คราวนี้ฉู่จิ้งเฟิงยิ่งมั่นใจว่าหลี่รั่วอวี๋เอาแต่ใจจึงตัดสินใจจะดัดนิสัยของนาง จึงวางตัวนางลงบนเตียงอย่างแรง ปั้นหน้าบึ้งพูดว่า “หวีผมรู้สึกเจ็บก็ตีคน เจ้ายังนับว่ามีเหตุผลได้หรือ” พูดพลางดึงมือข้างหนึ่งของหลี่รั่วอวี๋มา แล้วตีสามทีด้วยน้ำหนักพอเหมาะ จากนั้นตำหนิว่า “ถ้าครั้งหน้าทำผิดอีก จะใช้ไม้ตี”
การตีสามทีนี้แม้จะไม่แรงมาก แต่เขาเป็นคนมีวรยุทธ์ หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่ามือแสบร้อน ความน้อยเนื้อต่ำใจระเบิดออกมาในทันที
นางโกรธจนตะโกนเสียงดัง กระโจนใส่ฉู่จิ้งเฟิง จับมือของเขาข้างที่ตีนางเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วกัดลงไปพลางยกมือขึ้นข่วนหน้าของเขา
ฉู่จิ้งเฟิงเจอศัตรูมานับไม่ถ้วน แต่หญิงบ้าแบบนี้ได้เจอเป็นครั้งแรก แม้จะยับยั้งนางได้อย่างไม่ต้องใช้แรงมาก แต่เห็นท่าทางนางทั้งข่วนทั้งกัดเช่นนี้ ขณะที่เขาโมโหก็รู้สึกว่าท่าทางเหมือนลูกสุนัขนี้ก็น่ารักมากเช่นกัน… เพียงแค่เหม่อก็ทำให้นางได้เปรียบ บนหน้าถูกข่วนเป็นรอยเลือดหนึ่งรอย
เขารีบยกมือสองข้างของนางขึ้น แล้วกดตัวนางลงบนเตียง “หลี่รั่วอวี๋! เจ้าเป็นบ้าอะไร เมื่อวานบอกว่าไม่อยากเป็นเหมือนชายผู้นั้นที่ทั้งทุบและพังของไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงลงมือทำร้ายคนเล่า”
ถูกเขาตะคอกเช่นนี้ ร่างเล็กใต้มือก็ตัวเกร็งไปทันที
ฉู่จิ้งเฟิงเห็นใบหน้าน้อยเนื้อต่ำใจนั้นค่อยๆ ฉายความเศร้าใจจึงคลายมือ แล้วพูดตำหนิอีกว่า “ถ้ายังบ้าแบบนี้ต่อไป จะไม่ทุบตีแม้แต่ท่านแม่เจ้าหรอกหรือ ข้าว่าวันนี้อย่ากลับบ้านเลย เจ้าอยู่สำนึกในห้องนี้เถอะ”
พอพูดถึงตรงนี้ หลี่รั่วอวี๋ก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้คลุ้มคลั่ง แต่ขดตัวเป็นก้อนกลม ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ทะลักล้นออกมา “ไม่! ข้าต้องการท่านแม่ ข้าจะกลับบ้าน!”
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีคิดจะขู่นาง แต่เห็นนางร้องไห้เสียใจขึ้นมาจริงๆ ก็ใจอ่อนลงทันที จึงพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนลง “ถ้าเจ้าเป็นเด็กดี ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านแน่นอน ตอนนี้พูดสิว่าตัวเองทำผิดที่ใด”
หลี่รั่วอวี๋คิดเพียงว่าทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคนเลว คนผมขาวตรงหน้าเป็นอันดับแรก และเป็นผู้นำคนเลว ตอนนี้นางเพียงอยากจะกลับไปข้างกายท่านแม่ ได้ยินเขาพูดออกมาก็รีบวางมือลง ทำตาแดง พูดปนสะอื้นว่า “รั่ว… รั่วอวี๋ผิดไปแล้ว ไม่ควรตื่นขึ้นมาขอน้ำจากพี่สาวตอนดึก… ผมก็ต้องยอมให้นางกระชาก… ต่อไปรั่วอวี๋จะไม่ทุบตีคนแล้ว…”
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทียังฟังด้วยรอยยิ้มยินดีบางๆ แต่ยิ่งฟังถึงส่วนหลัง สีหน้านั้นก็ยิ่งไม่น่าดู
คนเป็นชายแม้จะมีบางครั้งที่สะเพร่าไปบ้าง แต่เขารู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่มีทางโกหก ฟังความหมายในคำพูดนั้นแล้ว หลี่รั่วอวี๋ก็ได้รับความเจ็บช้ำใจจึงลงมือ
เขาพรวดลุกขึ้นยืน ตะโกนออกไปนอกห้องทันที “เข้ามาให้หมด!”
