LOVE
ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่14-บทที่15
15
เมื่อบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป
พริมาไม่รู้ว่านี่คือความจงใจของวาริศหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเธอรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเอาเสียเลย เมื่อเห็นโต๊ะทำงานของเขาถูกจัดติดกับโต๊ะเธอในวันแรกของเดือนใหม่
“วันนี้แล้วสินะที่หมอนั่นจะมาเป็นหัวหน้าเรา”
พริมาหันไปมองเจ้าของเสียงห้าวลึก เธอสังเกตเห็นร่างสูงของอินทัชแต่งกายด้วยเสื้อยืดคอกลมลายทางดำสลับขาว คลุมทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีดำสนิทที่เก็บรายละเอียดแบบโบราณ จับคู่กับกางเกงผ้าเนื้อยับสีเดียวกัน เรียกได้ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยสีดำ ราวกับไว้ทุกข์ให้ใครสักคน
แน่นอนว่าหนีไม่พ้นหัวหน้าทีมคนใหม่ของเขาและเธอ
“ผมถามอะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย” อินทัชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภายในห้องทำงานแผนกครีเอทีฟมีแค่เขากับเธอเพียงสองคน อาจเป็นเพราะเวลาแปดนาฬิกาเช้าเกินกว่าจะมีครีเอทีฟคนไหนย่างกรายเข้ามา
“คุณอยากรู้อะไร”
อินทัชนิ่งไปราวกับฉุกคิดว่าควรถามออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมลมหายใจเอ่ยขึ้นในที่สุดว่า
“คุณคิดยังไงกับวาริศกันแน่”
คำถามของคนเป็นคู่หูกินนัยจนพริมาเก็บอาการตระหนกตกใจบนดวงตาไว้ไม่อยู่ หญิงสาวไม่คิดเลยว่าจู่ๆ อินทัชจะถามเธอเช่นนี้ ในใจของเขาขัดข้องหรือคาดหวังคำตอบแบบใดกัน คงไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกฉันหนุ่มสาวทั่วไปหรอกใช่ไหม
“ผมเพิ่งมานึกได้ไม่กี่วันนี้เองว่าคุณชอบมองวาริศด้วยสายตาแปลกๆ โดยเฉพาะตอนอยู่ที่ร้านไวน์ คุณดูนิ่งผิดปกติ เหมือนกำลังเขินอาย ไม่กล้าสบตาหมอนั่น”
“…”
“บางทีคุณอาจจะชอบหมอนั่นตั้งแต่แรกเห็นแล้วก็ได้ ผมจำได้ว่าหลังแข่งพิตชิ่งงานรถไฟฟ้า คุณเอาแต่ถามถึงหมอนั่นว่าผมรู้จักมันตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้จักกันได้ยังไง บอกตามตรง…ตอนนั้นผมรำคาญมาก อาจเป็นเพราะเราสองคนเพิ่งรู้จักกัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว…”
“…”
“ถามจริงๆ คุณชอบวาริศใช่มั้ย”
ดวงตาคมฉ่ำของอินทัชอัดแน่นด้วยความสงสัยหลากหลาย จนพริมาไม่กล้าอ่านความหมายว่าเขากำลังซ่อนความในใจใดไว้กันแน่
“รู้อะไรมั้ย ผมโคตรจะหงุดหงิดเลยเวลาเห็นคุณทำหน้าเหมือนหมอนั่นมีความหมายกับคุณมาก”
“แทน…” พริมาพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงพึมพำชื่อเขาด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา
