LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่8-บทที่9
บทที่ 8
คนประเภทไหนน่าสงสารที่สุดในโลก
แขกเหรื่อนับร้อยดูจะชื่นชอบสไตล์การตกแต่งงานมงคลสมรสภายในห้องจัดเลี้ยงโรงแรมอย่างมาก เพราะสามารถสะท้อนตัวตนของบ่าวสาวซึ่งทำงานในวงการออกแบบด้วยกันทั้งคู่
โดยเฉพาะมุมถ่ายภาพหน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยง พริมารู้มาว่ากริชทุ่มสุดตัวกับการสร้างสรรค์งานกราฟิกและตัวอักษรให้ดูสนุกสนาน ผิดแปลกไปจากงานแต่งของคู่อื่นๆ ที่เน้นฉากหลังเรียบสวยประดับด้วยดอกไม้สีหวานชวนฝัน ส่วนของที่ระลึกอย่างตุ๊กตากระดาษรูปคู่บ่าวสาวพร้อมด้วยเครื่องแต่งกายสวยหล่อหลากหลายแบบที่บรรดาสาวๆ ในงานดูจะชอบเป็นอย่างมากนั้น เพียงแพรเป็นคนจัดการอย่างไม่ต้องสงสัย
คืนนี้ก๊อปปี้ไรเตอร์สาวได้รับคำชมจากเพื่อนสมัยเรียนว่าดูสวยสง่าเป็นพิเศษ ชุดเพื่อนเจ้าสาวแบบเกาะอกสีน้ำเงินขับผิวขาวเนียนเปล่งประกาย ใบหน้ารูปไข่ถูกระบายด้วยเครื่องสำอางอ่อนใสดูเป็นธรรมชาติ ผมบ็อบยาวประบ่าถูกดัดเป็นลอนบางๆ ทุกอย่างช่างลงตัวในร่างระหงของเธอ
แต่แทนที่พริมาต้องวิ่งรอกประสานงานทั่วทุกส่วนเพียงอย่างเดียว เธอกลับต้องคอยตามประกบแฟนเก่าของเพียงแพรไม่ให้คลาดสายตาด้วย เพราะไม่ค่อยเชื่อใจนักว่าอินทัชจะทำใจได้แล้วอย่างที่ปากว่า แม้ตลอดหนึ่งเดือนก่อนถึงฤกษ์จัดงานเขาดูสงบ ไม่แสดงอาการร้อนรนให้คนอื่นเห็น ผิดจากที่เคยประกาศกร้าวไว้ชัดว่าจะทำทุกอย่างให้เพียงแพรกลับมารักเขาเหมือนเดิม
“แทน…คุณเมามากแล้วนะ” พริมาเข้าไปปรามทันทีที่เห็นเขากรอกไวน์ลงคอไม่ยั้ง ใบหน้าคมคายเปลี่ยนไปเป็นแดงเรื่อเหมือนสีแอลกอฮอล์ก้นแก้ว
“ผมเนี่ยนะเมา” อินทัชหรี่ตามองพริมาแล้วหัวเราะเยาะ
“หน้าคุณแดงขนาดนี้ จะไม่เมาได้ยังไง”
“คุณจะกลัวอะไรกันนักกันหนา”
หญิงสาวรู้สึกได้ว่าคิ้วทั้งสองข้างของเธอกำลังขมวดมุ่น
“กลัวว่าผมจะพังงานแต่งเพื่อนคุณเหรอ” พูดจบ…อินทัชพลันยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดราวกับซดน้ำเปล่า
“นี่ หยุดความคิดบ้าๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างงั้นฉันจะให้พนักงานลากคุณออกไปจากงาน”
“หึ ผมไม่ทำหรอกน่า”
ยิ่งเห็นอินทัชลอบยิ้มพราย นัยน์ตาแฝงประกายบางอย่าง ยิ่งทำให้พริมาไม่อาจวางใจ
“ไอ้พริม…ไอ้พริม…”
พริมาหันไปมองตามเสียงเรียกของใครคนหนึ่ง เธอเห็นก้องภพกวักมืออยู่ไหวๆ ให้ไปถ่ายภาพหมู่กับเพื่อนร่วมห้องและคู่บ่าวสาวหน้างาน พริมาชำเลืองมองอินทัชด้วยหางตาอีกครั้ง เพราะต้องการแน่ใจว่าเขาจะไม่เมาอาละวาดอย่างที่เธอกลัว แต่ชายหนุ่มกลับหยิบไวน์แก้วใหม่จากบริกรพลางมองไปที่เพียงแพรซึ่งกำลังส่งสายตาหวานฉ่ำให้กริชด้วยแววตาชวนให้พริมารู้สึกหวาดหวั่นว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นภายในงาน
ทว่างานวิวาห์ของเพียงแพรกับกริชกลับดำเนินไปด้วยดีจนถึงช่วงที่แขกหลายๆ คนรอคอย นั่นคือช่วงตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่บ่าวสาวก่อนตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน
“มาถึงคำถามสำคัญของค่ำคืนนี้ครับ บ่าวสาวคู่นี้…บอกมาซะดีๆ ว่าไปปิ๊งปั๊งกันตอนไหน” ก้องภพในฐานะพิธีกรของงานยิงคำถามเข้าประเด็นทันทีหลังวิดีโอพรีเซนเทชั่นจบลงด้วยความประทับใจ
