LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่4-บทที่5
บทที่ 4
คลุมถุงชน
เช้าวันจันทร์ในอีกสองสัปดาห์ถัดมา พริมารู้สึกใจหายเมื่อมาถึงเอเจนซี่แอดดิกต์แล้วพบว่าข้าวของบนโต๊ะทำงานหนุ่มถูกเก็บไปหมดแล้ว
วันนี้แล้วสินะที่เธอจะได้ร่วมงานกับอาร์ตไดเร็กเตอร์คนใหม่ ไม่รู้วิเศษวิโสมาจากไหน พี่ตระการถึงได้ปกปิดเป็นความลับมาจนถึงวันนี้
เธอได้ยินชินทรพึมพำไม่หยุด อยากรู้ว่าใครคือสมาชิกคนใหม่ของทีมตั้งแต่เดินเข้ามาในออฟฟิศตอนเก้าโมง ต่างจากวอแวที่วันนี้ดูเคร่งขรึมผิดปกติ นั่งพลิกกระดาษหนังสือพิมพ์พลางจิบกาแฟร้อนอย่างใจเย็น คอยบอกชินทรให้หยุดตื่นเต้นได้แล้ว
“วันนี้พวกแกสองคนดูแปลกๆ” พริมาตั้งข้อสังเกต “ปกติแล้วคนที่จะต้องตื่นเต้นกว่าชาวบ้านจะเป็นไอ้แว ส่วนคนที่นิ่งกว่าจะเป็นไอ้ชิน แต่วันนี้คาแร็กเตอร์พวกแกดู…สลับกัน”
“ความจริงฉันก็เหมือนเดิมนะ เพียงแต่ไอ้แวมันดูสุขุมขึ้นก็เท่านั้น”
“เป็นการพลิกคาแร็กเตอร์ครั้งสำคัญของฉันเลยนะเว้ย…” วอแวลุกจากเก้าอี้ตั้งท่าเท้าเอวขยายความ “ด้วยกลยุทธ์รีแบรนดิ้ง* ตัวเองให้น่าสนใจ เผื่ออาร์ตไดฯ คนใหม่เป็นผู้หญิง จะได้สนใจผู้ชายมาดขรึมอย่างฉันไง หึๆ”
พริมายิ้มบางพลางส่ายหน้า “หูดำจริงๆ” ชั้นเชิงการต่อว่าของเธอทำเอาคนหน้าหม้อหน้าหงายนิดๆ “เป็นผู้ชายขึ้นมา แม่จะหัวเราะให้”
กระทั่งเวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมง อาร์ตไดเร็กเตอร์ใหม่ที่คนในทีมต่างเฝ้ารอกลับไม่ยอมปรากฏตัวเสียที และแทนที่พริมาจะเอาใจจดจ่อกับการสร้างสรรค์งานโฆษณาเพื่อให้การเดินทางของเข็มนาฬิกาผ่านไปอย่างคุ้มค่า เธอกลับเอาแต่นั่งจินตนาการว่าคู่หูคนใหม่เป็นคนแบบไหน ตัวตนของเขาน่าสนใจเพียงใด และที่สำคัญ…จะทำงานเข้าขากับเธอได้ดีหรือไม่
เป็นไปได้ไหมว่าอาร์ตไดเร็กเตอร์คนใหม่จะยังอยู่ที่แผนกทรัพยากรบุคคล หรืออาจจะกำลังคุยกับพี่ตระการอย่างถูกคอในห้องประชุมเล็กสักห้องหนึ่งภายในเอเจนซี่แล้ว
ไม่ถึงนาทีดี หัวหน้าครีเอทีฟที่พริมาเพิ่งนึกถึงพลันผลักบานประตูโผล่พรวดเข้ามาเรียกความสนใจจากครีเอทีฟทั้งห้อง พริมาหันไปมองอย่างประหลาดใจ เพราะแทนที่จะเห็นคู่หูคนใหม่ของเธอติดสอยห้อยตามมาด้วย กลับพบเพียงความว่างเปล่าดำรงอยู่ข้างกายพี่ตระการ
“อาร์ตไดฯ คนใหม่ยังไม่มาอีกเหรอ”
คำถามของพี่ตระการทำเอาพริมางุนงงไปหมด “ยังไม่เห็นเลยค่ะ พี่ตระการบอกให้มารอที่นี่เหรอคะ”
“จริงๆ พี่บอกให้ไปรอที่ห้องทำงานคุณศักดา แต่ไม่เห็นมาสักที เลยคิดว่าอาจจะแวะมาที่ห้องนี้ก่อน เพราะยังไงเจ้าแวกับเจ้าชินก็อยู่ที่นี่”
ยิ่งพี่ตระการพูดเช่นนั้นยิ่งทำให้พริมาสงสัยเข้าไปอีกขั้น
หรือว่าครีเอทีฟคนนั้น…จะรู้จักวอแวกับชินทร
“ผมกับไอ้ชิน…รู้จักด้วยเหรอครับ”
