เพราะนั่งทรมานมาเกือบทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลี่รั่วอวี๋จึงตื่นสายมาก หลังจากนอนกลิ้งขี้เกียจไปมาอยู่บนเตียงสักครู่ ซูเหมยจึงพลิกเปิดผ้าม่านถามนางว่าหิวหรือไม่ บอกว่าอาหารเช้าเตรียมเสร็จยกมาแล้ว ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาก็สามารถกินได้ทันที
พอพลิกม่านขึ้น กลิ่นหอมที่คุ้นเคยก็ลอยมาแตะจมูก หลี่รั่วอวี๋จึงดีดตัวลุกขึ้นมา พูดด้วยหน้าตาเบิกบาน “แป้ง…ย่าง?”
ซูซิ่วที่กำลังเตรียมเสื้อผ้าให้หลี่รั่วอวี๋กลับบ้านเกิดหมุนตัวมาพูดว่า “ฮูหยินจมูกดีจริง นี่คือแป้งย่างเป็ดเคี่ยวที่ท่านอยากกินเจ้าค่ะ เมื่อคืนซือหม่าได้ยินว่าท่านอยากกินสิ่งนี้ จึงเรียกรถม้าไปเมืองเหลียวเฉิงรับพ่อครัวของร้านเป่ายาไจมาพร้อมกับแป้งหมักที่นวดเสร็จแล้วและเป็ดเคี่ยวมาที่เมืองซูเฉิง แป้งเหล่านี้ย่างออกมาสดๆ กำลังกรอบอร่อย ฮูหยินต้องรีบลุกจากเตียงแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อวานเพราะถูกเมิ่งเชียนจีทำให้ตกใจ นางจึงไม่ได้กินอาหารมากนัก ตอนนี้นอนหลับหนึ่งตื่นแล้วก็รู้สึกหิว ไม่สนใจแม้แต่จะหวีผมล้างหน้า กระโจนไปข้างโต๊ะจะกินแป้งย่างสักชิ้นทันใด
ซูซิ่วรีบขวางฮูหยินเอาไว้ หลังจากกล่อมให้ใช้ก้านไผ่ชุบเกลือขัดฟันแล้ว จึงให้นางนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วกินไส้เป็ดร้อนๆ อย่างเอร็ดอร่อย
ในตอนนี้ฉู่จิ้งเฟิงเดินเข้ามา บังเอิญเห็นเม็ดงาติดแก้มของหลี่รั่วอวี๋จึงพูดด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม “กินชิ้นสองชิ้นให้หายอยากก็พอ วันนี้ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน ท่านแม่ยายคงทำของที่เจ้าชอบไว้ แต่ต้องระวังท้องไส้ อย่ากินเยอะเกินไป”
ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋อยู่ข้างกายเขา แม้ว่าจะเหมือนเด็กไร้เดียงสา แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับยินดีทำตามที่นางต้องการทุกอย่าง หลี่รั่วอวี๋ที่เป็นเช่นนี้ต้องเสียเวลาชี้แนะแทบทุกเรื่อง แต่เขาก็ยินดีจะค่อยๆ เลี้ยงดูสาวน้อยอ่อนหวานน่ารักผู้นี้ให้เป็นไปตามใจเขาปรารถนา…หลี่รั่วอวี๋ที่ในดวงตามีแต่เขาฉู่จิ้งเฟิง
ฉู่จิ้งเฟิงกินแป้งย่างไปหนึ่งชิ้นจากมือของหลี่รั่วอวี๋เช่นกัน เพราะปรุงรสชาติได้เข้าเนื้อ จึงมีความอร่อยอย่างมาก
วันนี้เป็นวันกลับบ้านเกิด ของขวัญที่พ่อบ้านเตรียมให้ซือหม่าถูกขนขึ้นรถม้าแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงกินเสร็จแล้วก็ไปกล่าวลาท่านหญิงไหวอิน ส่วนหลี่รั่วอวี๋ยังให้ซูซิ่วซูเหมยช่วยหวีผมแต่งหน้าอยู่