“อืม พูดยังไงดี” ประกายตาของกริชเต็มไปด้วยความเขินอายเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่ม ม.ปลาย “…จริงๆ แล้วผมแอบชอบแพรมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ ตอนนั้นผมเรียนสถาปัตย์ ส่วนแพรเรียนศิลปกรรม ผมพยายามจีบแพรแล้วครับ แต่แพรไม่เคยสนใจมองเพื่อนต่างคณะอย่างผมเลย”
กริชเริ่มต้นเล่าด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ทำเอาคนข้างล่างเวทีโดยเฉพาะเพื่อนร่วมคณะอย่างพริมาและคนอื่นๆ ถึงกับโห่แซว
“เราสองคนพบกันอีกครั้งตอนไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก ตอนนั้น…แพรกำลังคบหากับผู้ชายอีกคนค่ะ”
สุ้มเสียงของเพียงแพรเล่าเหมือนเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่เคยผิดหวังในรักครั้งเก่าก่อนเจอรักครั้งสุดท้าย ทว่าเรื่องจริงของเพื่อนรักกลับเชือดเฉือนหัวใจคนฟังอีกคนอย่างแสนสาหัส พริมาสัมผัสได้ว่าอินทัชกำลังเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด
“ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่สุดท้าย…ผู้ชายคนนั้นกลับทำให้แพรผิดหวังในความรักอย่างมาก จนไม่สามารถให้อภัยเขาได้ ในตอนนั้น…แพรคิดว่าทำไมชีวิตรักของเราถึงได้แย่อย่างนี้ แพรคิดว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้ว แต่พอมองไปรอบๆ แพรเห็นแต่ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่คอยยืนเคียงข้างแพรตลอดเวลา และกริช…คือผู้ชายคนนั้นค่ะ” เพียงแพรหันไปสบตาคนข้างๆ “นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แพรมั่นใจว่าคนที่แพรจะรักตลอดไปนับจากนี้มีแค่กริชคนเดียวเท่านั้น”
กริชดึงเพียงแพรมากอดอย่างแนบแน่น ก่อนจรดริมฝีปากบนหน้าผากเจ้าสาวอย่างอ่อนโยน เรื่องราวน่าประทับใจของทั้งคู่เรียกรอยยิ้มและเสียงปรบมือลั่นห้อง นาทีนั้น…พริมาไม่แน่ใจนักว่าอะไรดลใจให้เธอหันไปมองผู้ชายซึ่งกลายเป็นอดีตของเพียงแพร เธอเห็นเขานิ่งงัน พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ข่มความรู้สึกร้าวรานอย่างถึงที่สุด
ทันใดนั้นบานประตูห้องจัดเลี้ยงกลับถูกเปิดกว้าง ตามด้วยเสียงปรบมือเนิบช้าคล้ายประชดประชันของผู้มาใหม่
“รักกันหวานชื่นจังเลยนะคะ…”
ผู้หญิงแปลกหน้าในชุดเดรสยาวสีแดงเลือดนกก้าวเข้ามาใกล้เวทีมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาของแขกเหรื่อเบนความสนใจจากคู่บ่าวสาวมาจับจ้องยังร่างบางเป็นทางเดียว
“เจน”
เสียงของกริชแม้แผ่วเบาแต่พริมาได้ยินชัดและเข้าใจในทันทีว่าน่าจะเป็นชื่อของผู้หญิงคนนั้น สังหรณ์บางอย่างดึงพริมาหันไปมองอินทัชอีกครั้ง เขาพักแก้วไวน์ลงบนโต๊ะแล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เผยรอยยิ้มประหลาดเหนือมุมปาก ราวกับตั้งตารอชมสิ่งที่น่าสนใจนับจากนี้
“ที่คู่บ่าวสาวพูดนั้น ถูกต้องทุกอย่างค่ะ แต่มีอีกเรื่องที่ดูเหมือนเจ้าสาวจะยังไม่ทราบ…”
ผู้หญิงชื่อเจนก้าวไปยังหน้าเวทีที่เพียงแพรกับกริชยืนเคียงคู่
“รู้ไหมคะว่าเรื่องอะไร…” เจนเว้นวรรคให้เรื่องที่กำลังจะเล่าดูน่าสนใจยิ่งขึ้น “เบื้องลึกเบื้องหลังที่ทำให้คุณเพียงแพรกับแฟนเก่าต้องเลิกกัน จริงๆ แล้วไม่ใช่ฉันอย่างที่คุณเพียงแพรเข้าใจหรอกนะคะ แต่เป็น…”
“หยุดพูดได้แล้ว!”