วอแวถามในสิ่งที่เธออยากรู้ทันที แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ พริมาเห็นพี่ตระการเบนสายตามองนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนัง แล้วหันมากำชับว่าหากอาร์ตไดเร็กเตอร์คนใหม่ปรากฏตัวในห้องนี้ ให้เธอ…วอแว…หรือชินทร…ใครสักคนก็ได้ในทีม A รีบติดต่อเขาทันที ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องทำงานแผนกครีเอทีฟอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่ได้แวะเข้ามาตั้งแต่แรก
“แล้วจะรู้ได้ไงวะว่าเป็นใคร”
วอแวงุนงงกับท่าทีเหมือนมีลับลมคมในของคนเป็นหัวหน้า แต่พริมาคร้านจะสนใจ เธอปล่อยวางความอยากรู้ไว้ จัดการคว้าถ้วยอเมริกาโนร้อนของร้านตรานางเงือกไซเรนสองหาง แล้วเดินออกจากห้องตรงไปยังชั้นดาดฟ้าของอาคารสำนักงานสูงร่วมสี่สิบชั้น…สถานที่ประจำสำหรับนั่งจิบกาแฟยามเช้าของเธอ
หญิงสาวโปรดปรานความเงียบสงบของสวนสวรรค์ลอยฟ้าแห่งนี้มากเป็นพิเศษ เพราะทุกครั้งที่เครียดเรื่องงานพริมาจะขึ้นมานั่งให้ลมโชยอ่อนพัดผ่าน ทอดสายตามองพันธุ์ไม้เลื้อยประดับเหนือซุ้มไม้ระแนง ทั้งดอกช่อม่วงพวงครามงามตากับสร้อยอินทนิลระโยงระยางด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ปล่อยให้ความรู้สึกสบายใจโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้ความกังวลใดๆ มาแผ้วพาน
ทว่าปล่อยสมองโล่งได้เพียงไม่นาน พริมาเริ่มใคร่ครวญถึงชีวิตการทำงานของเธอนับตั้งแต่ย้ายจากเอเจนซี่โฆษณาเก่ามาเริ่มงานที่แอดดิกต์เมื่อสี่ปีก่อน
แม้หลายคนจะมองว่าครีเอทีฟโฆษณาเป็นงานที่เต็มไปด้วยความเครียดและกดดันสูง แต่สำหรับเธอแล้วมันคือความท้าทาย เหมือนอย่างที่ฌานนท์เคยบอกเธอไว้…โฆษณาคือศิลปะแห่งการโน้มน้าวเพื่อเอาชนะใจ
และการเปลี่ยนใจคนนี่แหละ…คือสิ่งที่ยากที่สุดแล้ว
ขณะที่พริมากำลังนั่งคิดถึงฌานนท์ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของใครคนหนึ่งกลับดังขัดจังหวะความคิดของเธอ
หญิงสาวหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงเจ้าของร่างสูงในชุดลายขวางสีขาวตัดกรมท่าคลุมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีเทาเข้ม กางเกงยีนสีดำรับกับรองเท้าหนังแท้สีน้ำตาล กำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกบนม้านั่งอีกตัวไม่ไกลจากจุดที่เธอนั่งนัก แว่นกันแดดดีไซน์ทันสมัยพรางดวงตาคู่นั้นจนพริมามองไม่ออกว่าเป็นใคร ดูเหมือนว่าเขาคนนั้นจะไม่ยี่หระกับเสียงโทรศัพท์ของตัวเองเลยสักนิด
จนกระทั่งมันดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เธอเห็นเขาลอบถอนหายใจคล้ายรำคาญ กดรับสายในที่สุด
“ครับ…ทราบแล้วครับ…จะไปเดี๋ยวนี้ครับ…”
น้ำเสียงห้าวลึกของเขาช่างคุ้นหูเธอเหลือเกิน ชายหนุ่มตัดบทสนทนาจากปลายสาย ลุกจากม้านั่งตั้งท่าจะลงไปจากสวนสวรรค์ลอยฟ้า แต่ดันสะดุดเข้ากับสายตาเธอเสียก่อน
