14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน วาสคนเขลา
ตอนเก็บสัมภาระลงเรือใหญ่เริ่มเดินทางขึ้นเหนือ ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้ผ่อนปรนเรื่องการอบรมและกฎเกณฑ์ที่มีต่อภรรยาตนเอง
เดิมทีหลี่รั่วอวี๋นั่งเรือใหญ่อย่างตื่นเต้นยินดีมาก นางชอบความรู้สึกตอนยืนอยู่ตรงหัวเรือ ปล่อยให้ลมปะทะเข้าหน้า แต่ไม่ช้าก็พบว่าพี่ฉู่ผู้นี้เริ่มใจดำกับนางมากขึ้น
ตอนกินข้าวห้ามใช้มือเปล่าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกเก็บถ้วยชาม ปกติกินผลไม้ของว่างก็ห้ามกินจนเลอะเทอะเต็มตัว ต้องเอาผ้าเช็ดหน้ารองแล้วหยิบใส่เข้าปากทีละชิ้นเล็กๆ
สำหรับเรื่องนั่งเล่นบนพื้นยิ่งไม่ได้รับอนุญาต หากพบเข้าจะถูกริบของเล่น ต่อให้ร้องโวยวายอย่างไรก็ไม่คืนให้
ตอนเริ่มแรกหลี่รั่วอวี๋ยังเชื่อฟังเป็นอย่างดี แต่ถูกบีบบังคับจนไม่เป็นไปดังใจ หลังจากโมโหจนไม่กินข้าวแล้ว นางก็พบว่าไม่มีผู้ใดสนใจนาง แม้แต่หล่งเซียงที่ปกติจะดีกับนางที่สุดหลังจากถูกฉู่จิ้งเฟิงตำหนิด้วยใบหน้าเย็นชาแล้วก็ไม่กล้าเข้าใกล้นางอีก
วันนี้เดินทางเข้าใกล้เมืองวั่นโจวทางตอนเหนือแล้ว เรือใหญ่ที่พวกเขานั่งมาต้องเติมอาหารและน้ำ จึงเทียบท่าพักผ่อนครึ่งวัน
วันนี้ตรงกับวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด เป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว* พอดี ร้านค้าในท้องถิ่นล้วนตุนสินค้าใหม่เตรียมไว้ขายกันอย่างคึกคักตอนเปิดตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว
หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานล้วนสวมเสื้อใหม่ปักปิ่นดอกไม้มาเดินตลาด คุณชายหนุ่มน้อยแต่ละบ้านก็มาตามหาดอกไม้ ตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยวมีรถม้าต่อกันเป็นขบวนยาว ผู้คนเบียดเสียดราวน้ำหลาก คึกคักยิ่งกว่างานโคมไฟวันปีใหม่เสียอีก
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีเตรียมจะพาหลี่รั่วอวี๋ขึ้นฝั่งไปเที่ยวเล่นสักหน่อย แต่บังเอิญหลี่รั่วอวี๋ก่อเรื่องอดอาหาร เมื่อคืนไม่ได้กินอะไรและไม่สนใจผู้ใด เพียงแค่นั่งเศร้าสร้อยอยู่บนเตียง
ฉู่จิ้งเฟิงไปกล่อมให้นางกินอาหารด้วยตนเอง แต่นางกลับหลับตาแน่น ไม่ยอมมองหน้าเขาเลย
จะบอกว่าไม่ปวดใจก็เป็นเรื่องโกหก แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงสำคัญ หากใจอ่อนตอนนี้ ภายหน้าก็ยากจะตั้งกฎเกณฑ์ให้นางได้แล้ว ก็เหมือนการฝึกเหยี่ยวล่าสัตว์ไม่ให้นอน หากปล่อยให้เหยี่ยวหลับตาเพียงนิด ก็ไม่สามารถฝึกได้ นับว่าเสียเปล่าไป
บุตรชายภรรยาเอกสกุลฉู่มีเขาเพียงคนเดียว แม้จะมีน้องชายที่เกิดจากอนุของท่านพ่อ แต่ถูกเลี้ยงนอกจวนตั้งแต่เด็ก ไม่ได้อยู่ภายในจวน
ข้างกายไม่มีน้องสาวน้องชายอายุน้อย ฉู่จิ้งเฟิงย่อมไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่รู้ว่านอกจากตีและด่าแล้วควรจะใช้วิธีใดในการปราบเด็ก ทำได้เพียงเอากฎการลงโทษให้รางวัลแบบในกองทหารมาใช้กับหญิงปัญญาอ่อนผู้นี้
หลี่รั่วอวี๋ตอนนี้แยกแยะผิดถูกไม่ออก พูดเหตุผลก็ไม่ฟัง จะตีหรือด่าเพียงปลายนิ้วก็ไม่ได้ แต่ต้องให้นางเข้าใจว่ากฎที่ใช้ในคฤหาสน์สกุลหลี่เมื่อไปถึงเมืองโม่เหอแล้วต้องแก้!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจใจแข็ง สั่งซูซิ่วกับหล่งเซียงเสียงเย็นชาว่าไม่ต้องไปสนใจนางอีก ส่วนตนเองรับคำเชิญจากวั่นจื่อเหลียงสหายสนิทบัณฑิตชื่อดังในเมืองวั่นโจวไปดื่มสุราที่คฤหาสน์ของอีกฝ่าย