“ผมรู้…” เขาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงขาดห้วงคล้ายลมหายใจติดขัด เมื่อเห็นเธอกำลังจะเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง “ผมรู้ว่าหมอนั่นเสน่ห์ร้ายกาจแค่ไหน ความจริงผมอยากจะบอกคุณว่า…ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้าคุณจะชอบเขา เพราะนั่นมันก็สิทธิ์ของคุณ แต่อีกใจผมก็อยากจะขอร้องคุณ”
“…”
“อย่าชอบหมอนั่นได้มั้ย”
“…”
“ผมกลัวว่าคุณ…จะชอบเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นเข้าสักวัน”
พริมาอึ้งงัน สัมผัสถึงหัวใจว่ากำลังเต้นรัวเร็วในจังหวะแปลกประหลาด เมื่อได้ยินคำสั่งปนขอร้องซ่อนความนัยลึกล้ำ ทั้งที่พริมาพยายามกดความรู้สึกนั้นให้หยุดอยู่ตรงก้นบึ้งมาตลอด ไม่อยากยอมรับเลยว่ากลัวอินทัชจะน้อยใจเมื่อเห็นเธอแสดงตนว่าสนอกสนใจในตัววาริศมากกว่าเขา
ภายใต้ความเงียบเคลื่อนตัวเหนือคนสองคน หญิงสาวใคร่ครวญหาเหตุผลอันว้าวุ่นสับสน อาจเป็นเพราะความใกล้ชิดสนิทสนมที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากการทำงาน แถมหลายๆ สถานการณ์ยังชักจูงให้เธอและอินทัชข้ามผ่านปัญหาไปด้วยกัน หนุนนำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
บางทีอาจเป็นเพียงความหวั่นไหวแบบสากลทั่วไป เกิดขึ้นกับใครก็ได้…ไม่ใช่แค่กับเธอ พริมาเพียรบอกตัวเองเช่นนั้น สิ่งเดียวที่ต้องทำคือหักห้ามใจเอาไว้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นได้ก็ย่อมหยุดยั้งได้
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณหมายถึงอะไร” เธอกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากเย็น ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น พลางเสมองไปยังโต๊ะทำงานของครีเอทีฟกลุ่มอื่น หลีกเลี่ยงการประสานกับดวงตาคู่คมกริบของอินทัช
“ถ้าผมบอกไป…คุณจะรับได้รึเปล่า”
พริมาหลับตาผ่อนลมหายใจ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวจับทั่วใบหน้า ไม่ว่าอินทัชจะพูดอะไร เธอต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ นาทีนี้เธอควรคิดถึงแต่วาริศมิใช่หรือ เขาคือร่างซ้อนทับของฌานนท์…คนคนเดียวกับที่เธอคิดถึงมาตลอดสิบปี เพียงแค่นั้นก็มากพอแล้วสำหรับการปิดกั้นไม่ให้ใครอีกคนคืบคลานเข้ามาในหัวใจ
แต่ไม่รู้ทำไม อินทัชถึงไม่ยอมเชื่อฟังเอาเสียเลย
หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะเธอปล่อยให้เขามานั่งข้างๆ หัวใจได้สักพัก เพียงแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้น จนกระทั่งความรู้สึกลี้ลับก่อร่างสร้างความสับสนแปรปรวน รุมเร้าสำนึกพริมาจนยากจะรับมือ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น…”
อินทัชถึงกับนิ่งงันเมื่อเธอเอ่ยคำปราม