สวรรค์เล่นกลเหลือร้าย พริมานิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นเขาค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดออกจากใบหน้าหล่อสะอาด นัยน์ตาคมปลาบรับกับคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากัน บอกชัดถึงความฉงนว่าเธอมาอยู่ตรงหน้าเขาได้อย่างไร
“คุณ…มาทำอะไรที่นี่”
พริมาถามออกไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ แต่ร่างสูงกลับไม่ยอมตอบ เลือกก้าวเข้ามาประชิดพริมาอย่างรวดเร็วจนเธอต้องถอยหลังชิดติดขอบรั้วกระจกหนาของดาดฟ้า จ้องเขากลับด้วยสายตาไม่วางใจ ชายหนุ่มเลื่อนสายตาจากใบหน้าเธอลงมายังป้ายบัตรพนักงานที่ห้อยคอเธออยู่ เขาคงเห็นชื่อ นามสกุล ตำแหน่งงาน และชื่อที่ทำงานเธอเข้าแล้ว ถึงได้ขยับยิ้มยียวนที่มุมปากแฝงรอยขบขันในโชคชะตาเช่นนี้
“คนเรานี่ก็แปลก คนที่อยากเจอกลับไม่ได้เจอ แต่คนที่ไม่อยากเจอ ทำไมถึงได้เจอบ่อยนักก็ไม่รู้”
“คุณคิดว่าฉันอยากเจอคุณนักเหรอ”
“ก็ไม่นี่”
“รู้ไว้อย่างงั้นก็ดี”
“โทษทีนะ บังเอิญผมต้องรีบไป ไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงด้วย หวังว่าเจอกันคราวหน้า คุณจะพูดจาน่ารักกว่านี้” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทำไมอินทัชต้องใช้คำว่า ‘คราวหน้า’ ด้วย
เธอไม่ได้อยากเจอเขาอีกสักหน่อย!
พอพริมากลับมาถึงห้องทำงานแผนกครีเอทีฟ หญิงสาวกลับเป็นฝ่ายหน้าหงายเมื่อเห็น ‘คนที่เธอไม่อยากเจออีกครั้งในคราวหน้า’ กำลังยืนอยู่ตรงหน้า…สนทนากับวอแว ชินทร และพี่ตระการอย่างออกรส
ไม่จริง พริมาบอกตัวเอง บางทีอินทัชอาจแค่รู้จักสามคนนี้แล้วแวะเวียนมาทักทายเท่านั้น
ไม่มีทางเป็นอย่างที่เธอกลัวแน่นอน
“อ้าว ไอ้พริม นึกว่าหายไปไหน กำลังจะโทรตามอยู่พอดี”
วอแวกวักมือเรียกพริมาให้รีบเข้ามาสมทบเป็นการใหญ่ หญิงสาวจำต้องก้าวเข้าไปใกล้ร่างสูงของผู้ชายทั้งสี่คนอย่างยากเย็น เธอเห็นอินทัชขยับอิริยาบถยกแขนขึ้นกอดอกปกป้องระยะห่าง พลางชำเลืองตอบราวกับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในสายตาเธอเข้าแล้ว
“พริม นี่อินทัชนะ…เรียกว่าแทนก็ได้” การแนะนำอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการแบบนี้ของพี่ตระการคล้ายส่งสัญญาณบางอย่างแก่พริมาว่า… “แทนจะมาเป็นอาร์ตไดฯ คนใหม่ของที่นี่”
พริมาทำได้เพียงยืนอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เมื่อความจริงที่เธอกลัวถือโอกาสเปิดตัวต่อหน้าเธอในที่สุด
“ส่วนแทน…นี่พริมา เรียกว่าพริมเฉยๆ ก็ได้ เป็นก๊อปปี้ฯ คู่เรา”
เดี๋ยวก่อน…เมื่อครู่นี้พี่ตระการว่าไงนะ
“ยินดีที่ได้รู้จัก” อินทัชยื่นมือขวาออกมาหลังพี่ตระการจบบทเกริ่นนำ พริมาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอจ้องมือหนาของเขาไปกี่อึดใจ กว่าจะเคลื่อนมือตัวเองมากระชับแบบขอไปที สายตาของเขาส่งตอบข้อมูลถึงเธอราวกับรู้ดีว่าเขาและเธอควรแสดงออกต่อหน้าทุกคนเหมือนไม่เคยพบกันมาก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จัก” เธอตอบไปเช่นนั้นทั้งที่ในใจไม่ใคร่จะยินดีอย่างที่ปากว่านัก แต่ดูเหมือนท่าทางผิดปกตินิดๆ ของเธอและอินทัชไม่อาจรอดพ้นสายตาแหลมคมของชินทรไปได้
