บังเอิญในตอนนี้ เขาก็เลื่อนสายตาไปเช่นกัน หลี่รั่วอวี๋พ่นลมหายใจ ยอมให้หล่งเซียงดึงตัวนางเข้าไปในโถงรับแขก แล้วหันไปเรียกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างน่ารักน่าชังยิ่ง “ท่านแม่…” เรียกเสร็จแล้วนางก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กางให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูเหมือนของล้ำค่า “รั่ว…รั่วอวี๋เขียนเอง ดีหรือไม่”
บนกระดาษขาวสะอาดนั้น มีอักษรเพียงตัวเดียวคือคำว่า ‘หลี่’ นางเลียนแบบอักษรที่น้องชายเขียนและใช้เวลาฝึกฝนอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เขียนตัวอักษรที่นางคิดว่าเป็นตัวแล้ว น่าเสียดายที่หลังจากนางบาดเจ็บที่หัว มือเท้าก็ใช้การได้ไม่ค่อยดี เดือนก่อนเพิ่งจะลงจากเตียงมาเดินได้ ความคล่องแคล่วของข้อมือก็แย่ลงไปมาก อักษร ‘หลี่’ ตัวนี้จึงบิดเบี้ยวไปมา ข้างๆ ยังมีรอยหมึกหยดเต็มไปหมด รอยหมึกกระจายตัวดูเหมือนบนต้นไม้บิดเบี้ยวต้นหนึ่งมีผลไม้สีดำเป็นลูกๆ
หล่งเซียงถูมืออย่างร้อนใจอยู่ด้านข้าง ลอบคิดในใจว่าคุณหนูคว้ากระดาษแผ่นนี้มาใส่อกเสื้อตั้งแต่เมื่อใดกัน
ท่านหญิงไหวอินแม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่หางตานั้นยังทนไม่ไหวที่จะเหลือบมองภาพล่องเรือฝ่าเกลียวคลื่นที่แขวนไว้ในโถงรับแขกนั้นแวบหนึ่ง…
จริงสิ เป็นผู้ใดได้เห็นตัวอักษรดูไม่ได้ในมือของนาง แล้วมองภาพวาดที่แฝงความหมายภาพนั้น ก็ยากที่จะไม่สบถด้วยความเห็นใจ น่าเสียดายสตรีมีความสามารถผู้หนึ่ง!
คิดถึงตรงนี้ นางก็ทนไม่ไหวเอี้ยวหน้ามองไปทางน้องชาย เป็นการถามแบบไร้เสียงว่าเรื่องที่เขามาขอร้องก่อนหน้านี้จริงจังหรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงนั้นกลับสงบนิ่ง มองหญิงสมองเสื่อมชูของมีค่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ตอนที่ขยับปลายคางไปสบตากับท่านหญิงไหวอินก็ฉายความรำคาญออกมา นิ้วเรียวยาวที่ประคองถ้วยชาขยับเคาะเบาๆ
ท่านหญิงไหวอินเข้าใจนิสัยของน้องชายลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ดี เขากำลังเร่งให้นางรีบเข้าสู่เรื่องสำคัญ
นางจึงแอบถอนหายใจ กลั่นกรองคำพูดแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “คุณหนูรองยังฉลาดไม่น้อย ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก คนอื่นล้วนพูดว่าคุณหนูรองงามทั้งในนอก วันนี้เห็นแล้วไม่ใช่เรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย…” พูดถึงตรงนี้ ท่านหญิงไหวอินก็รู้สึกว่าไม่ควรเยิ่นเย้อ จึงพูดต่อว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ เทียบเยือนได้มอบให้แล้ว ในนั้นสอดดวงชะตาที่ข้าได้หาคนมาผูกดวงดูแล้ว ดวงชะตาน้องชายของข้ากับคุณหนูรองก็เป็นคู่ที่ดีหาได้ยากเช่นกัน ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มีความคิดเช่นใด จะยินดีมอบของรัก ยกคุณหนูรองให้สกุลฉู่ได้หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังจูงมือหลี่รั่วอวี๋ ให้นางมานั่งลงข้างกายตนเอง พอได้ยินท่านหญิงไหวอินพูดเช่นนี้ ในใจไม่รู้สึกตกใจอะไร อย่างไรเสียตอนที่อยู่หน้าประตู ท่านหญิงไหวอินได้บอกจุดประสงค์การมาอย่างชัดเจนแล้ว ถึงแม้นางจะรู้สึกประหลาดใจยิ่ง แต่ก็ยังถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รั่วอวี๋ของพวกเราสามารถเข้าตาของท่านหญิงได้ นับเป็นวาสนาที่สะสมมาจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงจะทาบทามให้น้องชายคนใด เขาอายุเท่าใด สุขภาพเป็นอย่างไร เคยแต่งภรรยาเอกหรืออนุหรือไม่ เหตุใดจึงหมายตารั่วอวี๋ของพวกเราได้ หรือว่า… เขาไม่รู้ว่ารั่วอวี๋ป่วยแล้ว”
ไม่โทษที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รู้ชัดในสถานการณ์ เรื่องการทาบทามสู่ขอปกติจะมีแม่สื่อมาออกหน้า อย่างไรเสียการเจรจาก็มีบางครั้งที่ไม่สำเร็จ หาคนนอกมาช่วยเชื่อมสองสกุล จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดหากไม่ได้ดองกัน ผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์ระดับท่านหญิงนี้มาที่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่งด้วยตนเองเพื่อทาบทามหญิงสมองเสื่อมผู้หนึ่งให้กับน้องชายตนเอง แม้แต่บัณฑิตเล่าเรื่องที่ดื่มสุรามาอย่างหนักก็คงจะเล่าเรื่องแบบนี้ออกมาไม่ได้
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงตั้งความคิดที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ไม่แน่ว่าน้องชายท่านหญิงผู้นี้อาจจะเป็นคนป่วยหนักใกล้ตาย จึงอยากจะขอหญิงสักคนกลับไปแต่งงานเสริมมงคล ถึงแม้ท่านหญิงจะเป็นถึงพระญาติฮ่องเต้ สวามีก็เป็นถึงขุนนางขั้นโหวที่มีอำนาจล้นฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ น้องชายที่มาพูดทาบทามด้วยก็เป็นขุนพลที่กุมอำนาจทางทหารไว้ แต่การจะขอบุตรสาวของนางกลับไปย่ำยี นางที่เป็นมารดาไม่ยอมเด็ดขาด! แต่จะไล่ออกจากบ้านไปเหมือนแม่สื่อคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องพูดจาขอบคุณความหวังดีของท่านหญิงโดยอ้อม…
ถามจบแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก ในใจลอบคิดว่าอีกครู่จะปฏิเสธอย่างไร
ท่านหญิงไหวอินได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามเช่นนี้ จึงได้รู้ว่านางไม่รู้เลยว่าคนที่มาทาบทามสู่ขอเป็นผู้ใด เห็นได้ว่าไม่ได้ดูดวงชะตาชื่อแซ่ในเทียบเยือนนั้นเลย ท่าทีขอไปทีเช่นนี้ทำให้ท่านหญิงไม่พอใจยิ่ง แต่สายตาเย็นชาของน้องชายส่งมาอีกครั้ง นางจึงจำต้องพูดต่อไปด้วยสีหน้ายินดี “น้องชายข้าผู้นี้ก็อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วอย่างไรเล่า คนที่มาทาบทามสู่ขอก็คือน้องชายของข้าฉู่จิ้งเฟิง!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลั้นไม่ไหว น้ำในปากพ่นพรวดออกมา สำลักน้ำไอติดต่อกันหลายที…