ในตอนนี้ฝนนอกกระท่อมค่อยๆ หยุดลงแล้ว หากยังไม่รีบเดินทาง กว่าจะไปถึงเมืองซูเฉิงก็คงค่ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ปลอบขวัญหลี่รั่วอวี๋ที่นิ่งเงียบไม่พูดจาอีกพักใหญ่ ก่อนจะเตรียมเร่งเดินทางต่อไป
ตอนที่กำลังจะขึ้นรถ หลี่รั่วอวี๋เดินอยู่ข้างหลัง ส่วนชายหนุ่มก็อยู่ตำแหน่งไม่ไกลจากนาง
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือมาที่นาง ท่อนไม้ท่อนนั้น ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นเหยี่ยวกางปีกบินขนาดเท่าฝ่ามือไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะไม่ได้เคลือบน้ำมัน แต่ก็ยังดูเสมือนจริง
ทว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ได้ทำเหมือนที่เขาคาดว่าจะยื่นมือมารับมันไปอย่างตื่นเต้นยินดี แต่กลับมีสีหน้ารังเกียจ ออกแรงผลักมือใหญ่นั้นออก ปัดเหยี่ยวไม้ที่ไม่ทันได้โบยบินตัวนั้นตกลงพื้น
ฉู่จิ้งเฟิงแววตาสลดลงเล็กน้อย ท่าทางของหลี่รั่วอวี๋ในตอนนี้เป็นเหมือนครั้งแรกที่นางเห็นเขามีผมขาวตาแดง นั่นเป็นความรังเกียจที่ไม่มีการปิดบังไว้เลย…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หันมาเห็นฉากนี้เข้าพอดี แต่หันหน้ากลับทำเหมือนมองไม่เห็น… ตอนนี้บุตรสาวมีสภาพเช่นนี้ โง่เขลาเซ่อซ่า คาดเดาจิตใจยากเหมือนเด็ก หากซือหม่าผู้นี้หลงใหลในความงามของหลี่รั่วอวี๋ก็จะได้เจอปัญหาเช่นนี้อีกมาก ฉะนั้นให้รีบตัดใจไปโดยเร็วจะดีกว่า
แต่ซือหม่าที่ลือกันว่าฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาผู้นี้ได้รับการอบรมมาดี ถูกบุตรสาวปฏิบัติเช่นนี้ก็เพียงแค่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ก้มลงเก็บเหยี่ยวไม้ขึ้นมาใส่ไว้ในอกเสื้อของตนเอง
ทว่าได้รับการอบรมมาดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร ว่าที่ลูกเขยคนก่อนของนางผู้นั้นก็มีท่าทางเป็นผู้ดีสุภาพเรียบร้อย ผู้ใดจะคาดเดาได้ว่าเขาด้านหนึ่งมีความรักลึกซึ้งไม่เปลี่ยนแปลงในตัวบุตรสาวนาง แต่อีกด้านกลับลอบคบชู้กับน้องสาวของบุตรสาวนาง!
