บทที่เก้า
บ่าวไพร่คนอื่นในห้องไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง ฉู่จิ้งเฟิงพูดอย่างไม่คลายโกรธว่า “ครึ่งหนึ่งของพวกเจ้าท่านหญิงเลือกมาให้ปรนนิบัติฮูหยินคนใหม่ สัญญาขายตัวของพวกเจ้าก็ย้ายมาที่สกุลฉู่ด้วย อีกไม่กี่วันก็ต้องกลับทางเหนือแล้ว ล้วนต้องติดตามไปด้วยกัน เดิมคิดว่าในเมื่อเป็นคนในจวนท่านหญิงคงจะรู้กฎระเบียบดี คิดไม่ถึงว่ายังมีบ่าวไพร่ที่ฝึกฝนไม่ได้อยู่ด้วย! แม้ฮูหยินจะป่วย แต่หากผู้ใดใช้เหตุผลนี้ลบหลู่ไม่ให้เกียรตินาง ถ้าข้ารู้ ครั้งหน้าจะไม่ใช้กฎบ้าน แต่จะใช้กฎทหาร โบยจนตายให้จบเรื่อง!”
เสียงพูดของฉู่จิ้งเฟิงไม่ดัง แต่บ่าวทั้งห้องล้วนรู้ว่าคำพูดของเขาเป็นจริงได้ทุกคำ ในจวนซือหม่าหากมีบ่าวไพร่ตายก็ไม่สนใจสัญญาขายตัวอะไร ทำเหมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตายเท่านั้น
ฉู่จิ้งเฟิงพูดถึงตรงนี้ก็เลื่อนสายตาไปทางซูซิ่ว “เจ้ากับซูเหมยนั่นเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันสินะ”
ซูซิ่วฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงจึงตกใจจนหน้าซีด ขาอ่อนพับ ในใจนึกโกรธน้องสาวที่ไม่รู้ความของตนเอง เอาแต่ฝันกลางวัน ทำให้ตนเองต้องพลอยลำบากไปด้วย นางจึงรีบโขกหัวแล้วพูดว่า “นายท่านใจกว้าง ยอมปล่อยน้องสาวที่ไม่รู้ความของบ่าว นางมือเท้าหนักมาแต่เด็ก ไม่เหมาะจะปรนนิบัติคนสูงศักดิ์อยู่แล้ว ตอนนี้ไปทำงานเรือนนอกก็เป็นผลลัพธ์ที่นางไม่รู้จักปรับปรุงตัว ขอนายท่านคลายโกรธอย่าให้กระทบถึงสุขภาพ ต่อไปบ่าวจะปรนนิบัติฮูหยินอย่างเต็มที่ จะไม่ให้ฮูหยินไม่สบายตัวแม้แต่น้อย!”
ฉู่จิ้งเฟิงมองด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งก็รู้ว่าซูซิ่วเป็นคนขี้ขลาดและวางตัวอยู่ในกฎระเบียบ ไม่กล้าทำการแก้แค้นแน่นอน กอปรกับนางเป็นคนละเอียด ปรนนิบัติหลี่รั่วอวี๋นับว่าทำอย่างเต็มที่ หากเปลี่ยนนางไปก็น่าเสียดาย
การเชือดไก่ให้ลิงดูในครั้งนี้ มีน้องสาวให้เห็นเป็นตัวอย่าง เชื่อว่านางคงไม่กล้าทำอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย!
เขาจึงพูดสั่งการอีกหลายคำ แล้วให้ทุกคนออกไปจากห้อง
ตอนที่เขาพลิกม่านเตียงมองหญิงสาวบนเตียง หลี่รั่วอวี๋หยุดร้องไห้แล้ว แต่แววตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “พี่ฉู่เป็น… เจ้าถิ่น… กักขฬะหรือ ไปทุบตีบ่าวไพร่เองเช่นกันหรือ”
ฉู่จิ้งเฟิงหน้านิ่ง รู้สึกขึ้นมาทันใดว่านางในตอนนี้ไม่โง่ ทั้งยังใช้คำพูดของเขามาตบหน้าเขาเสียด้วย!
