14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน วาสคนเขลา
บทที่สิบเอ็ด
ในเมื่อหลี่รั่วอวี๋คลายความอยากรู้แล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ไม่อยากให้นางอยู่ที่นี่นานนัก จึงดึงผ้าคลุมหน้าที่หน้าของนาง แล้วลุกยืนเตรียมจะพาหลี่รั่วอวี๋เดินจากไป
ในตอนนี้เอง ยอดบุปผาฉู่หวั่นเหนียงกลับเดินลงจากแท่นแสดง ก้าวเท้ามาทางห้องของพวกเขา กวนป้าในใจคิดว่า… นายท่านมีวาสนาเรื่องสตรีจริงๆ หรือจะได้ยินคำพูดของฮูหยินแล้วจึงมาหาเรื่องด้วยตัวเอง
คิดไม่ถึงว่ายอดบุปผานั่นไม่ได้มองมาที่ฉู่จิ้งเฟิง แต่คารวะนอบน้อมให้กับหลี่รั่วอวี๋ “คุณหนูรองหลี่ ข้าน้อยรอจนได้พบท่านแล้ว ท่านมารับของที่ฝากไว้ใช่หรือไม่ ที่นี่คนมากวุ่นวาย ขอเชิญไปพูดคุยกันที่ลานด้านหลังเถิด”
หลี่รั่วอวี๋ที่ซ่อนใบหน้าอยู่หลังผ้าคลุมหน้าเบิกตาโต นางไม่รู้ว่าพี่สาวคนสวยผู้นี้เหตุใดจู่ๆ จึงมาเรียกนาง นางจึงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นสภาพการณ์นี้แล้ว ยอดบุปผาผู้นี้รู้จักหลี่รั่วอวี๋ด้วยหรือ! และเหมือนก่อนหน้านี้หลี่รั่วอวี๋ยังได้ฝากของอะไรไว้ที่นาง เขาจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาทันใด
เขาจึงดึงมือของหลี่รั่วอวี๋ไว้อย่างไม่แสดงอาการ แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “อีกครู่ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าทำได้ดี จะซื้อโคมม้าวิ่งให้เจ้าอีกอันดีหรือไม่”
หลี่รั่วอวี๋ได้ฟังก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น จากนั้นรีบปิดปากแน่น
แล้วทั้งหมดก็เดินตามฉู่หวั่นเหนียงผู้นี้ไปยังศาลาพักร้อนที่ลานด้านหลัง
แขกเงินหนาเหล่านั้นเห็นฉู่หวั่นเหนียงไม่ได้ยกน้ำชาก็จากไป ย่อมไม่พอใจ โชคดีสาวใช้ด้านข้างบอกว่าฉู่หวั่นเหนียงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านหลัง หลังจากนี้จะกลับมาต้อนรับแขกทุกท่านอีกครั้ง แขกเหล่านั้นจึงหยุดโวยวายลงได้
เพราะหลี่รั่วอวี๋มีผ้าคลุมปิดหน้า ฉู่หวั่นเหนียงจึงไม่เห็นความงุนงงของนาง เรื่องที่คุณหนูรองหลี่ได้รับอุบัติเหตุบาดเจ็บ ที่เมืองเหลียวเฉิงบ้านเกิดแม้จะรู้กันทั่ว แต่ไม่ได้ลือมาถึงทางเหนือดินแดนห่างไกลนี้
ฉู่หวั่นเหนียงมีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนาง แต่เพราะท่านปู่ล่วงเกินสกุลไป๋จึงถูกตั้งข้อหาความผิดตัดคอ ส่วนนางถูกจับมาเป็นนางโลมขุนนางอยู่ในหอคณิกา เพราะชาติกำเนิดนางทำให้มีประสบการณ์ไม่น้อย คบหาคนมีชื่อเสียงเป็นวงกว้าง มีการติดต่อคบค้าที่กว้างขวาง แต่ในจำนวนคนมีชื่อเสียงมากมายนี้ คนที่นางนับถือที่สุดคือคุณหนูรองหลี่ที่เก่งกาจเฉลียวฉลาดไม่แพ้บุรุษผู้นี้
ในอดีตตอนนางรับเทียบเชิญผนึกเงินไปท่องทะเลสาบ ถูกแขกเลวรังแก เพราะไม่ยอมตามใจจึงถูกโยนลงทะเลสาบโดยไม่มีผู้ใดช่วย ในตอนที่นางสำลักน้ำ คิดว่าต้องตายกลายเป็นอาหารปลา คุณหนูรองหลี่สั่งคนงานเรือให้ช่วยนางขึ้นมา แล้วบังคับเรือไปชนเรือสำราญของแขกเลวใช้อำนาจรังแกคนจนเป็นรูใหญ่ น้ำในทะเลสาบไหลเข้าเรือ จนกระทั่งบีบให้แขกเลวคุกเข่าโขกหัวบนดาดฟ้าหัวเรือขอโทษนาง คุณหนูรองหลี่จึงสั่งให้คนช่วยแขกเลวออกมาจากเรือที่ใกล้จมนั้น
แม้แต่ชายหนุ่มที่ชื่นชมในความงามของนาง ยังไม่กล้าล่วงเกินคนสกุลสูงศักดิ์เพื่อหญิงคณิกาผู้หนึ่ง นับประสาอะไรกับธิดาสกุลร่ำรวยผู้หนึ่ง! นางจึงรีบขอบคุณแล้วลงจากเรืออย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณหนูใจดีผู้นี้
ทว่าคุณหนูรองหลี่ที่ตะลุยไปทั่วใต้จรดเหนือกลับพูดด้วยรอยยิ้มสดใส ‘อันธพาลเมื่อครู่บีบคุณหนูฉู่ให้ดื่มสุราจากรองเท้า คำร้องที่งดงามไพเราะของคุณหนูตรงไปตรงมา ไม่เสียทีที่เป็นชนรุ่นหลังของบัณฑิตฉู่ คุณหนูเป็นดอกบัวที่ซ่อนตัวอยู่ในโคลน แต่ความทะนงไม่ได้ลดลงไปเลย ช่างน่านับถือยิ่งนัก!’