หล่งเซียงกลับมาแต่เช้าเช่นกัน อย่างไรเสียก็เป็นคนที่มาจากสกุลหลี่ หากลงโทษหนักเกินไป วันนี้ตอนกลับบ้านเจ้าสาวสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คงไม่น่าดูนัก ดังนั้นพ่อบ้านจึงเพียงให้หล่งเซียงคุกเข่าในห้องเก็บฟืนสองชั่วยามเท่านั้น
เพราะทำผิด หล่งเซียงจึงรู้สึกกระดากอาย แต่ต้องตั้งสติมาเตรียมแต่งผมให้คุณหนู แต่ซูเหมยเห็นของที่นางเตรียมแล้วก็ลอบพ่นหัวเราะเบาๆ อยู่ด้านข้าง
หล่งเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงหัวเราะ จึงเงยหน้าขึ้นจ้องนาง ซูเหมยจึงพูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “ตอนนี้พวกคุณหนูในตระกูลใหญ่ล้วนไม่นิยมหวีผมแบบนี้แล้ว ฮูหยินโครงหน้าเล็กอยู่แล้ว หวีผมทรงหัวโตยิ่งทำให้ดูหัวหนักเท้าเบาไปไม่ใช่หรือ” พูดพลางหยิบผมปลอมเล็กๆ ออกมาหลายชิ้น ผมปลอมนั้นทำมาจากเส้นผมจริง แม้ว่าฝีมือการหวีจัดทรงจะไม่ประณีตนัก แต่มีส่วนโผล่ออกมานิดๆ ก็มองไม่ออก
อันที่จริงนับจากหล่งเซียงเข้ามาในจวนกลางสวนนี้ก็พบว่าสตรีที่นี่ไม่แต่งตัวจัด ท่านหญิงไหวอินนั้นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่นางกำนัลเหล่านี้ยังแต่งตัวงามสง่าเช่นนี้ ไม่เหมือนสตรีในสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองเหลียวเฉิงเลย แม้นางจะมีฝีมือในการแต่งหน้าทำผม แต่เห็นโลกมาน้อย ทำไปตามประสาชาวบ้านเท่านั้น
พอถูกซูเหมยพูดจนรู้สึกอับอาย หล่งเซียงจึงหยุดมือ ถอยออกนอกห้องไปช่วยซูซิ่วรีดผ้า ซูเหมยจึงยิ้มเยาะ “คนบ้านนอก!” แล้วเตรียมทำผมให้หลี่รั่วอวี๋ต่อ
หลี่รั่วอวี๋แม้จะไม่รู้ว่าพวกนางโต้เถียงกันเรื่องอะไร แต่ก็มองสีหน้าออก เมื่อวานหล่งเซียงไม่ได้กลับมาทั้งคืน กลางคืนคนที่ชื่อซูเหมยผู้นี้ปรนนิบัติข้างกายนาง
แต่นางไม่ชอบซูเหมยผู้นี้ ตอนอยู่กับนางตามลำพัง น้ำเสียงที่ซูเหมยพูดเหมือนรำคาญนาง เมื่อคืนนางกระหายน้ำ เรียกเสียงเบาอยู่หลายที ทั้งที่ซูเหมยได้ยินแล้ว แต่กลับพูดบ่นเสียงเบาอย่างรำคาญว่า “คนปัญญาอ่อนเรื่องมากจริง” แล้วพลิกตัวนอนลงบนที่พักเท้าตรงเตียงไม่ขยับ ภายหลังเป็นซูซิ่วที่อยู่นอกห้องได้ยินเสียงของนางแล้ว จึงได้ยกน้ำอุ่นใส่น้ำผึ้งเข้าห้องมาให้นาง
ตอนนี้เห็นนางไม่รู้ว่าพูดอะไรทำให้หล่งเซียงสีหน้าเปลี่ยนไปมาก อารมณ์งอนของหลี่รั่วอวี๋ก็กลับมา เห็นซูเหมยเข้ามาใกล้จะหวีผมให้จึงขยับหลบ สองตาโตจ้องซูเหมยอย่างโมโห