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถูกเสิ่นหรูป๋อทำร้ายจิตใจก็อดที่จะเกิดความระแวงในตัวชายหนุ่มไม่ได้ คิดเพียงว่าหลี่รั่วอวี๋มีสภาพเช่นนี้ มีเพียงให้นางอยู่ข้างกายตนเองไปตลอดจึงจะเป็นทางที่ดีที่สุด
รอจนขึ้นรถม้าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รู้สึกง่วงมาก
เมื่อครู่เพราะหลบฝน ต้องอยู่ในห้องเดียวกับซือหม่าผู้เย็นชานั่น รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอย่างยิ่ง โชคดีที่บุตรสาวเป็นคนสมองเสื่อมที่ไม่คิดอะไรมากจึงนอนหลับได้อย่างสบายใจ ดังนั้นเวลาผ่านไปไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็งีบหลับไปในรถม้า
หลี่รั่วอวี๋นั่งนิ่งสักครู่ เห็นท่านแม่หลับแล้วจึงปลดเสื้อตนเองออก พลิกเปิดบังทรงดูที่ท้องขาวราวหิมะของนาง… หน้าท้องเรียบขาวเนียน สะดือกลมๆ ก็ดูน่ารักดี บริเวณใกล้กับสะดือ มีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง แผลเป็นนั้นไม่ใหญ่ ขนาดเท่าคมมีด แต่พอดูรอยแผลเป็นที่สมานดีนั้นแล้วก็สามารถนึกภาพความลึกของแผลในตอนนั้นได้
ชั่วขณะนั้น หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเหมือนคอของนางถูกบีบไว้ ความตกใจหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก อีกทั้งยังมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่บอกไม่ถูกจู่โจมเข้ามาในหัว แต่คำพูดเป็นร้อยเป็นพันในใจนางไม่รู้จะระบายอย่างไร มีเสียงกรนดังขึ้นเบาๆ จากมารดาที่นอนอยู่ข้างกาย ส่วนที่อยู่นอกตัวรถก็คือชายหนุ่มตาสีแดงผู้นั้น
ในตอนนี้ความฝันกับความจริงผสมปนเปกัน หลี่รั่วอวี๋คิดเพียงว่าชายหนุ่มนอกตัวรถนั่นก็คือจอมวายร้ายที่แทงกระบี่ใส่นางในความฝัน ดังนั้นจึงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเล็กในรถขว้างไปทางชายหนุ่มบนหลังม้าอย่างแรง
ชายหนุ่มไม่ได้ขยับตัว เพียงแค่รับถ้วยชานั้นไว้ด้วยมือเดียว มองหน้าหญิงสาวที่มีใบหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างแปลกใจ แต่จากนั้นก็มีกาน้ำชาที่ใบใหญ่กว่าลอยเข้ามาหา
รอจนให้อ้อมอกเขามีชุดน้ำชาครบชุดแล้ว ในรถไม่มีของอะไรให้โยนได้อีกแล้ว นางจึงมองไปรอบๆ เห็นหมอนทำจากกระเบื้องเคลือบที่ท่านแม่หนุนอยู่เข้าพอดี จึงใช้สองมือออกแรงดึงหมอนกระเบื้องเคลือบออกมา แล้วขว้างออกไปอย่างแรง…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังหลับสนิท แต่หัวตกกระแทกพื้นรถม้าอย่างแรงก็ต้องตกใจสะดุ้งสุดตัว พอนางเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นบุตรสาวกำลังขว้างหมอนกระเบื้องเคลือบนั้นออกจากตัวรถ
แต่ในครั้งนี้ ฉู่จิ้งเฟิงกลับไม่ได้หลบ ปล่อยให้หมอนกระเบื้องเคลือบขว้างเข้าใส่เสียงดังฉึก มุมหน้าผากมีรอยเลือดแดงไหลลงมาทันที…
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยากจะให้ซือหม่าเจอปัญหาบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะให้มีสภาพหัวแตกเลือดไหลเช่นนี้ นางจึงพลันแขนขาอ่อนแรงไปในทันที
ทำร้ายขุนนางใหญ่ราชสำนัก นั่นเป็นโทษถึงประหารชีวิต!
พวกนางเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้า จะมีปัญญาไปจัดการภัยพิบัติใหญ่หลวงเช่นนั้นได้อย่างไร
ในตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจนอยากจะยื่นมือไปตบบุตรสาว แต่เห็นใบหน้าเล็กดื้อรั้นของบุตรสาวแล้วมือนั้นก็ฟาดไม่ลง นี่คือหลี่รั่วอวี๋ที่ตั้งแต่เด็กจนโตนางไม่เคยแตะแม้เพียงปลายนิ้ว ดังนั้นฝ่ามือนั้นจึงตบลงที่แก้มของนางเอง “ท่านซือหม่า ข้าน้อยสอนลูกไม่ดี ขอใต้เท้าอภัยด้วย!”