เสียงคุ้นหูของร่างสูงเจ้าของแว่นกันแดดในชุดสูทเทาเรียบเท่ตรงเข้ามาขัดจังหวะ พร้อมฉวยข้อมือข้างหนึ่งของผู้หญิงที่ชื่อเจนไว้ทันที แม้เขาจะแค่นเสียงปรามร่างบางให้เบาสักเพียงใด แต่พริมาซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลกลับได้ยินสุ้มเสียงทุ้มลึกของเขาชัดเจน
“ว้าว มาพอดีเลย” เจนยิ้มเหมือนเยาะ เมื่อร่างสูงตรงหน้าพยายามขัดขวางเธอ “มองหาตั้งนาน นึกว่าจะไม่มาร่วมงานซะแล้ว”
“ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ริศอย่ามาสั่งเราเหมือนที่เคยทำเมื่อปีก่อนหน่อยเลย”
“จะหยุดหรือไม่หยุด” วาริศเค้นเสียงลอดไรฟัน
“ไม่หยุด!” ร่างบางในชุดเดรสสีแดงเลือดนกตอบได้เพียงเท่านั้นก็ถูกเขากระชากตรงไปที่ประตูห้องจัดเลี้ยงอย่างรวดเร็ว พริมาเห็นชัดว่าเจนพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากมือหนา แต่กลับสู้แรงต้านของวาริศไม่ไหว
ทว่าจังหวะนั้นร่างสูงของอินทัชกลับลุกพรวดเข้าไปขวางวาริศไว้ได้ทัน
“ถอยไป” วาริศเอ่ยเตือนด้วยเสียงเย็นเยียบ แต่อินทัชกลับเชิดหน้าท้าทาย ประกายตาลุกวาว
“ฉันไม่มีวันถอยให้แกอีกแล้ว”
วาริศถอนใจเหมือนระอา ราวกับเห็นคำพูดของคนตรงหน้าเป็นเรื่องไร้สาระ “ฉันไม่อยากเสียเวลากับแก…ถอยไป”
“แกต่างหากที่อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้!”
“ออกไปให้หมดทั้งสามคนนั่นแหละ!”
คราวนี้เสียงของคนบนเวทีดังลั่นห้อง ทั้งวาริศ อินทัช และเจนต่างชะงักงันก่อนค่อยๆ หันไปมองเจ้าของเสียง
“ออกไป!” เพียงแพรย้ำความต้องการทั้งหมดอีกครั้ง
วาริศอาศัยจังหวะนั้นกระตุกข้อมือเจนออกไปนอกงานทันที เหลือเพียงอินทัชที่ยังคงเป็นตัวป่วนในสายตาแขกเหรื่อนับร้อย
“แพร…แพรควรจะรู้นะว่าหมอนั่นเป็นคนทำให้เราสองคน…”
“ต้องเลิกกัน” เพียงแพรต่อประโยคของอินทัชจนจบ ทำเอาเขาตะลึงค้าง
“แพรรู้?”
“ใช่…เรารู้”
“แต่แพรกลับทำเฉย คนที่ยืนอยู่ข้างแพรบนเวทีตอนนี้ต้องเป็นเราสิถึงจะถูก ไม่ใช่ไอ้กริช เราต่างหากที่รักแพรมากกว่ามัน!”
“หยุดโทษคนอื่นเสียทีได้ไหมแทน”
อินทัชได้ยินเช่นนั้นถึงกับอึ้งงัน “แพร…พูดอะไรออกมา”
“ยอมรับเสียทีว่าเราไม่ได้รักกันแล้ว ถึงจะรื้อฟื้นทุกอย่าง เราก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเองเถอะ”
“…”
“เราขอร้องนะแทน ถ้าแทนอยากเห็นเรามีความสุข ได้โปรด…ทำตามที่เราขอได้ไหม”
อินทัชนิ่งไป นัยน์ตาคมกริบสั่นไหวคล้ายคนไม่มีทางเลือก เขายืนนิ่งอยู่เช่นนั้นหลายอึดใจ ก่อนเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยงอย่างเงียบงัน พริมาทำได้แค่มองตามอินทัชไปเช่นนั้น กระทั่งแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา
“คนที่ลากผู้หญิงชุดแดงออกไปใช่ไอ้ฌานรึเปล่า”
ก้องภพถามขึ้นทันทีที่อยู่กับพริมาสองต่อสอง พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วงานมองหาร่างสูงผู้ยุติเหตุวิวาห์ล่มด้วยการลากหญิงสาวปริศนาออกไป
“พวกเพื่อนๆ ในห้องเราสงสัยกันใหญ่เลยว่าใช่มั้ย แต่ฉันว่าใช่ว่ะ เหมือนซะขนาดนั้น จะไม่ใช่ได้ไงวะ แล้วนี่มันหายไปไหนแล้วเนี่ย แทนที่จะมาทักทายเพื่อนฝูง”
พริมาเห็นด้วยกับการตั้งข้อสังเกตของก้องภพทุกอย่าง อันที่จริงเธอแน่ใจด้วยซ้ำว่าไม่มีทางจำผิดแน่