“เราสองคน…จะเกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น” พริมาไม่เข้าใจ เหตุใดน้ำเสียงเธอเหมือนจะขาดหายไปเสียดื้อๆ “ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ก็อย่าพูดให้เสียเวลาดีกว่า”
“พริม” เจ้าของเสียงห้าวลึกเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ขัดข้องในอารมณ์เสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ฝ่ามือใหญ่เอื้อมคว้าแขนเธอ แต่พริมาสลัดเต็มแรงขณะพยายามข่มความรู้สึกประหลาดล้ำเอาไว้ แล้วเดินออกไปจากกลุ่มโต๊ะทำงานทันที
นาทีนั้นเสียงเปิดประตูห้องทำงานแผนกครีเอทีฟพลันดังขึ้นจนพริมาตื่นตระหนก การปรากฏตัวของวอแวกับชินทรนำมาซึ่งความอกสั่นขวัญหาย ทว่าสองคนนั้นกลับย่างกรายเข้ามาอย่างคนอารมณ์ดี
“โอ้โห วันนี้นั่งรถออกจากบ้านมาทำงานพร้อมกันเหรอจ๊ะ”
วอแวลากเสียงยาวแกล้งเย้า จนพริมาและอินทัชต้องเร่งปรับสีหน้าอย่างรู้งาน เพราะคร้านตอบคำถามซอกแซกกวนใจ พักหลังๆ สองคนนี้ชอบจินตนาการความสัมพันธ์ระหว่างพริมากับอินทัชเตลิดไกลว่าเหมือนคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน
โดยเฉพาะเวลาที่เธอกับเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองอย่างเช่นตอนนี้
“โอ๊ะ นี่โต๊ะครีเอทีฟใหม่นี่ ขนาบข้างโต๊ะไอ้พริมแบบนี้ ระวังโดนตีท้ายครัวนะเว้ยไอ้แทน หมอนั่นหน้าตาหล่อเหลาเอาการซะด้วยสิ” ชินทรแซวขำๆ
แต่อินทัชไม่ขำด้วย
“ว่าแต่…ใครจะมาเป็นก๊อปปี้ฯ คู่วาริศวะ” วอแวสงสัย
“ฝากบอกพี่ตระการทีว่าถ้ารับเพิ่มขอเป็นผู้หญิงนะ แล้วสลับให้มาคู่ฉันแทน” ชินทรออกลายเจ้าชู้
ดูเหมือนวอแวและชินทรจะยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว วาริศไม่ได้เข้ามาทำงานในฐานะอาร์ตไดเร็กเตอร์ทั่วไป
แต่ยังเข้ามานั่งประจำการในตำแหน่งหัวหน้าทีมด้วย
ในตอนนั้นพริมาค่อยๆ ปรายตามองอินทัชอีกครั้ง เขามองตอบเธอด้วยประกายตาจริงจังไม่ปิดบังจนพริมาตัวเกร็งไปทั่วร่าง ความรู้สึกที่เขาตะล่อมบอกเธออย่างอ้อมค้อมเมื่อครู่นั้นมันกะทันหันเกินกว่าพริมาจะรับไหว บอกไม่ถูกว่าทำไมคำพูดและท่าทีของอินทัชถึงทำให้เธอสะท้านสะเทือนได้มากมายถึงเพียงนี้ ขืนอยู่ในห้องนี้ต่อไป ความสามารถในการควบคุมจังหวะหัวใจคงผิดเพี้ยน หญิงสาวจึงตัดสินใจผละไปจากอินทัชและเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนทันทีเพื่อหาทางตั้งหลักให้เจอ
พริมาจมหายไปในหลุมบ่อแห่งความคิดคำนึงที่ร้านกาแฟตรงล็อบบี้อาคารสำนักงานนานถึงสองชั่วโมง ทั้งที่พยายามสลัดอินทัชไปจากสมอง แต่ใบหน้าคมคายของเขากลับเวียนวน ทลายกำแพงความมั่นคงที่เธอเพียรก่อต่อต้านเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาไม่อยากเห็นเธอชอบวาริศอย่างนั้นหรือ
หากเขาบอกความรู้สึกข้างในอย่างที่ถามเธอไป เธอจะรับมือได้จริงๆ หรือ