เหล่าสาวใช้บ่าวหญิงอาวุโสนอกห้องตกใจจนหน้าซีด รีบเข้ามาคุกเข่าเต็มพื้นห้อง
“เมื่อคืนในห้องฮูหยินผู้ใดอยู่เวร”
ซูเหมยเห็นคนรอบข้างล้วนมองมาที่ตนเองจึงพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เรียนซือหม่า บ่าวเองเจ้าค่ะ…”
“เมื่อคืนตอนดึกฮูหยินเรียกขอน้ำดื่มจากเจ้าหรือ”
สีหน้าของซูเหมยเปลี่ยนไป เมื่อวานตอนพี่สาวกลับมา เห็นนางนอนอยู่ในห้อง จึงออกไปนอนพักนอกห้อง นอกจากซูซิ่วแล้ว ยังมีบ่าวหญิงอาวุโสอีกผู้หนึ่งเฝ้าอยู่นอกห้อง หลี่รั่วอวี๋ตะโกนขอน้ำดื่ม คิดว่าบ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นคงได้ยินเช่นกัน พูดบิดเบือนไม่ได้ จึงได้ฝืนใจตอบว่า “เป็นความผิดของบ่าวเอง เมื่อคืนนอนหลับสนิท ไม่ได้ยินเสียงเรียกของฮูหยิน…”
ชั่วขณะต่อมา ฉู่จิ้งเฟิงก็เตะเท้าออกไป
ซูเหมยถูกเตะไปติดบานประตู ก่อนจะร้องครวญด้วยความเจ็บปวด
“สารเลว! เมื่อวานถามเรื่องของฮูหยิน ถามอะไรเจ้าก็ไม่รู้ กลางคืนอยู่เวรเจ้ากลับนอนหลับเหมือนหมูตาย หวีผมก็ไม่รู้หนักเบา เอาคนอย่างเจ้ามาปรนนิบัติในห้อง ข้าว่าช้าเร็วเจ้าต้องยกตัวเองขึ้นมาเป็นนายแน่นอน! ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่ท่านพี่ส่งมา ต้องไว้หน้านางบ้าง ข้าจะขายเจ้าออกนอกคฤหาสน์ไป! พ่อบ้าน! ลากนางกำนัลเลวผู้นี้ไปลงโทษตามกฎบ้าน! ไม่ต้องให้นางกลับมาในเรือนนี้แล้ว ต่อไปให้เป็นสาวใช้ทำงานใช้แรงเรือนนอกก็แล้วกัน!”
เหล่าบ่าวไพร่ล้วนรู้ว่าฉู่ซือหม่าผู้นี้ดีต่อบ่าวไพร่พอใช้ได้ แม้ท่าทีจะเย็นชา เข้าหาได้ยาก แต่อย่างไรเสียก็มีชาติกำเนิดสูงถูกเลี้ยงดูอย่างดี ไม่เหมือนเจ้านายในคฤหาสน์อื่นที่ทรมานและทุบตีบ่าวไพร่
ซูเหมยนับว่าเป็นนางกำนัลที่มีหน้าตาพอสมควร วันนี้ถูกฮูหยินปัญญาอ่อนนั่งทุบตีบนตัว เดิมคิดว่าจะถูกซือหม่าตำหนิยกใหญ่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกซือหม่าเตะเข้าอย่างแรง ทั้งยังถูกไล่ออกจากเรือนในต่อหน้าทุกคนอีกด้วย
ซูเหมยรู้สึกเสียใจ แต่ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ทันการณ์แล้ว นางถูกปิดปากแล้วลากตัวออกไปทันที