“แกตาฝาดไปแล้วไอ้ก้อง นั่นวาริศ…เพื่อนสนิทของกริชต่างหาก” เพียงแพรก้าวเข้ามาสมทบวงสนทนาในชุดเดรสสั้นแซมลูกไม้สีขาวนวลสุดเซ็กซี่สำหรับงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ หลังทำหน้าที่ส่งแขกและญาติผู้ใหญ่กลับไปพักผ่อนเรียบร้อย
“เป็นไปได้ไงวะ” ก้องภพทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปได้สิ คนหน้าคล้ายกันมีถมไป” น้ำเสียงยืนยันของเพียงแพรหนักแน่นจนพริมาไม่อยากเชื่อ เมื่อเห็นเพื่อนรักพยายามช่วยเหลือวาริศอย่างสุดกำลังอีกครั้ง
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ะ ไอ้พริม ถ้าเป็นแก…ต้องจำได้แน่ๆ”
ทว่าคำตอบของพริมากลับห้วนจัดและราบเรียบ
“คนละคน”
หญิงสาวยืนกรานไปเช่นนั้น ทั้งที่ความเคลือบแคลงสงสัยยังคงปกคลุมทั่วทุกสำนึก ป่วยการเปล่าๆ เพียงแพรกับวาริศคงทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกันไว้แล้วว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนของฌานนท์ แม้คนรอบกายจะออกแรงคาดคั้นความจริงสักเพียงใดก็ตาม
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
“พริม…อยู่ด้วยกันก่อน” เพียงแพรเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาหวังรั้งเธอไว้ แต่พริมากลับรู้สึกไม่สะดวกใจจะร่วมงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ต่อ
ลึกๆ แล้วเธอนึกน้อยใจเพียงแพรค่อนข้างมาก ในเมื่อเธอก็เป็นเพื่อนเพียงแพรเหมือนกัน ทำไมเพียงแพรถึงไม่ยอมพูดความจริงเรื่องฌานนท์กับเธอบ้าง ทว่าสุดท้าย…พริมาทำได้แค่ยิ้มบางให้คนตรงหน้า
“ปาร์ตี้ให้สนุกนะแก”
พริมาบอกลาเพื่อนคนอื่นๆ แล้วปลีกตัวออกจากห้องจัดเลี้ยงทันที เธอเดินลงบันไดโค้งสู่ล็อบบี้ชั้นกว้างอย่างคนหมดแรง แสงไฟนวลตาเหนือเคาน์เตอร์บาร์โรงแรมดึงความสนใจพริมาให้หยุดที่ร่างคุ้นตาท่ามกลางการจับคู่สนทนาของนักธุรกิจชาวต่างชาติ ยิ่งสองเท้าของพริมาก้าวเข้าไปใกล้ยิ่งพบว่าใบหน้าของอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มคู่หูนั้นหมองหม่นระคนหดหู่เพียงใด นิ้วเรียวยาวของเขาลูบวนขอบแก้วอย่างคนใจลอย แววตาเลื่อนลอยจนพริมาไม่อาจจับทางได้ว่าเขากำลังหมดหวังในการได้เพียงแพรกลับคืนหรือครุ่นคิดถึงสิ่งใดกันแน่
ไหนๆ คืนนี้ก็ไม่มีที่ไป พริมาจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งข้างๆ เขา ยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มตัวโปรด “โมฮีโต้แก้วนึงค่ะ”
อินทัชหันขวับมามองเธอราวกับไม่เคยเห็น “คุณ…มาทำอะไรที่นี่”
“ก็แค่อยากดื่ม”
“ไม่จริง คุณมาที่นี่เพราะอยากเย้ยผมมากกว่า” สุ้มเสียงของเขาฉายแววสมเพชตัวเอง “สะใจคุณล่ะสิที่เห็นผมเป็นแบบนี้”
“ฉันควรตอบว่าใช่ แต่จริงๆ แล้วฉันเข้าใจความรู้สึกคุณนะ”
เขายกมุมปากคล้ายหยันคำพูดย้อนแย้งในตัวของเธอ อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเต็มทน “แพรส่งคุณมาปลอบใจผมเหรอ”
“เปล่า ฉันเข้าใจคุณจริงๆ” เธอสบตาอินทัชอย่างเปิดเผย ยืนยันความรู้สึกข้างใน ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจเขาแต่อย่างใด กระทั่งแววตาเขาอ่อนลงราวกับสัมผัสได้ว่าเธอไม่ได้โกหกเขาจริงๆ
“คุณเคยถูกทิ้งเหมือนผมเหรอ”
คำถามของอินทัชเสียดแทงใจพริมาชนิดไม่ทันตั้งตัว ภาพของฌานนท์ผุดขึ้นระรัวในหัวอย่างไม่อาจห้ามได้ หญิงสาวระบายลมหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง จะว่าฌานนท์เป็นคนทิ้งเธอก็ดูไม่ยุติธรรม เพราะคนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำคือฌานนท์ต่างหาก เธอนั่นแหละที่เป็นคนทิ้งเขา ไม่ใช่เขาทิ้งเธอ