“พวกแกสองคน…เคยเจอกันมาก่อนเหรอ”
“เปล่านี่!” พริมากับอินทัชประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย
โชคดีที่เมื่อหลายวันก่อนตอนพริมาเล่าให้ชินทรกับวอแวฟังถึงเหตุการณ์งานเลี้ยงรุ่นชวนปวดหัว เธอไม่ได้เผลอหลุดพูดชื่อแฟนเก่าของเพียงแพรออกไปด้วย
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไอ้พริมอาจยังไม่รู้” จู่ๆ วอแวก็เปิดประเด็นใหม่ชวนสงสัยกลางวง
“เรื่องอะไร” พริมาถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ได้คาดหวังคำตอบอันน่าตื่นเต้นเท่าไรนัก เพราะแค่เรื่องอินทัชเป็นคู่หูใหม่ของเธอก็ใหญ่เกินพอจะรับมือแล้ว
“ไอ้แทน…คือเพื่อนฉันกับไอ้ชินตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม”
มิน่าเล่า ถึงได้ดูสนิทสนมกันนัก
“แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลต์…” วอแวชูนิ้วชี้ว่าต่อ “เพราะความจริงแล้ว ไอ้แทนไม่ได้เป็นแค่อาร์ตไดเร็กเตอร์อย่างเดียว…”
พริมาหันไปมองอินทัช ไม่ได้เป็นแค่อาร์ตไดฯ แล้วจะเป็นอะไรอีกล่ะคราวนี้
“…แต่ยังเป็นนายน้อยของแอดดิกต์อีกด้วย” วอแวประกาศเปิดตัวเสียงดังลั่นห้องจนครีเอทีฟคนอื่นๆ ได้ยินสถานะที่แท้จริงของอินทัชแล้วเกิดอาการนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน ต่างละสายตาจากงานตรงหน้าในฉับพลัน หันมามองอินทัชเป็นตาเดียว
“นายน้อยของแอดดิกต์? หมายความว่า…” พริมาพยายามจับต้นชนปลาย ในใจเอาแต่ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย
“ใช่ เป็นอย่างที่แกคิดนั่นแหละ นามสกุลของไอ้แทนก็คือเจนนุรักษ์ ทายซิ…ลูกใครเอ่ย”
ศักดา เจนนุรักษ์…
ไม่จริง เป็นไปไม่ได้!
“บิงโก!” วอแวดีดนิ้วแล้วชี้ไปที่พริมา “อึ้งไปเลยล่ะสิ หึๆ”
“นี่แกจะป่าวประกาศบอกให้ทุกคนในโลกรู้เลยใช่มั้ย” อินทัชต่อว่า ท่าทีของเขาดูเหมือนไม่อยากเปิดเผยตัวตนให้คนในเอเจนซี่รู้นักว่าเขาเป็นลูกชายของคุณศักดา แต่วอแวหาสำนึกไม่
“อ้าว ก็มันเป็นความจริงนี่ ช้าเร็วทุกคนก็ต้องรู้อยู่ดีว่าแกเป็นลูกคุณศักดา แล้วการที่ลูกชายกลับมาช่วยงานพ่อหลังไปร่ำเรียนทำงานที่นิวยอร์กมานานก็เป็นเรื่องน่าชื่นชมไม่ใช่เหรอวะ ใช่ไหมครับพี่ตระการ”
คนถูกถามยิ้มบางๆ “ถูกของวอแวมัน ยังไงคนในเอเจนซี่แอดดิกต์ก็ต้องรู้อยู่ดีว่าแทนเป็นใคร แต่ตอนนี้ไปพบคุณศักดาก่อนดีกว่า คงนั่งรอเราอยู่ที่ห้องนานแล้ว”
ทว่าทันทีที่อินทัชเข้ามาพบผู้เป็นทั้งพ่อและประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอเจนซี่แอดดิกต์ เจ้าของห้องพลันวางแก้วไวน์แดงรสนุ่มคอลงบนโต๊ะทำงาน กล่าวต้อนรับการกลับมาของลูกชายอย่างอบอุ่นว่า
“กลับมาถึงกรุงเทพฯ ตั้งนาน เพิ่งจะโผล่หัวมาให้ฉันเห็นเนี่ยนะ!”