ด้วยคำพูดนี้ ทำให้ฉู่หวั่นเหนียงเคารพชื่นชมในตัวคุณหนูรองหลี่ที่อายุไม่มากแต่กลับมีความกล้าหาญรักความยุติธรรม
ตอนคุณหนูรองหลี่ถูกคนร้ายไม่รู้ฐานะทำร้ายบาดเจ็บ และถูกฉู่ซือหม่าแห่งต้าฉู่สั่งจับไปห้าเขตทางเหนือ ด้วยสถานการณ์อันตราย จึงมาซ่อนตัวในหอซิ่วชุนซึ่งคนอื่นคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาด
วันนี้จากกันไปนาน ได้พบกับหลี่รั่วอวี๋อีกครั้ง ฉู่หวั่นเหนียงจึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมาก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลี่รั่วอวี๋มาในครั้งนี้จึงพูดน้อยไปมาก ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผมสีขาวเงินที่จูงมือนางนี้เป็นผู้ใด แต่กลิ่นอายทั้งตัวนั้นทำให้คนใจสั่นอย่างไร้สาเหตุ และไม่รู้ว่าจะเป็นเสิ่นหรูป๋อว่าที่สามีของหลี่รั่วอวี๋หรือไม่
ดังนั้นนางจึงถามอย่างลังเลว่า “ขอถามว่าท่านนี้คือคุณชายรองเสิ่นใช่หรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินคำถามของยอดบุปผาแล้วก็พูดเสียงเข้มว่า “ถูกต้อง ไม่รู้ว่าของที่รั่วอวี๋ฝากไว้ก่อนหน้านี้อยู่ที่ใด”
ฉู่หวั่นเหนียงเห็นหลี่รั่วอวี๋ปล่อยให้ ‘คุณชายรองเสิ่น’ ผู้นี้จูงมือโดยไม่รังเกียจ เห็นได้ว่ามีความรักลึกซึ้ง จึงเม้มปากยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหยิบของ
ไม่นานนางก็หยิบกล่องไม้ใส่กุญแจใบหนึ่งมามอบให้หลี่รั่วอวี๋ ทว่าถูกฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือใหญ่มารับไปแทน
“ตอนนั้นแผลจากคมกระบี่ของคุณหนูรองยังไม่หายดี คนแซ่ฉู่นั่นประกาศจับตามติดมาก ท่านยังดื้อดึงจะรวบรวมหญ้าแห้งไปที่ค่ายทหารสกุลฉู่ไปติดกับเอง หลังจากท่านจากไป ข้าน้อยก็นอนหลับไม่สนิทสักคืน เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ถูกผีเห็นยังหวั่นจอมสังหารผู้นั้นทำร้ายถึงชีวิต แต่พอสืบดูหลายรอบแล้ว แม้แต่นายกองพันที่ออกมาจากค่ายทหารสกุลฉู่ก็ยังไม่รู้ร่องรอยของท่านหลังจากนั้น ส่วนหลงจู๊เฝิงที่ท่านบอกว่าจะมารับกล่องไม้นี้ก็ไม่เห็นเงาเสียที น่ากระวนกระวายใจจริงๆ…”
ฉู่หวั่นเหนียงพูดด้วยรอยยิ้มไปหลายประโยค แต่เสียงก็ค่อยๆ เงียบลง ในใจคิดว่าเหตุใดหลี่รั่วอวี๋ที่ร่าเริงตอนนี้กลับเงียบเฉยไม่พูดจา
แต่เสิ่นหรูป๋อผมขาวผู้นั้นกลับมีแววตาคมกริบในทันใด
“แผลจากคมกระบี่หรือ นางมีแผลจากคมกระบี่เมื่อใดกัน”
ฉู่หวั่นเหนียงมองไปยังหลี่รั่วอวี๋ที่สวมงอบผ้าคลุมนั้นด้วยสายตาลังเล ลอบคิดในใจว่า… ในเมื่อเป็นคนรู้ใจคุณหนูรอง เหตุใดจึงไม่รู้เรื่องที่คุณหนูถูกแทงที่ท้อง
ในตอนนี้เองประตูลานด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นดังลอยมา ก่อนจะเห็นเจ้าเมืองพาคนใต้บัญชารีบรุดมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากเห็นหน้าฉู่จิ้งเฟิงก็รีบสาวเท้าเข้าไป “ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านซือหม่าล่องเรือผ่านวั่นโจว ตอนนี้เพิ่งได้รับข่าว ไม่ได้มาต้อนรับใต้เท้า ต้องขออภัยด้วย”
ดวงตาของฉู่หวั่นเหนียงในตอนนี้เบิกกว้าง มองชายหนุ่มผมสีขาวเงินที่เต็มไปด้วยไอสังหารตรงหน้าอย่างหวาดกลัว “ซือหม่า… ท่าน…ท่านคือผี…ผีเห็น…ยังหวั่น… ฉู่…”
จะโทษว่ายอดบุปผาพูดติดอ่างไม่ได้ นางคิดไม่ถึงเลยว่าซือหม่าต้าฉู่ผู้สูงศักดิ์ที่อดีตเคยประกาศจับหลี่รั่วอวี๋จะมีวันที่จูงมือหลี่รั่วอวี๋มาพบนาง…
นี่… นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!
Comments