พริมาถามตัวเองอยู่อย่างนั้น ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบ ก่อนจะระบายความรู้สึกหนักอึ้งผ่านลมหายใจ ลุกจากเก้าอี้ไม้ทรงสูงกลับขึ้นไปที่ออฟฟิศเพื่อเผชิญหน้ากับอินทัชอีกครั้ง หญิงสาวพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนคำพูดของเขาเป็นเพียงสายลมบางเบาพัดผ่านไป เธอรู้ว่าอินทัชมีคำถามมากมายอยากพูดกับเธอมากเพียงใดขณะสื่อสารแววตัดพ้อผ่านดวงตาคมปลาบคู่นั้น แต่จังหวะและผู้คนรอบข้างกลับไม่เอื้ออำนวยเขานัก
คุณศักดาและพี่ตระการเดินนำวาริศเข้ามาในห้องทำงานแผนกครีเอทีฟตอนสิบโมงพอดี ทุกอย่างเป็นไปตามที่พริมาคาดไว้ วอแวและชินทรดูตกตะลึงไม่น้อยเมื่อเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวแนะนำวาริศให้ครีเอทีฟทุกคนรู้จักในฐานะหัวหน้าทีม A คนใหม่
“ฉันตัดสินใจให้วาริศเข้ามาคุมทีมแทนตระการ มีตระการคอยให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ เพราะจากนี้ไป…ตระการเองก็ต้องทำงานหนักขึ้นในฐานะรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสร้างสรรค์คนใหม่ของแอดดิกต์แทนคนเก่าที่เพิ่งลาออกไปเปิดเอเจนซี่เองเมื่อสองเดือนก่อน”
ขณะที่ครีเอทีฟในแผนกปรบมือยินดีกับพี่ตระการ พริมาสังเกตเห็นว่าวาริศกำลังจดจ้องเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ของอินทัชตั้งแต่หัวจรดเท้า แทนที่วาริศจะแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขากลับขยับยิ้มอ่านยาก ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่านึกชื่นชมหรือเยาะหยันการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ของอินทัชกันแน่
วาริศใช้เวลาไม่นานนักในการทำความรู้จักกับครีเอทีฟกลุ่มอื่นๆ ทุกคนต่างต้อนรับเขาอย่างเป็นมิตร บ้างถามไถ่ถึงเทคนิคการผลิตไอเดียโฆษณาขั้นเทพรวมถึงประสบการณ์การทำงานที่มหานครนิวยอร์กในฐานะดาวรุ่งพุ่งแรง วาริศเอาแต่ยิ้มถ่อมตัวว่าฝีมือของเขานั้นไม่เท่าไหร่ ยังต้องพัฒนาอีกมาก ขณะที่สาวๆ แผนกเออีดูจะหลงใหลรูปร่างหน้าตาและวาทศิลป์ชวนฝันของเขา ต่างรุมล้อมแนะนำตัวให้วาริศรู้จักกันใหญ่ จนพริมาได้ยินวอแวกับชินทรกระซิบกระซาบพร้อมแสดงสีหน้าท่าทางคล้ายนึกเข่นเขี้ยวปนหมั่นไส้
ตลอดการประชุมร่วมกับสมาชิกทีม A ครั้งแรกในช่วงบ่าย พริมาสัมผัสได้ว่าวาริศตกเป็นเป้าสายตามากกว่าทุกครั้ง นอกเหนือจากแววหงุดหงิดฉายชัดในดวงตาอินทัชและประกายคำถามสะท้อนจัดจากตัวเธอเองแล้ว วอแวและชินทรยังดูคับข้องใจไม่น้อยเมื่อจู่ๆ ครีเอทีฟรุ่นราวคราวเดียวกันที่เพิ่งย้ายมาได้ขึ้นเป็นหัวหน้าทีมเลย ผิดธรรมเนียมของเอเจนซี่แอดดิกต์ที่มักโปรโมตคนในทีมขึ้นเป็นหัวหน้า
