14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน วาสคนเขลา
บทที่สิบ
แม้ในใจฉู่จิ้งเฟิงจะคิดเช่นนี้ แต่เขากลับอุ้มน้องภรรยาตัวอ้วนกลมขึ้นมา
“พี่เขย ท่านแรงเยอะ โยนเสียนเอ๋อร์ขึ้นที เสียนเอ๋อร์ฝึกวิชาตัวเบา สามารถบินได้” เสียนเอ๋อร์ไม่กลัวเรื่องใหญ่โตมาแต่ไหนแต่ไร อยากจะลองเลียนแบบจอมยุทธ์ในหนังสือยืมแรงมาส่งแรง ลอยขึ้นสู่ฟ้าในเวลาเพียงชั่วครู่
ฉู่จิ้งเฟิงลองประเมินเนื้อติดมันในมือ รู้สึกว่าต่อให้มีสี่ปีกก็ยังยกเนื้อก้อนนี้ไม่ขึ้นเลย แต่พอเห็นหลี่รั่วอวี๋วิ่งเข้ามาหาเช่นกัน ยืนเข้าแถวรอตาแป๋วอยู่ด้านข้าง จึงออกแรงโยนเขาลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็รับไว้อย่างมั่นคง
เสียนเอ๋อร์ก่อนหน้าเคยเล่นแบบนี้กับอาหกที่กวาดพื้นอยู่ในลานเรือน แต่อาหกจะมีแรงมากเหมือนพี่เขยที่โยนเขาขึ้นสูงมากในพริบตาได้อย่างไร รอจนพี่เขยรับตัวเขาได้ ความตื่นเต้นตกใจของเขายังไม่คลายไป ดวงตาก็เปล่งประกาย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วพูดว่า “พี่เขยร้ายกาจจริงๆ เอาอีก! เอาอีก!”
ดังนั้นฉู่จิ้งเฟิงจึงทำแบบเดิมอีกหลายครั้งจนคนตัวเล็กหัวเราะร่วน พูดว่าสนุกไม่หยุด นี่ยิ่งทำให้หลี่รั่วอวี๋ที่อยู่ด้านข้างวิ่งวนร้อนใจ อยากให้คนในมือฉู่จิ้งเฟิงเป็นตนเองสักที
แต่แม่นมที่คอยดูแลเสียนเอ๋อร์อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรับตัวนายน้อยจากมือฉู่จิ้งเฟิงมา แล้วพาเขากลับไปนอน
หลี่รั่วอวี๋คิดว่าถึงตานางแล้ว จึงวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของฉู่จิ้งเฟิงอย่างตื่นเต้น แต่กลับถูกชายหนุ่มผลักออกเบาๆ ความฝันอยากเป็นจอมยุทธ์ของหญิงสาวมีรอยร้าวขึ้นในทันที รู้สึกว่าตนเองถูกทำร้ายจิตใจอย่างมาก จึงมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อด้วยน้ำตาปริ่มขอบตา
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมคิดว่าตนเองจะเย็นชาได้ถึงที่สุด แต่พอเห็นแววตาของนางแล้ว กลับอุ้มนางขึ้นมา จากนั้นก็โยนขึ้นกลางอากาศแล้วรับไว้มั่น
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกถึงลมผ่านข้างหู ร่างกายลอยขึ้นร่วงลง ราวกับจอมยุทธ์บินได้จริงๆ!
พอร่วงลงมาก็รีบโอบคอเขาเอาไว้พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ไม่รู้เลยว่าร่างงามที่แตกต่างกับเด็กเล็กนั้นแนบชิดกับชายหนุ่มที่เพิ่งกินของบำรุงมามากเกินไป
ฉู่จิ้งเฟิงรัดแขนแน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว สัมผัสถึงส่วนเว้าโค้งที่แนบติดตนเอง… รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเลือดลมไหลเวียนรุนแรงราวกระแสน้ำในแม่น้ำหวงเหอดังอยู่ในหู ในสมองมีภาพในหนังสือภาพแล่นผ่าน มันยอดเยี่ยมกว่าหนังสือที่เสียนเอ๋อร์อ่านเล่มนั้นอย่างแน่นอน
“ว้าย! ท่านซือหม่า ท่านเลือดกำเดาไหลเจ้าค่ะ!” ซูซิ่วที่อยู่ด้านข้างตะโกนขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ความหวังดีของท่านแม่ยายไม่สูญเปล่าจริงๆ เลือดที่ถูกบำรุงจนระอุสุดท้ายก็พ่นออกมาจากจมูกโด่งเป็นสันของฉู่จิ้งเฟิง…
หลี่รั่วอวี๋ถูกการที่ฉู่จิ้งเฟิงจู่ๆ ก็มีเลือดกำเดาไหลทำให้ตกใจ นางอยู่นิ่งๆ ด้านข้างมองซูซิ่วหยิบผ้าฝ้าย ตักน้ำและผงยามาด้วย กว่าจะห้ามกำเดาของฉู่จิ้งเฟิงได้นั้นไม่ง่ายเลย
ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่าเสียเลือดออกไป ความร้อนรุ่มในกายจึงค่อยๆ ดีขึ้นบ้าง รอกลับไปถึงทางเหนือ…ต้องค่อยๆ สอนหญิงสาวผู้นี้ให้รู้เรื่องทางโลกบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่เลือดของเขาไหลย้อนกลับจนตาย…