พริมาปล่อยให้ความเงียบสวมบทเกลอยามยาก เคลื่อนเข้ามาคั่นบทสนทนาอย่างรู้งาน อาจเป็นเพราะอินทัชไม่ได้ตั้งใจคาดคั้นคำตอบตั้งแต่แรก เธอจึงไม่จำเป็นต้องแบกคำบอกเล่าแสนแสลงใจ รีบกลืนอดีตหายไปในอก แล้วแสร้งทำเป็นแนะนำเขาแทน
“ฉันหวังว่านับจากนี้คุณจะลืมแพรแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนที่รักและเข้าใจคุณจริงๆ ถึงวันนั้นแล้ว คุณต้องถนอมเธอไว้ให้ดีล่ะ อย่าปล่อยให้เธอหลุดมือไปอีก”
“พูดง่าย แต่ทำยาก” เขายกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มจนหมดเหลือเพียงน้ำแข็งก้อนกลม
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง”
“คุณพูดเหมือนรู้ดี”
“จริงๆ แล้วฉันไม่รู้อะไรเลยต่างหาก”
คำตอบยอกย้อนเรียกดวงตาคมกริบของเขาหันมาจ้องลึกลงในตาเธอ “ที่คุณบอกว่าเข้าใจความรู้สึกผม อาจเป็นเพราะคุณเคยตกหลุมรักใครสักคนเอามากๆ”
หญิงสาวนิ่งงัน พยายามหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือขอบตา “ฉันเล่าไป คุณอาจจะหัวเราะ” โชคดีที่บาร์เทนเดอร์เสิร์ฟเครื่องดื่มให้พอดี พริมาจึงใช้โมฮีโต้เป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ค่อยๆ ละเลียดรสชาติเปรี้ยวอมหวานผสานว้อดก้ารัสเซียบาดคอ
“อะไรกัน ทีคุณยังรู้เรื่องผมเยอะเลย”
เขาพูดเหมือนน้อยใจเมื่อเห็นเธอเงียบไป ไม่ยอมเล่าความหลังให้ฟัง ก่อนจะหันไปขอวิสกี้อีกแก้วจากบาร์เทนเดอร์แล้วดื่มจนหมดรวดเดียว
“พริม…” จู่ๆ เขาก็เอ่ยชื่อเธอด้วยสุ้มเสียงแฝงรอยเว้าวอน
“ฮึ?”
“คืนนี้…คุณอยู่เป็นเพื่อนผมก่อนได้ไหม” แววตาวูบไหวร้าวรานปานจะขาดใจ
“…”
“ผมไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”
อินทัชรู้สึกหนักศีรษะอย่างรุนแรงราวกับมีหินก้อนโตถ่วงไว้ไม่ให้ไปจากหมอน เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาอันเหนื่อยล้ามองไปรอบๆ ก็พอประมวลผลได้ว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงหนานุ่มในคอนโดมิเนียมของตัวเอง แม้เมื่อคืนเขาจะดื่มหนักมากชนิดไม่สามารถควบคุมขีดจำกัดของตัวเองได้ แต่ในความทรงจำอันเลือนรางกลับมีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างแจ่มชัด
ในตอนนั้นเขาไม่ได้คาดหวังกับคำขอร้องกึ่งวิงวอนของตัวเองนัก แต่พริมากลับอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดทั้งคืน ในสายตาเธอคงกำลังเวทนาผู้ชายคนหนึ่งซึ่งพยายามกล้ำกลืนความขมขื่นลงคอไปพร้อมๆ กับวิสกี้รสหวานเฝื่อนลิ้น เขาหมดสิ้นทางสู้เรื่องเพียงแพร และอ่อนแอเกินกว่าจะดูแลตัวเอง การยอมรับความพ่ายแพ้และตัดใจให้ได้คงเป็นหนทางเดียวที่เขาควรเดิน
ทว่าพอมองเข้าไปในดวงตาคนตรงหน้า เขากลับรู้สึกได้ถึงความสลดหดหู่พล่านไปทั่วอกพริมา เมื่อเห็นเขาจ้องเธอนานเข้า ริมฝีปากเล็กจึงค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางเบาราวกับปฏิเสธว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร อย่าใส่ใจการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาของเธอนักเลย
ลึกๆ แล้วอินทัชอยากฟังเธอเฉลยเรื่องราวที่อัดอั้นอยู่ภายใน แต่พริมาไม่ยอมระบายความทุกข์ใจใดๆ ให้ฟังทั้งที่เขาหาใช่คนอื่นคนไกล เป็นถึงอาร์ตไดเร็กเตอร์คู่หูเธอ บางที…อาจเป็นเพราะเขาและเธอเพิ่งรู้จักกันได้เพียงเดือนกว่า ความสนิทสนมที่มีให้กันคงยังไม่มากพอสำหรับการทลายกำแพงความเป็นส่วนตัว เขาจึงเลือกถามเธอเรื่องเพียงแพรเพื่อทำลายความเงียบ
‘ที่แพรบอกให้ผมยอมรับเสียทีว่าผมกับแพรไม่ได้รักกันแล้ว มันหมายความว่ายังไงกันแน่’ แม้สติสัมปชัญญะจะเลือนหายไปพร้อมวิสกี้หลายแก้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจดจำได้แม่นคือแววตาสวยหม่นของพริมาขณะประสานกับสายตาเขา
‘คำตอบก็ออกจะตรงตัวอยู่แล้ว แพรไม่ได้รักคุณ คุณไม่ได้รักแพร’
‘ถ้าไม่รัก ผมจะตามง้อขอคืนดีทำไม ผมจะทำขนาดนั้นไปเพื่ออะไร’
‘ความรู้สึกผิดไง’ พริมาเฉลย ทั้งที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกถึงคำนี้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง
‘ความรู้สึกผิดงั้นเหรอ’ เขาพึมพำราวกับไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหมดรักเพียงแพร และที่ทำทุกอย่างลงไปจะเป็นเพราะความรู้สึกนั้นจริงๆ
‘ใช่ ความรู้สึกผิด…คุณรู้สึกผิดกับแพรที่ทำเรื่องแย่ๆ ไว้ จนแพรให้อภัยคุณไม่ได้’
‘แต่เรื่องนั้น วาริศเป็นคนวางแผน…’ โชคดีที่ตอนนั้นเขายั้งปากไว้แม้จะเริ่มเมามากแล้ว ไม่อยากพูดชื่อหรือแม้แต่นึกถึงหน้าหมอนั่นเลยด้วยซ้ำ
แต่แทนที่พริมาจะถามกลับว่าวาริศวางแผนอะไร หรือเคยทำอะไรกับเขาไว้บ้าง เธอกลับนั่งนิ่ง ระบายลมหายใจอย่างสงบเหมือนไม่อยากรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวาริศ…คนที่เธอเคยพยายามเค้นคำตอบจากเขาว่าไปเจอกันที่ไหน และรู้จักกันได้อย่างไร ราวกับเธอและวาริศเคยมีอดีตร่วมกันมาก่อน
ยิ่งคิดถึงใบหน้าเศร้าหมองของพริมาขณะนั่งข้างๆ ที่เคาน์เตอร์บาร์โรงแรมเมื่อคืน อินทัชยิ่งสงสัยว่าทำไมพริมาถึงไม่ไปถามเพียงแพรให้รู้เรื่องว่าวาริศเป็นใครกันแน่ เพราะเพียงแพรก็รู้จักวาริศเหมือนกัน จะไม่รู้จักได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนแนะนำให้หมอนั่นได้พบปะเพียงแพรในฐานะคนรักของเขาสมัยเรียนโฆษณาด้วยกันที่นิวยอร์ก แต่ถึงเขาจะรู้จักวาริศมาก่อน ก็ใช่ว่าอยากจะพูดถึงอดีตเพื่อนรักเท่าไหร่นัก
อินทัชหลับตาถอนหายใจอย่างหัวเสียนิดๆ แล้วยันกายพ้นจากเตียงตรงไปเปิดตู้เย็น หยิบเครื่องดื่มแก้เมาค้าง สำรวจตัวเองในสภาพชุดสูทตัวเดิมตั้งแต่คืนวาน ชายหนุ่มพยายามทบทวนว่าฟุบหลับตรงเคาน์เตอร์บาร์ไปตอนไหน เพราะก๊อปปี้ไรเตอร์สาวไม่มีทางแบกร่างหนักๆ ของเขามาที่คอนโดมิเนียมด้วยตัวคนเดียวได้แน่ บางทีเธออาจจะโทรหาวอแวกับชินทรให้มาช่วย สองคนนั้นคงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร และก่นด่าเขาในใจที่เมาเละเทะจนดูแลตัวเองไม่ได้แบบนี้
เราสองคนจะเป็นเพื่อนกันได้ไหมนะ…จู่ๆ ความคิดนั้นก็โผล่ขึ้นมาในหัว พริมาน่ะหรือจะอยากเป็นเพื่อนกับเขา แค่ประคองตำแหน่งคู่หูให้รอดไปวันๆ ก็ยากเอาการแล้ว
แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่…อีกหนึ่งความคิดแย้งขึ้นมาทันควันจนไม่อยากเชื่อตัวเอง แค่เธอมานั่งดื่มเป็นเพื่อนเขาเมื่อคืน กลับทำให้ความคิดหลายๆ อย่างของเขาเปลี่ยนไปจนไม่สามารถหักห้ามได้