“นี่คือรายชื่อลูกค้าที่ทีม A ดูแล” พี่ตระการเริ่มบทส่งมอบงานให้วาริศ “บรรทัดสุดท้ายคือลูกค้าใหม่ชื่อ ‘ทูโก’ เป็นเว็บไซต์รับจองสินค้าท่องเที่ยวทั้งโรงแรม สายการบิน รถเช่า ตั๋วรถไฟต่างๆ นานา เจ้าของเป็นคนไทย มีแผนเปิดตัวเว็บไซต์ในไทยและอีกหลายๆ ประเทศในเอเชียเร็วๆ นี้ อยากให้เราทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์แนะนำเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักโดยเร็วที่สุด”
“ออนไลน์เหรอครับ…ของถนัดเลย” วาริศว่าพลางหันไปเห็นอินทัชขณะลอบกลอกตามองเพดาน จนพริมาสงสัยว่าอินทัชคงนึกชังหัวหน้าทีมมากความสามารถผู้ถนัดไปเสียทุกเรื่อง
“งานค่อนข้างด่วน ลูกค้าอยากให้เราทำเสร็จภายในเดือนหน้า จะได้ทันช่วงนักท่องเที่ยวจองห้องพักกับตั๋วเครื่องบินเที่ยวไฮซีซั่นพอดี” พี่ตระการสรุปคร่าวๆ ให้วาริศฟัง ก่อนจะยื่นแฟ้มรายละเอียดลูกค้าเล่มหนาให้
“พรุ่งนี้ช่วงเช้าเราจะเริ่มคุยแคมเปญนี้กันเลย” วาริศหันมาสั่งงานลูกทีมทั้งสี่คน “หวังว่าจะได้เห็นไอเดียแหลมคมจากทุกคน”
“ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน” วอแวกางปีกปกป้องเพื่อนร่วมทีม
วาริศยิ้มเหยียดเหนือมุมปากพลางพ่นลมหายใจคล้ายเยาะนิดๆ พริมารู้ดีว่าเขาคิดเช่นนั้น ก่อนชายหนุ่มจะหันไปเอ่ยกับพี่ตระการว่า
“เรื่องโปรดักชั่นเฮ้าส์ ถ้าพี่ตระการยังไม่มีใครในใจ ผมอยากให้แกรนด์ไทม์เป็นคนผลิตงานให้เราครับ”
“จริงเหรอแทน นี่เราสองคนจะได้ร่วมงานกันจริงๆ เหรอ” ปลายสายเจ้าของเสียงหวานใสฉายแววตื่นเต้นระคนดีใจ ทันทีที่อินทัชเล่าข่าวดีว่าเอเจนซี่แอดดิกต์ต้องการโปรดักชั่นเฮ้าส์แกรนด์ไทม์มาผลิตภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ให้เว็บไซต์ทูโก
“อืม ก็เล่นเจาะจงว่าอยากได้พี่ต้องมากำกับซะขนาดนี้”
“โอ้โห พี่ต้องคิวทองงานล้นมือจะตาย นี่แก้วก็แทบไม่ได้พักเลย ต้องออกกองถ่ายตลอด”
“แล้วเป็นไงบ้าง งานที่นั่นสนุกดีมั้ย” น้ำเสียงของอินทัชเปลี่ยนไปเผยความเป็นห่วงเป็นใยตามประสาพี่น้องซึ่งไม่ค่อยได้เจอหน้ากันบ่อยนัก เพราะต่างคนต่างทำงาน ทั้งยังพักต่างที่กัน เขาเลือกนอนค้างที่คอนโดมิเนียมซึ่งตั้งอยู่ห่างจากออฟฟิศไม่กี่สถานีรถไฟฟ้า นานๆ ทีจะแวะกลับไปทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนแม่ในวันที่พ่อต้องออกไปคุยธุระกับลูกค้านอกบ้าน
“ก็สนุกดี ได้มาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับโฆษณาระดับโลกนี่ ถือเป็นบุญสุดๆ เลยล่ะ ว่าแต่แทนเหอะ เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่ามีหัวหน้าทีมคนใหม่มาแทนพี่ตระการนี่”
“ข่าวเร็วดีนี่”
“แหม พูดเหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ก็เมื่อเช้าพ่อเพิ่งเล่าให้แก้วกับแม่ฟังไม่หยุดเลย ดูสีหน้าพ่อแล้วน่าจะปลื้มหัวหน้าทีมคนใหม่เอามากๆ เล่นเอาแก้วอยากเห็นหน้าขึ้นมาเลย”
อินทัชนึกถึงใบหน้าซ่อนยิ้มหยันโลกตลอดเวลาของวาริศแล้วได้แต่ถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย แม้แต่บนโต๊ะอาหาร…พ่อยังชื่นชมหมอนั่นให้แม่กับน้องฟัง หากเขาอยู่ร่วมโต๊ะด้วย คงมีหวังได้อาเจียนเป็นแน่
