ทว่าหญิงสาวที่สุขุมฉลาดเกินผู้ใดเช่นนี้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุตกจากหลังม้า บาดเจ็บที่หัวและกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไป… ช่างทำให้คนเห็นต้องทอดถอนใจ สวรรค์อิจฉาคนงามจริงๆ!
นอกจากทอดถอนใจแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองเหลียวเฉิงก็ยังอดกลั้นไว้ไม่อยู่ ล้วนพูดกันว่าเมื่อตกทุกข์จะเห็นความจริงใจ ตอนนี้หญิงที่มีความสามารถมากกลายเป็นคนปัญญาอ่อน เช่นนั้นคุณชายรองสกุลเสิ่นยังจะยอมแต่งเข้าสกุลหลี่อีกหรือไม่
“แน่นอนว่าจะแต่งงานแบบนี้ไม่ได้แล้ว!” ผู้ที่พูดคือเสิ่นเฉียวซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่น
หลังวางกระบอกยาเส้นกระดองเต่าในมือลงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นที่กึ่งเอนนอนอยู่บนตั่งนิ่มก็เลิกคิ้วพูดเสียงยานคาง “ป๋อเอ๋อร์ เจ้าต้องคิดให้ดีก่อนทำนะ สกุลหลี่ของนางต่อให้ร่ำรวยล้นฟ้าเพียงใด ก็เป็นแค่พ่อค้า เดิมทีก็ไม่คู่ควรกับครอบครัวขุนนางของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรุ่นท่านพ่อของเจ้า ดวงการเป็นขุนนางของสกุลเสิ่นไม่สู้ดี พี่ใหญ่เจ้าอยู่ในราชสำนักได้รับความเดือดร้อนจากคดีก่อความวุ่นวายของหวังฉี ถูกเนรเทศไปที่หลิ่งหนานถิ่นทุรกันดาร แม่คงไม่ยอมให้เจ้าลดตัวเอง แต่งเข้าไปในบ้านหญิงร้ายกาจผู้นั้นหรอก…”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะสูบกระบอกยาเส้นอีกหนึ่งที แล้วพูดต่อท่ามกลางไอควัน “เดิมคิดว่าหลี่รั่วอวี๋นั่นแม้จะไม่ใช่หญิงที่เพียบพร้อม อย่างไรเสียก็ได้รับวิชาของสกุลหลี่เพียงผู้เดียว และมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ของราชสำนัก สามารถช่วยสกุลเสิ่นของพวกเราได้ แต่ตอนนี้ตกม้าทำให้สมองซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าเสียไป เจ้ายังจะเอานางมาทำอะไรอีกเล่า”
ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นกำลังพูดอยู่ เสิ่นหรูป๋อยังคงก้มหน้าอยู่หน้าโต๊ะ จัดการสมุดบัญชีไร่นาหลายเล่มในมือ รอจนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นพักหายใจ เริ่มสูบยาเส้นอีกครั้ง เขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หรี่ดวงตางามแล้วพูดว่า “ท่านแม่ คำพูดเช่นนี้ขออย่าได้มาพูดในห้องหนังสือของลูก ระวังจะเข้าหูผู้อื่น ลูกกับรั่วอวี๋ตัดสินใจแต่งงานด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย เพียงเพราะนางได้รับอุบัติเหตุ จะให้ลูกหันหลังให้สัญญาทิ้งคุณธรรม ถูกผู้คนเหยียดหยามได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นฟังแล้วก็ไม่สนใจสูบยาเส้นอีก รีบดีดตัวลุกนั่ง เคาะขอบตั่งอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดว่า “นางกรอกยากล่อมประสาทอะไรให้เจ้า ทำให้หลงใหลไม่ตื่นเช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะยอม ‘แต่ง’ เข้าสกุลหลี่นั่น ปรนนิบัติหญิงปัญญาอ่อนผู้นั้นไปชั่วชีวิตจริงๆ หรือ!”
เสิ่นหรูป๋อลงบัญชีตัวสุดท้ายแล้วก็วางพู่กันในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ตะโกนเรียกบ่าวร่วมเรียนหน้าห้องหนังสือให้เตรียมม้าเพื่อออกไปข้างนอก
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นจะรู้ว่าบุตรชายคนรองของตนเองผู้นี้จิตใจยากจะคาดเดา แต่พอมาเห็นเขาหลงใหลไม่ตื่น ไม่สนใจคำเตือนของนางเช่นนี้ก็โกรธจนหายใจไม่ออก ลุกขึ้นยืนตรง เตรียมจะพูดอบรมบุตรชายยกใหญ่
ทว่ายังไม่ทันรอให้นางเอ่ยปาก เสิ่นหรูป๋อก็เบือนหน้าหนี พูดเสียงเย็นชาว่า “เดือนก่อนในคฤหาสน์มีเงินสามร้อยตำลึงไม่ตรงบัญชี ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าท่านแม่โยกย้ายเงินจากหอซั่นฉือไปให้บ้านท่านลุง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นคิดไม่ถึงว่าบุตรชายจะถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหันจึงชะงักไปชั่วครู่ ได้ยินเพียงเสิ่นหรูป๋อพูดต่อไปว่า “ท่านก็บอกแล้วว่าตอนนี้สกุลเสิ่นของพวกเรากำลังตกต่ำ พี่ใหญ่ไม่อยู่ สกุลเสิ่นต้องอาศัยลูกคอยค้ำจุนเอาไว้ สกุลเสิ่นของพวกเรามีรายรับน้อยกว่ารายจ่ายมาหลายปี ถึงตอนนี้ยังพอมีเงินเหลืออยู่ เสื้อผ้าอาหารของท่านแม่ไม่เสียหายแม้แต่น้อย แม้แต่ยาเส้นเตียนหนานในมือท่านที่ราคาชั่งละห้าสิบตำลึงเงินก็ยังมีให้ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว ลูกไม่ขออย่างอื่น แต่ขอให้ท่านแม่ดูแลคลังเงินสกุลเสิ่นให้ดีก็นับเป็นวาสนาของลูก เป็นโชคดีของสกุลเสิ่นแล้ว สำหรับเรื่องอื่น หวังว่าท่านแม่อย่ากลัดกลุ้มกังวลใจเลย…”