ให้ตายเถอะ…ดูเหมือนเขาจะอยากเป็นเพื่อนกับเธอมากจริงๆ จนเผลอหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเดียวกับเมื่อคืนและปลดล็อกหน้าจอค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของพริมา จ้องตัวเลขทั้งสิบหลักนานหลายวินาทีจนจำได้ขึ้นใจ บางทีเขาควรจะโทรขอบคุณเธอสักหน่อยสำหรับมิตรภาพเล็กๆ เมื่อคืน และชวนเธอออกไปดื่มกาแฟรสเยี่ยมบรรยากาศดีๆ พร้อมสานสัมพันธ์ในฐานะคู่หูครีเอทีฟที่ดี ไหนๆ ก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้วนี่
นิ้วของเขาค้างเหนือเบอร์มือถือพริมาอยู่นาน ตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าควรโทรหาเธอตอนนี้เลยหรือไม่ พริมาเองคงงุนงงไม่น้อยและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงอยากทำดีกับเธอในชั่วข้ามคืน
ทว่า ‘พ่อ’ กลับขัดจังหวะความคิดถึงที่มีต่อเธอ อินทัชปล่อยให้โทรศัพท์มือถือสั่นอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจกดรับได้
“มาหาฉันที่บ้านเดี๋ยวนี้” พ่อกรอกคำสั่งสั้นๆ ด้วยเสียงเข้มปนขุ่นจัดแล้ววางสายทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามไถ่ด้วยซ้ำ อินทัชจำต้องพับแผนนัดพริมาออกมาดื่มกาแฟ และมุ่งหน้าไปหาพ่อแทนอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ถึงสองชั่วโมง ชายหนุ่มก็ขับรถมาถึงบ้านเดี่ยวใจกลางเมือง และเดินขึ้นไปหาพ่อที่ห้องทำงานทันที ทุกอย่างเป็นไปตามคาด พ่อสาดเสียงด่าทอรุนแรงใส่เขาไม่ยั้ง ราวกับเขาไปฆ่าใครตายอย่างไรอย่างนั้น
“แกขายงานโฆษณาแพ้ ฉันยังไม่โกรธเท่าที่แกไปหลงลูกสะใภ้ไอ้ธนาหัวปักหัวปำ!”
“เรื่องงาน ผมยอมให้พ่อด่า แต่เรื่องผู้หญิง พ่อไม่มีสิทธิ์มาว่าผม”
“เพราะแกเป็นแบบนี้ไง แล้วฉันจะมั่นใจให้แกก้าวขึ้นมาแทนฉันได้ยังไง ใครๆ เขาก็คอยจับตาดูกันทั้งนั้นว่าแกจะวัดรอยเท้าฉันสำเร็จมั้ย?!”
“ผมไม่เคยคิดจะวัดรอยเท้าพ่อเลยสักนิด!” พอเขาตวัดเสียงห้วนจัดสาดกลับบ้าง คนเป็นพ่อก็เริ่มฉุน
“วะ…ว่าไงนะ?!”
“ผมจะไปในที่ที่พ่อไม่เคยไป!”
“อินทัช!” ประกายตาพญาเหยี่ยวแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว พ่อขว้างแฟ้มสะสมผลงานของเขาตกบนพื้นใกล้เท้าเขาพอดี แฟ้มสะสมผลงานโฆษณาเล่มนี้…อินทัชตั้งใจทำเป็นเดือนๆ เพื่อนำมาให้พ่อดูก่อนหน้านี้ หวังเพียงพ่อจะเอ่ยปากชื่นชมเขาสักครั้ง
แต่ดูเหมือนเขาจะฝันมากเกินไป
“น่าผิดหวังจริงๆ”
อินทัชเชิดคาง เม้มริมฝีปากสั่นระริก สะกดความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วอก “ถ้าไม่รู้จะด่าอะไรที่มันใหม่กว่านี้…ผมขอตัว”
ชายหนุ่มทั้งโกรธทั้งน้อยใจ เขาก้าวออกจากห้องไป ไม่ยอมสบตาคนเป็นพ่อแม้แต่นิด ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าอินทัชไม่อาจทำใจให้ชาชินได้เลยสักครั้ง…สักครั้งเดียวก็ไม่เคย
สราลีเดินวนไปวนมาตรงห้องรับแขกของบ้านได้พักหนึ่งแล้ว พอเห็นลูกชายคนโตกระแทกเท้าปึงปังลงบันไดและตั้งท่าจะขับรถกลับไปทั้งที่เพิ่งมาเยือนได้ไม่ถึงห้านาทีดีหล่อนเป็นอันต้องร้อนใจ รีบเข้ามาคว้ามือลูกชายไว้
“แทน…”
“ผมอยากอยู่คนเดียว”
สิ้นประโยคราบเรียบเพียงอึดใจ เหมือนมีบางอย่างสะกิดให้อินทัชหันไปมองสราลีอีกครั้ง เขาเห็นแม่นิ่งงัน วินาทีนั้นทำให้อินทัชตระหนักว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่มากแค่ไหน กลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้เดือนกว่าแต่ไม่ยอมกลับมาเหยียบบ้านหาแม่เลย