“ว่าแต่หัวหน้าทีมที่ว่านี่ชื่ออะไรเหรอ” น้ำเสียงของอินทร์แก้วเต็มไปด้วยความใคร่รู้
“แค่นี้ก่อนนะ…พอดีต้องรีบไปเคลียร์งานต่อ” อินทัชไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อวาริศออกมา เขาเลือกตัดบทไปเสียดื้อๆ เพราะเกรงว่าตัวเองจะหัวเสียไปมากกว่านี้
ชายหนุ่มจัดการพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาวครั้งสุดท้ายเมื่อประกายไฟบนมวนใกล้มอดลงเต็มทน พาตัวเองก้าวพ้นเขตสูบบุหรี่ที่อาคารให้เช่าสำนักงานจัดไว้ ขึ้นไปยังออฟฟิศแอดดิกต์ แม้จะล่วงเลยเวลาเลิกงานร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ครีเอทีฟหลายกลุ่มยังคงเวียนวนกับการสะสางงานที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ เขาได้ยินบางคนถึงกับต้องโทรยกเลิกนัดกินเลี้ยงกับเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยเพื่อแก้ไขเลย์เอาต์โฆษณาปกหนังสือพิมพ์ธุรกิจหลังถูกลูกค้าตีกลับให้แล้วเสร็จภายในพรุ่งนี้เช้า
พออินทัชก้าวมาถึงอาณาเขตกลุ่มโต๊ะทำงานของทีม A ก็พบว่าก๊อปปี้ไรเตอร์สาวคู่หูมิได้นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะเหมือนเช่นทุกครั้ง มีเพียงวาริศนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งติดกับฝั่งซ้ายของโต๊ะพริมา หมอนั่นกำลังนั่งอ่านเอกสารของลูกค้าแต่ละรายขณะดื่มด่ำไปกับบทเพลงใต้หูฟังแบบครอบหู อินทัชไม่แน่ใจนักว่าวาริศมีญาณทิพย์หรือไม่ เพราะจู่ๆ หมอนั่นก็ตวัดนัยน์ตาคมฉานมาที่เขา ราวกับรู้ตัวมาตลอดว่าอดีตเพื่อนรักคนนี้ลอบมองอยู่หลายอึดใจแล้ว อินทัชพยายามจ้องตอบวาริศไม่ลดละ กระทั่งเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระจึงตัดสินใจยอมแพ้ไปในที่สุด แล้วเบนสายตาไปที่โต๊ะพริมาอีกครั้ง เขาเห็นร่องรอยการทำงานอันคั่งค้างกลาดเกลื่อน สมุดสเก็ตช์ไอเดียคู่ใจของพริมายังคงนอนนิ่ง บ่งชัดว่าเธอไม่ได้หายไปไหนไกล
อินทัชไม่จำเป็นต้องส่งข้อความไปถาม เขาก็รู้ดีว่าพริมาอยู่ที่ไหน อันที่จริง…แม้จะส่งไปก็ใช่ว่าพริมาจะตอบกลับ เพราะเมื่อแปดโมงเช้าที่ผ่านมาชายหนุ่มดันทำสิ่งผิดพลาดขนานใหญ่ ด้วยการถามพริมาไปตรงๆ ว่าตกลงแล้วเธอคิดอย่างไรกับวาริศกันแน่
เขาเก็บความสงสัยนี้มาได้สักพัก นับตั้งแต่วันที่วาริศตอบรับคำชวนของพ่อย้ายมาเป็นหัวหน้าทีมครีเอทีฟที่แอดดิกต์เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ไม่ใช่ ‘ไม่กี่วัน’ อย่างที่บอกเธอไป แม้วันนั้นเขาจะแสดงอาการต่อต้านวาริศอย่างชัดเจนคล้ายไม่สนใจใคร แต่สายตาก็คอยพินิจรายละเอียดสีหน้าและแววตาของพริมาอยู่ตลอด เธอเอาแต่หลุบตามองจานอาหารตรงหน้า ไม่กล้าสบตากับวาริศตรงๆ จนเขาอดคิดไปเองไม่ได้ว่าเธอกำลังเขินอายและสนใจในตัววาริศเข้าแล้ว