เพราะเรื่องวุ่นวายตอนเช้านี้ ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงออกจากจวนสายในที่สุด
รถม้าออกจากเมืองซูเฉิงมานานพอควร ภายในรถเงียบสนิทไร้เสียง ฉู่จิ้งเฟิงกระแอมอย่างอึดอัด ก้มหน้าลงถามหญิงสาวที่แอบเล่นชีเฉี่ยวป่าน* อยู่ตรงมุมรถ “รั่วอวี๋กระหายน้ำหรือไม่ อยากกินแตงหวานสักชิ้นหรือไม่”
หลังจากพูดประชดเขาตอนเช้าแล้ว หญิงโง่ผู้นี้ก็ไม่สนใจเขาอีกเลย ถือกล่องของเล่นของตนเองเล่นอย่างสนุกสนาน ในตอนนี้นางดึงตุ๊กตาผ้าออกมาตัวหนึ่ง เริ่มด้วยการลูบผมเปียที่ทำจากขนแผงคอม้าก่อน จากนั้นก็ดึงมือของตุ๊กตาผ้าแล้วตีแรงๆ สามที “เด็กไม่ดี ต้องตี ทำผิดอีกจะไม่ให้เจ้าพบท่านแม่!”
ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าตนเองนั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว ซือหม่าที่มีความชอบยิ่งใหญ่ของต้าฉู่ รู้สึกเพียงว่าใบหน้าที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องถูกนาง ‘ตบ’ จนแสบร้อน
เห็นสาวน้อยยังไม่หมดสนุกอยากจะอบรมตุ๊กตาผ้าอีก ฉู่จิ้งเฟิงทำได้เพียงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด หยิบแตงหวานชิ้นหนึ่งบนโต๊ะยื่นไปที่ปากของนาง แล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เด็กดี กินสองสามคำแล้วค่อยไปเล่นใหม่นะ”
หลี่รั่วอวี๋ส่ายหน้า ไม่ยอมช้อนตามองเขาเลย ฉู่จิ้งเฟิงสีหน้าเย็นชา ท่าทางเช่นนี้หากผู้อื่นเห็นเข้า คงตกใจจนฉี่รดกางเกงแน่นอน แต่น่าเสียดายในสายตาของคนปัญญาอ่อนผู้นี้ ท่าทางของฉู่จิ้งเฟิงก็เหมือนเป็นสิ่งลวง ไม่มีผลอะไรต่อนางเลย
และวันนี้ที่ตีหลี่รั่วอวี๋ไปสองสามทีนั้น ตอนนี้ย้อนคิดดูแล้ว เหมือนจะใช้แรงตีจนเสียงดังมาก ทำเกินไปบ้าง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉู่จิ้งเฟิงจึงสะกดไฟโกรธลง แล้วตั้งใจพูดเสียงอ่อนโยน “ถ้าไม่กินแตงหวาน คุยอะไรกับข้าสักครู่ได้หรือไม่ บอกข้าสิว่าอีกครู่พบท่านแม่แล้วเจ้าจะพูดอะไร”
ได้ยินฉู่จิ้งเฟิงถามเช่นนี้ หลี่รั่วอวี๋จึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพูดว่า “จะบอกท่านแม่ว่ารั่วอวี๋จะเป็นเด็กดี อย่ามอบรั่วอวี๋ให้กับคนเลว…”
วันนี้นางทำมวยผมทรงโหนอาชา* ปักปิ่นหงส์เอียงข้างเอาไว้ ไม่หวีผมหน้าม้าเหมือนหญิงสาวทั่วไปแล้ว แต่รวบขึ้นเปิดหน้าผากขาวสะอาด ทับทิมสีแดงกลางหว่างคิ้วทำเป็นรูปดอกไม้ ดูแล้วงดงามเป็นพิเศษ แต่การแต่งกายแบบผู้ใหญ่นี้กลับประกอบกับแววตาไร้เดียงสา ท่าทางเช่นนี้กลับดึงดูดใจคน ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจควบคุมตนเองได้
พอพูดถึงคำว่า ‘คนเลว’ นางก็ถลึงสองตา เชิดปลายคางขึ้น พลางกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง
ฉู่จิ้งเฟิงถูกแววตาของนางทำให้ใจลอย ไม่สนใจว่าเมื่อครู่ถูกด่า โน้มเข้าไปอยากจะจุมพิตริมฝีปากแต้มสีชาดของนาง แต่หลี่รั่วอวี๋แยกแยะได้ วันนี้เขาตีนางทำโทษนาง แล้วคิดจะมากินปากนาง นางไม่ให้เด็ดขาดจึงตั้งใจจะหลบเลี่ยง
น่าเสียดายที่ไฟราคะของฉู่จิ้งเฟิงปะทุขึ้นแล้ว ไม่ได้ลิ้มรสหวานบ้างมีหรือจะยอมถอย