เขยสกุลหลี่จะเดินทางกลับแล้ว ภายในรถม้าตอนที่นั่งมาล้วนบรรทุกของไว้เต็ม ตอนกลับก็จะปล่อยว่างไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สั่งให้บ่าวไพร่ยกของห่อใหญ่ห่อเล็กขึ้นบนรถม้าที่ซือหม่านำมา
ตอนที่แต่งงาน มักจะกังวลว่าตนเองที่เป็นครอบครัวพ่อค้าบังอาจเอื้อมคว้าซือหม่าต้าฉู่ หากสินเจ้าสาวจากฝ่ายตนเองน้อยเกินไปหรือมีรสนิยมไม่พอจะทำให้บุตรสาวขายหน้าบ้านสามี ดังนั้นสินสอดแม้จะเป็นของมีชื่อมีราคา แต่ก็เหมือนขาดความยิ่งใหญ่ไป
แต่กลับบ้านเกิดมาครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้สึกว่าตนเองได้ความยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่ยายกลับมาบ้างแล้ว รู้สึกว่าเขยของตนเองแม้จะมีท่าทางเย็นชา แต่แท้จริงเป็นคนกตัญญูอ่อนน้อมมาก ครั้งนี้บุตรสาวต้องไปทางเหนือ ไม่รู้ว่าตอนปีใหม่จะกลับมาได้หรือไม่ เช่นนั้นอาหารย่อมขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
ดังนั้นของที่ขนขึ้นรถม้าในครั้งนี้จึงเรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น แตงกรอบดองของเมืองเหลียวเฉิงหลายไหใหญ่จึงเป็นตัวเอกที่ไม่อาจขาดได้ เนื้อหมักชิ้นใหญ่ที่รมควันกันเองก็เอาไปด้วยหลายชิ้น เพื่อไม่ให้บุตรสาวหาของไม่ได้ตอนอยากกินอาหารเมืองเหลียวเฉิง ยังมีน้ำมันดอกทานตะวันอีกหนึ่งไหใหญ่ ว่ากันว่าสิ่งนี้บำรุงสมองดีที่สุด เป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไหว้วานให้โรงโม่เล็กที่ทางตะวันตกของเมืองสกัดออกมาให้
สำหรับเสื้อผ้า ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมทียังเร่งทำรองเท้าหมวกเสื้อผ้าเด็กอ่อนจำนวนหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นสภาพลูกเขยแล้ว คงยังไม่ได้ใช้ในเร็ววัน นางทอดถอนใจ ทำได้เพียงเก็บเอาไว้อย่างดี ลูกเขยเห็นแล้วจะได้ไม่อึดอัดใจ
ที่มีค่ามากที่สุดย่อมเป็นสุราสมุนไพรไหนั้น เพราะดองด้วยอวัยวะเพศที่เหลือจากทำน้ำแกงเนื้อลาวันก่อน พ่อบ้านลอบกำชับซือหม่าว่า “สุรานี้ดองอีกหนึ่งเดือนก็ดื่มได้แล้ว แต่ละครั้งห้ามดื่มมากเกินไป สุรานี้แรงมาก!”
ทำให้เหล่าทหารเก่าแก่ที่ฉู่จิ้งเฟิงพาติดตามมาขยิบตาให้กัน รอออกจากเมืองแล้ว กวนป้าจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน แม่ยายของท่านช่างดูแลครบถ้วนดีจริง แม้แต่สุราสมุนไพรบำรุงก็เตรียมพร้อมให้ท่าน เห็นทีนายน้อยคงใกล้จะมาแล้ว…”
ทว่าคำพูดหยอกเย้าที่เหลือถูกสายตาเย็นชาของฉู่จิ้งเฟิงถลึงใส่จนต้องกลืนกลับไป
เมื่อครู่ตอนออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่ แท้จริงแล้วก็เหนื่อยพอควร หลี่รั่วอวี๋หลายวันนี้อยู่ที่บ้านอย่างดี ทุกวันจะอยู่กับท่านแม่ หรือไม่ก็เล่นกับน้องชาย ไม่มีความกังวลใดเลย และไม่คิดเลยว่าจู่ๆ พี่ฉู่จะพานางจากไป พอคิดว่าตนเองต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกเศร้า พูดอย่างไรก็ไม่ยอมไปขึ้นรถม้า
ทำเหมือนเด็กถูกบังคับให้ไปหอเรียน เกาะกรอบประตูไว้แน่น ร้องไห้น้ำตาเป็นสาย สุดท้ายก็ถูกฉู่จิ้งเฟิงอุ้มขึ้นรถม้าไป
ทว่าท่าทางน่าสงสารที่ถูกบังคับให้จากบ้านนั้น ทำให้ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกเศร้าใจยิ่ง
ว่ากันว่าคนปัญญาอ่อนไม่คิดแค้นไม่ใช่หรือ แต่ภรรยาของเขาผู้นี้กลับจำเรื่องถูกตีมือได้แม่น ก่อนขึ้นรถม้ายังพาดหน้าต่างรถฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ บอกว่าต้องรีบรับนางกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นต้องถูกตีไม่ยอมให้พบท่านแม่แน่นอน
คิดถึงตรงนี้ แม้จะไม่ต้องดื่มของบำรุงนั้น ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกว่าตนเองคงถูกคนโง่ที่ลืมบุญคุณผู้นี้ทำให้โมโหจนเลือดออกเจ็ดทวารในสักวัน
Comments