หลังจากคืนนั้น นอกเหนือจากความเครียดเรื่องวาริศเตรียมขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเหนือเขา อินทัชก็เอาแต่ถามตัวเองมาตลอดว่าตกลงแล้วรู้สึกอย่างไรกับพริมากันแน่ เขาพยายามขุดลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจเพื่อตามหาพริมาว่าอยู่ในนั้นหรือไม่ หรือท้ายสุดแล้ว…มันเป็นเพียงความหวั่นไหวทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวยามผูกพันใกล้ชิดกัน เขาถามตัวเองเช่นนั้นซ้ำๆ จนกระทั่งเก็บเอาไปฝันว่าเขาและเธอต่างชอบพอกัน ในฝันนั้นหัวใจเขาพองโต รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า มีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ
ไม่มีประโยชน์ที่จะสงสัยหรือโกหกตัวเองอีกต่อไป เขาชอบเธอเข้าแล้วจริงๆ
และกลัวว่าเธอจะชอบใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา
หากเป็นคนอื่น เขาคงยอมรับและทำใจได้ แต่พอเป็นวาริศ…อินทัชตั้งปณิธานชัดว่าจะไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ แม้พริมาจะเผลอมีใจให้วาริศแล้วก็ตาม จนกระทั่งเขาถามเธอออกไปตรงๆ พร้อมสารภาพว่าหงุดหงิดเพียงใดเมื่อเห็นเธอแสดงสีหน้าราวกับวาริศมีความหมายและทรงอิทธิพลต่อชีวิตของเธอเหลือเกิน วินาทีนั้น…เขาไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าขอร้องพริมาไปได้อย่างไรว่าอย่าไปชอบคนอย่างหมอนั่น เพราะกลัวว่าเธอจะตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นเข้าสักวัน
ทว่าพริมากลับนิ่งงัน หากเธอรู้สึกปั่นป่วนหรือหวั่นไหวสักนิด เขาคงดีใจมากกว่านี้ แต่ดวงตาสวยหม่นคู่นั้นกลับอ่านออกยากกว่าครั้งไหนๆ แถมยังเสมองไปทางอื่นราวกับไม่อยากมองหน้าเขาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังปฏิเสธว่าเรื่องระหว่างเขาและเธอนั้นมีป้ายคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ปักรอไว้แล้ว เธอกับเขาจะเกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องงานเพียงอย่างเดียว ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น อย่าพูดให้เสียเวลาอีกเลย
พริมาจะรู้บ้างไหมว่าถ้อยคำที่เธอเอ่ยออกมาในตอนนั้นทำร้ายจิตใจเขามากแค่ไหน เธอตอบแทนความกล้าของเขาด้วยคำตอบไร้เยื่อใยคล้ายไม่ยินดียินร้ายกับความรู้สึกของเขาที่มีให้เธอ
“อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” อินทัชแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพาตัวเองขึ้นมาบนสวนลอยฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงว่าทุกรอยเท้าที่เคลื่อนไปอัดแน่นด้วยแรงดึงดูดประหลาดที่แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้
