพริมาจำได้ว่าผู้ชายที่ยืนข้างศักดาในภาพถ่ายสีซีเปียบนจอแอลอีดีนั้นเป็นใคร…เจ้าของใบหน้าคร้านคมกร้านแดด รอยยับย่นบนหน้าผากกว้าง ดวงตาฉายฉานความมุ่งมั่น บ่งชัดว่าเขาคนนั้นคือคนที่พริมาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี แถมยังได้พบและพูดคุยมาแล้วเมื่อสิบปีก่อน
“เฮ้ย! ไอ้ริศ ไปต่อกันได้ยังวะ” กริชตะโกนขัดขึ้นขณะยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ทันสังเกตเห็นว่าร่างระหงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือพริมา “ทุกคนรอแกอยู่คนเดียวเลยเนี่ย ให้ไวๆ”
“ผมคงต้องไปแล้ว” เขาหันมาเอ่ยลา
พริมาเผลอเลียริมฝีปากอย่างนึกเสียดายโอกาส เมื่อตระหนักว่าไม่อาจฉุดรั้งให้เขาอยู่ต่อจึงทำได้เพียงตะโกนไล่หลัง
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหลังจากนี้”