วั่นจื่อเหลียงอายุเท่ากับฉู่จิ้งเฟิง เป็นจ้วงหยวน** อันดับหนึ่งในรัชศกเทียนเอิน เขามีชาติกำเนิดธรรมดา ไม่หลงใหลลาภยศ หลังจากรู้ความเหลวแหลกของขุนนางในเมืองหลวงและความเหิมเกริมของสกุลไป๋แล้ว เป็นขุนนางได้หนึ่งปีก็ลาออกกลับบ้านเกิดมา
เขากับฉู่จิ้งเฟิงเป็นสหายในหอเรียนเดียวกัน ทั้งสองแม้จะไม่ค่อยพบปะพูดคุยกัน แต่การเป็นสหายไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา มิตรภาพนั้นไม่เคยจืดจาง
ภรรยาของเขาเป็นหลานสาวของกงซุนมู่อดีตอัครเสนาบดี เป็นคนมีใจกว้าง ไม่เคยก้าวก่ายการเป็นขุนนางของสามี สองสามีภรรยาเที่ยวชมธรรมชาติในเมืองวั่นโจวด้วยกันอย่างดี
สหายจากกันไปนาน ย่อมต้องดื่มสุราฉลอง แต่ครั้งนี้วั่นจื่อเหลียงพบว่าฉู่จิ้งเฟิงเอาแต่เหม่อราวกับจิตใจไม่อยู่กับตัว เขารู้ว่าสหายสนิทที่เย็นชาต่อสตรีมาตลอดผู้นี้แต่งกับสาวงามผู้หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “ซือหม่ามาครั้งนี้ เหตุใดจึงไม่พาฮูหยินที่เพิ่งแต่งงานมาด้วยเล่า จะได้พูดคุยแก้เบื่อกับภรรยาข้า”
ฉู่จิ้งเฟิงกลับยิ้มเศร้าบางๆ ส่ายหน้าไม่อยากพูดอะไรมาก
วั่นจื่อเหลียงเป็นคนง่ายๆ เห็นฉู่จิ้งเฟิงเหมือนอยากจะรีบกลับก็ไม่ได้ดึงตัวเอาไว้
ฉู่จิ้งเฟิงดื่มสุราฉลองแล้วก็ขี่ม้าจากคฤหาสน์สกุลวั่นกลับมาที่เรือ ตลอดทางล้วนมีหญิงสาวมาเดินตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว แต่ละคนยิ้มอย่างเบิกบาน เมื่อคิดถึงหญิงสาวบนเรือที่เอาแต่ใจอยู่นิ่งไม่ยอมกินข้าว เขาก็รู้สึกเคร่งเครียด
ตอนผ่านตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว เห็นแผงขายของแผงหนึ่งขายตุ๊กตาผ้าที่ให้เด็กเล่น หญิงชราผู้หนึ่งนั่งเย็บอยู่หลังแผงนั้น
เขาลงจากม้าหน้าแผงนั้น เห็นผ้าที่ใช้ทำตุ๊กตาผ้าเป็นผ้าไหมอย่างดี นุ่นใช้ยัดก็เป็นนุ่นอย่างดีที่ผลิตจากเมืองฉีหลู่ สีขาวสะอาด จับดูแล้วนุ่มมาก ดังนั้นจึงเลือกตุ๊กตาเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เติมนุ่นเข้าไปอีกสองชั่ง ทำให้เสือตัวอ้วนกลม
รอหญิงชราผู้นั้นเย็บปิดเสร็จแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็จ่ายเงินแล้วหนีบเอาเสือขนาดหมอนหนุนขึ้นหลังม้าอีกครั้ง
เมื่อวานเพราะเขาดุนางที่ทำชาพุทราหกใส่กระโปรงอีกแล้ว ทำให้หลี่รั่วอวี๋โกรธ กระชากฉีกตุ๊กตาผ้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เย็บให้นางแล้วโยนลงบนพื้น เขาเห็นนางคลายโกรธแล้วก็หยิบตุ๊กตาผ้าที่นุ่นทะลักออกมาขึ้นมากอดแล้วลอบเช็ดน้ำตา
หลังจากนั้นแม้ซูซิ่วจะมีฝีมือดีเย็บตุ๊กตาผ้าอย่างดี แต่มันได้ขาดไปแล้ว รูปร่างจึงไม่ค่อยสวยงาม
เดินทั่วตลาดกลับถึงบนเรือเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือสอบถามซูซิ่วว่าฮูหยินกินอาหารเย็นหรือยัง ซูซิ่วตอบว่า “ฮูหยินเอาแต่อยู่ในห้องเรือ ไม่ยอมลุกขึ้น และไม่ได้กินอาหารเจ้าค่ะ”
ฉู่จิ้งเฟิงปั้นหน้าเครียด เดินไปทางดาดฟ้าห้องเรือ นั่งนิ่งรับลมอยู่สักครู่ จึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ดวงตาแม้จะเหลือบไปบนหนังสือ แต่ใจกลับครุ่นคิดว่าหลี่รั่วอวี๋มีนิสัยเป็นเด็ก ที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่แง่งอนและไม่สนใจเขา แต่เพียงชั่วครู่ก็ลืม แล้วเล่นสนุกอย่างเบิกบานใจ ไม่เคยไม่ลดละเหมือนเช่นวันนี้มาก่อน
Comments