เขาเห็นพริมานิ่งงัน ในมือของเธอมีแก้วกาแฟเก็บความร้อน เหนือม้านั่งสีขาวมีซุ้มช่อพวงครามให้ร่มเงา เธอค่อยๆ หันมามองก่อนพึมพำชื่อเขาเสียงเบาราวกับไม่คิดว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่นี่
“แทน”
“บอกตามตรง…ไม่เห็นคุณนั่งที่โต๊ะแล้วรู้สึกแปลกๆ”
อินทัชทิ้งตัวบนม้านั่งข้างพริมา เขาพอจะอ่านสายตาเธอออกอยู่บ้าง คงอยากถามเขาเต็มทีว่าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดถึงได้พูดออกมาเช่นนั้น ทั้งที่เพิ่งสารภาพความในใจว่าชอบเธอแบบกลายๆ ไปเมื่อเช้า
“เอ่อ อธิบายไงดี” อินทัชตะกุกตะกักพูดไม่ถูก ริมฝีปากหยักลึกเม้มแน่นขณะพยายามสรรหาคำตอบเพื่อให้พริมาไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป “ผมหมายถึง…เวลาคุณไม่อยู่ที่โต๊ะ ผมรู้สึกสมองติดขัด คิดงานไม่ออก คือบอกตามตรงเลยนะว่าคุณเป็นแรงกดดันชั้นดีสำหรับผม ถ้ามีคุณอยู่ข้างๆ ผมจะคิดงานได้ค่อนข้างไหลลื่น”
“ทำไมต้องพูดแบบนั้นด้วย” พริมาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับอยากจะต่อว่าเขาอีกสักครั้ง ส่งท้ายวันทำงานที่กำลังจะหมดลงไปพร้อมๆ กับตะวันยามโรยแสงลับเหลี่ยมเมฆ
“ที่ผมถามคุณไปแบบนั้น มันแปลกมากจนคุณรับไม่ได้เลยเหรอ”
อินทัชเห็นเธอพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ข่มริมฝีปากสั่นระริกอย่างเต็มกำลัง “คุณก็รู้…ว่าคุณไม่ควรรู้สึกแบบนั้นกับฉัน”
“เพราะผมไม่รู้ไง ถึงได้รู้สึกแบบนั้นกับคุณไปแล้ว”
“…”
“ก็คนมันรู้สึกไปแล้วจะให้ทำไง”
“…”
“ถ้าผมรู้ ผมคงห้ามมันได้บ้าง แต่นี่ผมไม่รู้เลย…” เขาระบายลมหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แววตาเจ็บแปลบปนน้อยใจ “ทำไมเหรอพริม การชอบใครสักคนมันผิดมากนักเหรอ คุณถึงได้ห้ามผมไม่ให้ชอบคุณ”
อินทัชสารภาพอย่างหมดเปลือก ทลายสิ้นทุกข้อสงสัยในใจหญิงสาวตรงหน้า
“นี่คุณไม่รู้สึกบ้างเลยเหรอว่าระหว่างเรา…มันมากกว่าเพื่อนร่วมงานทั่วไป”
พริมาหลับตา เมื่อพบว่าไม่อาจหลีกหนีความจริงได้อีกต่อไป
“ผมไม่อยากโกหกอีกต่อไปแล้วพริม…ผมชอบคุณ”
“…”
“ชอบมาก ชอบมากจริงๆ”
“…”
“ถึงคุณจะไม่ชอบผมก็ไม่เป็นไร แต่ขออย่างเดียว คุณอย่าไปชอบวาริศได้มั้ย”
“…”
“ผมไม่อยากเห็นตัวเองขาดใจตายต่อหน้าคุณ”
“แล้วถ้าฉันชอบเขาล่ะ”
อินทัชได้ยินแล้วถึงกับอึ้งค้าง ร่างกายเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อดุจหินผา ดวงตาคมปลาบฉายชัดถึงความรู้สึกไม่อยากเชื่อ เมื่อหญิงสาวสวนกลับทันควันด้วยคำถามหยั่งเชิงคล้ายสารภาพในตัวว่าเธอชอบวาริศเข้าแล้วจริงๆ
“คุณ…ไม่ได้โกหกเพื่อกันผมออกไปจากชีวิตใช่มั้ย”
พริมาส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ อินทัชเห็นแล้วถึงกับก้าวขาไม่ออก
ไม่อาจหลอกตัวเองได้เลยว่าเธอคงมีใจให้เขาสักวัน
(ติดตามอ่านต่อได้ใน ‘วงกตลายตะวัน’ โดย ปลายศร)