“ผมขอโทษครับแม่” อินทัชโผเข้ากอดแม่ด้วยความรู้สึกผิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่เป็นคนเดียวที่คอยเฝ้าดูความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่างเขากับพ่อ
“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร…” แม่ยกนิ้วขึ้นกรีดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “เมื่อไหร่พ่อเขาจะเลิกกดดันแทนเสียที แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“ผมเองก็ไม่รู้” แววตาอินทัชว่างเปล่า เพราะสิ่งที่แม่ถาม…เป็นสิ่งเดียวกับที่เขาตามหาคำตอบมานานจนรู้สึกเหนื่อยล้า ที่ผ่านมาเขาทำตามที่พ่อบอกและขีดเส้นไว้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงาน เพราะเห็นว่าสิ่งเดียวที่เขาเหมือนพ่อคือใจอันรักมั่นในงานโฆษณา แต่ไม่นึกเลยว่าเขาเป็นเด็กดีขนาดนี้ พ่อกลับไม่เห็นค่าในตัวเขาเลย
“แล้วแทนเป็นไงบ้างลูก”
นัยน์ตาคู่สวยของแม่มักถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเขาเสมอ อินทัชอยากจะตอบกลับว่า ‘สบายดี’ เหลือเกิน อย่างน้อยเพื่อให้แม่สบายใจ แต่กลับเอื้อนเอ่ยคำนั้นออกไปไม่ได้ ในเมื่อความเศร้ามันฟ้องชัดในดวงตาเสียขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรนะลูก แล้วมันจะผ่านไป” น้ำเสียงอ่อนหวานและอบอุ่นชโลมลงดวงใจอันปวดร้าว แม่พูดราวกับหยั่งรู้เหตุการณ์ว่าเขาพบพานอะไรมาบ้าง “แทนของแม่เก่งขนาดนี้ ต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว”
“ผมต้องทำยังไง พ่อถึงจะยอมรับในตัวผมเสียที” เขาระบายความรู้สึกร้าวลึกออกมาในที่สุด
แต่แม่กลับเงียบไป อาจเป็นเพราะไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ทำได้แค่กระชับอ้อมแขนแน่นแทนคำปลอบประโลม
“เมื่อกี้ยายแก้วเพิ่งติดต่อมาหาแม่ด้วยล่ะ”
การเปลี่ยนเรื่องคุยของแม่ได้ผล อินทัชได้ยินข่าวน้องสาวก็พอจะยิ้มออก “แล้วแก้วว่าไงบ้างครับ”
“สอบธีสิสผ่านเรียบร้อยแล้วล่ะ เห็นว่าอยากไปเที่ยวที่รัฐอื่นต่อ”
อินทร์แก้วถูกพ่อบังคับให้เรียนด้านสื่อสารการตลาดที่สหรัฐอเมริกา จบมาจะได้ทำงานแผนกวางแผนกลยุทธ์ ช่วยเหลือเขาที่เตรียมขึ้นมาคุมแผนกครีเอทีฟในอนาคต แต่ความสนใจของอินทร์แก้วไม่ใช่เรื่องโฆษณาเลยสักนิด เธออยากเป็นคนเขียนบทและกำกับหนังมากที่สุด อินทัชเคยดูหนังสั้นของอินทร์แก้วสมัยเรียนปริญญาตรีแล้ว ‘ดีทีเดียว’ เขาเอ่ยปากชมผลงานของเธอ โดยเฉพาะการตีแผ่ความคิดของเหล่า ‘ลูเซอร์’ หรือผู้แพ้ในวงการกีฬา ศิลปะ และอื่นๆ อินทร์แก้วเล่าเรื่องสะท้อนตะกอนความรู้สึกของคนขี้แพ้พวกนี้ออกมาได้ดีมาก ถ้อยคำของทุกตัวละครล้วนส่งแรงกระเพื่อมต่อจิตใจเขาเกินทน
‘รู้มั้ย คนประเภทไหนน่าสงสารที่สุดในโลก’
จู่ๆ คำพูดของวาริศก็ผุดขึ้นในหัว มันเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นหลังอินทัชถูกหัวหน้าทีมครีเอทีฟที่เอเจนซี่ในนิวยอร์กตำหนิผลงานของเขาอย่างรุนแรงต่อหน้าเพื่อนร่วมงานกว่าสิบชีวิต
‘ก็คนประเภทที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่…ก็ไม่มีทางทำสำเร็จยังไงล่ะ’
น้ำเสียงดูแคลนของหมอนั่นยังคงแจ่มชัดในโสตสัมผัสราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งที่ผ่านไปกว่าครึ่งปี
‘แกนี่มัน…น่าสงสารจริงๆ เลยว่ะไอ้แทน ฉันไม่รู้จะช่วยแกยังไงจริงๆ’