ไม่ผิดจากที่อินทัชคาดไว้นัก น้ำเสียงของพ่อเย็นชาเหมือนเช่นทุกครั้ง
“มันสำคัญด้วยเหรอครับ แค่กลับมาเริ่มงานตามที่พ่อบอก…ก็น่าจะพอแล้ว”
“อย่ามายอกย้อน!” พ่อลุกพรวดจากเก้าอี้ตบโต๊ะทำงานตวาดดังลั่นห้อง สายตาของพ่อสะท้อนจัดราวกับเพิ่งนึกได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีนักหากพนักงานที่เดินผ่านหน้าห้องไปมาได้ยินพ่อขึ้นเสียงตำหนิลูกชายในฐานะพนักงานใหม่ เจ้าของผมสีดอกเลาจึงแค่นเสียงพูดเบาลง ทว่านัยน์ตาพญาเหยี่ยวยังฉายแววคุกรุ่นเปี่ยมโทสะ “แก…อย่าทะนงตัวให้มันมากนัก รู้ไว้ซะ ถ้าแกไม่มีฉัน แกก็ไม่มีวันได้มายืนถึงจุดนี้!”
อินทัชได้ยินแล้วถึงกับชักสีหน้าอย่างห้ามไม่ได้ “พ่อกำลังทวงบุญคุณผมอยู่สินะ”
“…”
“ไม่ว่าพ่อจะลงทุนอะไรไป ดูเหมือนจะหวังผลตอบแทนไปเสียทุกอย่าง”
“หยุดต่อปากต่อคำได้แล้วอินทัช…”
“ความช่วยเหลือจากพ่อ ผมรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ หยุดยุ่งกับชีวิตผมเสียที จะถือเป็นพระคุณอย่างสูง”
“จะให้ฉันเลิกยุ่งกับแกเนี่ยนะ! หึ แกก็รู้ว่าวงการโฆษณา…เสือสิงห์กระทิงแรดมันเยอะแค่ไหน เขี้ยวเล็บแกยังไม่คมพอจะไปสู้ใครได้ ฉันเรียกแกกลับกรุงเทพฯ เพราะอยากเห็นแกเป็นพระเอกของเรื่องบ้าง ไม่ใช่ตัวประกอบเหมือนตอนอยู่นิวยอร์ก เพราะฉะนั้น…ทำตามที่ฉันสั่ง อย่าคิดวิ่งนอกลู่ที่ฉันขีดไว้เป็นอันขาด!”
อินทัชหัวเราะในลำคอคล้ายเยาะ “แปลกนะครับ ที่ผ่านมาพ่อสอนให้ผมคิดนอกกรอบมาตลอด แต่ทำไมคราวนี้ถึงอยากให้ผมวิ่งบนลู่ที่พ่อขีดไว้เสียเอง”
พ่อถอนหายใจยาวยืด ยกมือขึ้นลูบหน้าโบกมือขอให้เขารีบออกไปจากห้อง “แก…ออกไปได้แล้ว แล้วอย่าทำอะไรไม่ได้เรื่องให้คนอื่นเขานินทาว่าแกมันก็ดีแต่พึ่งบารมีฉัน”
น้ำเสียงแดกดันของคนเป็นทั้งพ่อและนายทำเอาอินทัชพูดไม่ออกไปชั่วอึดใจใหญ่ ชายหนุ่มจำต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำลงคอ ก่อนจะก้าวออกจากห้องไปพร้อมเสียงปิดประตูดังปังสนั่นเอเจนซี่
* รีแบรนดิ้ง (Rebranding) หนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างชื่อใหม่ เครื่องหมายทางการค้า (แบรนด์) ใหม่ๆ หรือกำหนดภาพลักษณ์ใหม่ๆ ในใจผู้บริโภค เพื่อความอยู่รอดของแบรนด์ ต้องการสร้างกระแส หรือกำจัดจุดอ่อนที่พบ